ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1367 มหาเทวะเสมอฟ้า
เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้เพียงสายตาของอีกฝ่ายเสมือนคงอยู่ทุกที่ กำลังจับจ้องเขาอย่างไร้เสียง
เขาหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง ทั้งสองเข้าใจกันโดยไม่ต้องกล่าวมากความ นางเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้ไม่ได้ยิน แต่ตอนนี้ได้เห็นแล้ว”
“พวกเราเข้ามาในตราผนึกชั้นแรกแล้ว ตราผนึกนี้ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้พวกเรากับอีกฝ่ายมองเห็นกัน” เยี่ยนจ้าวเกอว่า
เสียงคำรามนั้นหายไป ไม่ใช่อีกฝ่ายไม่ส่งเสียงอีก
ผู้ที่ส่งเสียงไม่ใช่ตัวตนที่ถูกสะกดไว้ที่นี่ แต่เป็นสำนึกเคียดแค้นไม่ยินยอมสายหนึ่ง สลักในมิติเวลาจนกลายเป็นจับต้องได้
ถ้าหากว่าเจ้าของไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็จะอยู่ที่นี่ตลอดไป
คนที่ถูกสะกดไว้ที่นี่สัมผัสได้ถึงการมาของเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง ความสนใจเปลี่ยนมาอยู่ที่พวกเขา เสียงนั้นจึงค่อยเงียบลงโดยอัตโนมัติ
สายตาอันไร้รูปร่างทั้งเหี้ยมโหดทั้งบ้าคลั่ง ทำให้คนจิตใจเย็นเยียบ
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงสงบจิตใจ มุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาใหญ่ต่อ
ขณะที่เดินอยู่ พวกเขาพลันเกิดความรู้สึกบางอย่าง เงยหน้าไปมองพร้อมกัน
เห็นดวงตาขนาดเท่ากระจกสำริดคู่หนึ่งกำลังจ้องมองพวกเขาตาไม่กะพริบ!
ไม่ใช่สายตาที่ไร้รูปร่างอีกต่อไป แต่ว่าเหมือนกับแสงกระจกที่มองทะลุทุกสรรพสิ่งในความมืดมิดไร้สิ้นสุด ไม่มีสิ่งใดหลบซ่อนไปได้
ยามถูกสายตานี้จับจ้อง เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงต่างรู้สึกชาทั่วทั้งร่าง
ความรู้สึกนั้นอยู่ระหว่างความจริงกับความลวง เปลี่ยนแปลงยากหยั่งคาด ไม่สนใจร่างมนุษย์เซียนของคนทั้งสอง ส่งผลต่อวิญญาณโดยตรง ทำให้ความคิดว่างเปล่าหยุดชะงัก แต่อยู่ๆ ก็ไม่มองวิญญาณ ส่งผลกับร่างกาย ทำให้ผู้คนรู้สึกชาจนไม่อาจกระดิกกระเดี้ย
เยี่ยนจ้าวเกอในสองตาปรากฏสภาพโกลาหล แสงมารสีดำแกมน้ำเงินที่สั่นไหวในม่านตาสองข้างของเฟิงอวิ๋นเซิงกลายเป็นความมืดมนว่างเปล่า
ผ่านไปพักหนึ่ง คนทั้งสอบค่อยควบคุมวิญญาณและร่างกายของตัวเองได้
สายตาที่เหมือนกับกระจกใสนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร หายไปในทันใด
จากนั้น เงาร่างนั้นก็พุ่งลงมาจากฟากฟ้า มาอยู่ต่อหน้าคนทั้งสอง!
เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งมอง หลังเห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายถนัดแล้ว มุมปากก็กระตุกอย่างไม่อาจควบคุม
ถึงร่างกายจะไม่ได้สูงใหญ่นัก แต่ว่ายามกึ่งนั่งยองกึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เหมือนกับพยัคฆ์หมอบมังกรขด ราวกับมีสภาวะยกฟากฟ้า ด้านล่างเหยียบปรโลกและนรกภูมิ ศีรษะค้ำยันสวรรค์เก้าชั้น
หน้าเป็นขน ปากงุ้ม สวมมงกุฎทองปีกหงส์ ใส่เกราะสีทองเหลือง สวมรองเท้าเมฆใยบัว ถือกระบองท่อนหนึ่งไว้หนึ่งมือ กำลังมองพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
พอเห็นวานรเขื่องขนทองที่ดูดุร้าย ไม่สนใจกฎเกณฑ์ ต่อให้ก่อนหน้าเยี่ยนจ้าวเกอจะมีการคาดเดาอยู่ก่อน ตอนนี้ก็ยากสงบอารมณ์ความรู้สึก
ผู้ที่ปรากฏตรงหน้าเขา ถึงกับเป็นราชาวานรโสภาในตำนานตนนั้น มหาเทวะเสมอฟ้า ซุนหงอคง!
แต่ถ้าซุนหงอคงอยู่ที่นี่ แล้วยุทธวิชัยพุทธะที่อยู่ด้านนอกคืออะไร?
เป็นพระพุทธเจ้าองค์อื่นหรือ?
หรือว่าวานรกตรงหน้าเป็นตัวปลอม?
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงมองหน้ากัน ต่างเห็นความแตกตื่นสงสัยในดวงตาของอีกฝ่าย
“ศิษย์สายหยกพิสุทธิ์กับผู้สืบทอดวิถีมาร?” กลับเป็นวานรที่ดูชั่วร้ายตนนั้นเอ่ยปากขึ้นก่อน
เขาพิจารณาพวกเยี่ยนจ้าวเกอขึ้นลง สีหน้าฉายแววสงสัย
“ประหลาด ประหลาดนัก!” วานรมองดูเฟิงอวิ๋นเซิง “มองแวบแรกเป็นผู้สืบทอดวิถีมาร แต่ไฉนยังรู้สึกว่าพื้นฐานเป็นหยกพิสุทธิ์กับเอกพิสุทธิ์?”
คราวนี้หันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ “เจ้าประหลาดยิ่งกว่า…รอเดี๋ยว ฝึกสามพิสุทธิ์ร่วมกัน?”
วานรพลันหัวเราะฮ่าๆ “น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ”
เสียงหัวเราะไม่หยุดลง วานรตนนั้นพลันอุทานตกใจ “เจ้าผู้นี้น่าประหลาดนัก!”
แต่แค่เวลาสั้นๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลงติดต่อกันหลายรอบ สุดท้ายเปลี่ยนเป็นมีท่าทางสงสัยอีกครั้ง มองเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่กล่าวอะไรอีก
‘เขามองอะไรออกแล้ว?’ เยี่ยนจ้าวเกอเกิดความคิดมากมายในใจ ไม่แสดงออกทางสีหน้า ประสานมือคารวะวานรตัวนั้น “เยี่ยนจ้าวเกอศิษย์หยกพิสุทธิ์ขอคำนับ ผู้นี้เป็นภรรยา และเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักกับข้า ได้ครอบครองพลังของจอมมารแห่งนพยมโลกโดยวาสนา กลับไม่ใช่ผู้สืบทอดแห่งวิถีมาร”
“ไม่ทราบท่านมีคำเรียกหาใด?”
พอได้ยินคำถามของเยี่ยนจ้าวเกอ วานรตัวนั้นเงยหน้าหัวเราะร่า “ในเขาไม่ทราบกาลเวลา ข้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ผู้เยาว์ที่อยู่ด้านนอกไม่รู้จากเราเหล่าซุนแล้ว?”
พอได้ยินคำเรียกตัวเองของอีกฝาย เยี่ยนจ้าวเกอก็โพล่งขึ้น “ผู้ครองถ้ำม่านน้ำตกแห่งเขาผลบุปผาในอ๋าวไหลกั๋วดินแดนตงเซิ่งเฉิน มหาเทวะเสมอฟ้าราชาวานรโสภา ซุนหงอคง!”
“เอ๋? เด็กน้อยผู้นี้ ยังจำข้าเหล่าซุนได้นี่” วานรหัวเราะ “เมื่อครู่ไฉนแกล้งเป็นจำไม่ได้?”
เยี่ยนจ้าวเกอเงียบงันครู่หนึ่่งค่อยกล่าว “เป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าเพิ่งได้เห็นราชาวานรโสภามหาเทวะเสมอฟ้าอีกท่านหนึ่งด้านนอกเขา”
วานรพอฟัง ก็เบิกดวงตาจนเกือบถลนออกมา
ความดุร้ายและความเหี้ยมโหดปรากฏขึ้น ทำให้ภูเขาแห่งนี้เหมือนกับกำลังสั่นไหว
“มันอยู่ด้านนอกเขา?” วานรเดือดดาล ร่างขยายใหญ่ขึ้น ทำให้เขาสองเขตแดนทั้งลูกสั่นไหว!
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงรีบหยุดยั้งท่าร่าง ถอยไปด้านหลัง
วานรกตรงหน้าคลั่งโดยสมบูรณ์ ดวงตาเป็นสีแดงฉาน ยังใหญ่ยิ่งกว่าดวงดาว ร่างกายเหมือนกับเบียดท้องฟ้าจักรวาลออกไป
แต่ว่าในตอนนี้เอง ตราผนึกที่ก่อนหน้าเหมือนไม่คงอยู่พลันปรากฏขึ้น ครอบเขาสองเขตแดน
หมอกแดงกลุ่มหนึ่งที่สว่างเรืองรองขณะนี้ใหญ่กว่าธารสวรรค์จักรวาลไม่ทราบกี่เท่า ผนึกเขาสองเขตแดนไว้อย่างหนาแน่น จากนั้นก็สะกดวานรยกฟากฟ้าที่บ้าคลั่งตัวนั้นไว้
ร่างของวานรหดเล็กลงอย่ารวดเร็ว ถูกหมอกแดงนั้นกดดันถอยหลัง กระแทกกับภูเขา
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงเพ่งตามองไป เห็นบนเขาฝังศิลาวิญญาณที่ไม่สะดุดตาก้อนหนึ่ง
ศิลาวิญญาณครึ่งหนึ่งอยู่ด้านนอก อีกครึ่งฝังอยู่ในเขา
ร่างของวานรถูกระแทกเข้าไปในก้อนหินเล็กๆ รีบพุ่งออกมา จากนั้นก็ถูกผนึกกลับไปอีกรอบ
เป็นเช่นนี้ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่วานรก็ไม่ยอมศิโรราบ เดือดดาลคลุ้มคลั่ง ร้องคำรามอย่างโมโห
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงขณะนี้อยู่ในเขา ต่างได้ยินเสียงคำราม ปิดหูโดยสัญชาตญาณ ยังคงรู้สึกเหมือนแก้วหูแทบแตก
‘ให้มันได้อย่างนี้ นี่ขนาดอยู่ใต้ตราผนึกมาตลอด สำแดงพลังออกมาไม่ได้ กลับยังก่อความเคลื่อนไหวในตราผนึกได้โหญ่โตถึงเพียงนี้’ เยี่ยนจ้าวเกอไหนเลยไม่ทราบว่า วานรตรงหน้าความจริงเป็นแค่เงาฉาย
ศิลาวิญญาณก้อนนั้นบนภูเขา จึงเป็นรูปร่างหน้าตาที่ปรากฏขึ้นของเขาหลังจากถูกตราผนึกสะกด
“เมื่อครู่ข้าน่าจะพูดไม่ชัดเจน มหาเทวะโปรดใจเย็น” เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้น “ผู้ที่อยู่ด้านนนอกไม่ได้ชื่อว่ามหาเทวะเสมอฟ้าแล้ว ทุกคนเรียกท่านเป็นนะโมยุทธวิชัยพุทธะ”
“นโมยุทธวิชัยพุทธะผายลมมัน!” ซุนหงอคงด่าอย่างโมโห
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินอันใดไม่ถูกต้อง ตั้งใจเอ่ยว่า “มิผิดๆ เป็นท่านคุ้มครองพระถังซัมจ๋ำไปอัญเชิญพระไตรปิฏก นำพุทธตะวันตกเข้าสู่ตะวันออกอีกครั้ง ทำให้แดนสุขาวดีอภิราดีศูนย์กลางยิ่งใหญ่ ศาสนาพุทธรุ่งเรือง สำเร็จซึ่งมรรคผลสูงสุด กลายเป็นพระพุทธ…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกวานรตัดบท “วาจาเหลวไหล ข้ากลายเป็นพุทธผีของที่ใด?!”
เยี่ยนจ้าวเกอถูกตัดบท ไม่เพียงไม่โกรธ กลับตาเป็นประกาย พูดขึ้นทันทีว่า “เช่นนี้เป็นว่า ท่านไม่ใช่ถูกคนสะกดที่ใต้เขาเบญจคีรีอีกครั้งหลังจากอันเชิญพระคัมภีร์กลายเป็นพระพุทธ สำเร็จมรรคผลหรือ?”
………………..