ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1372 เยี่ยนจ้าวเกอผู้เอาแต่ใจ
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงเคลื่อนไหวอยู่ในภูเขา หันกลับไปมอง ยังคงเห็นดวงตาที่กระจ่างเหมือนกับกระจกสำริดเป็นประกายวูบวาบ
สุดท้ายหลังจากโบกมือลา สองคนก็ออกจากเขาเบญจคีรีพร้อมกัน
“จ้าวเกอ มหาเทวะเสมอฟ้าพอเห็นท่าน ดูเหมือนมีการพิจารณาอยู่บ้าง คล้ายกับ…มีความลับใด?”
ขณะเดินทาง เฟิงอวิ๋นเซิงขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่แน่ใจอยู่บ้าง
“อืม เจ้าพูดไม่ผิด” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ดูเหมือนเขาจะมองปัญหาที่แม้แต่ตัวข้ายังไม่เห็นออก”
“ถึงจะไม่ทราบว่าเขาเห็นอะไรกันแน่ ทว่าข้าเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับเรื่องหนึ่ง”
“เหล่าจวิน...”
เยี่ยนจ้าวเกอระบายลมหายใจออกยาวๆ “เหล่าจวินไม่เหมือนกับคนอื่นๆ อยากเจอไม่มีทางได้เจอ อย่างน้อยก็แค่ได้ทักทายคำนับจากระยะไกล อย่างมากพูดคุยกันไม่กี่ประโยค”
“ว่ากันว่าครั้งกระโน้นมหาเทวะเผ่าปีศาจตนนี้เคยติดต่อกับเหล่าจวินจริงๆ”
“มิกล้าบอกว่าเขาเป็นตัวตนที่เข้าใจเหล่าจวินมากที่สุดในเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลทั้งหลาย แต่จะต้องเหนือกว่าคนทั่วไปแน่”
เฟิงอวิ๋นเซิงพอฟัง ก็กล่าวอย่างใคร่ครวญ “เช่นนั้นก็หมายความว่า มหาเทวะเสมอฟ้าคิดว่าท่าน...เกี่ยวข้องกับเหล่าจวิน?”
“ความจริงข้ามีการคาดเดาส่วนหนึ่งมานาน เพียงแต่ว่าความคิดติดขัด ปฏิกิริยาในวันนี้ของมหาเทวะเสมอฟ้าเป็นแค่หลักฐานแวดล้อมเท่านั้น” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างเหม่อลอย “ยังจำได้หรือไม่ว่าข้าเคยบอกเจ้าว่า ข้ารู้สึกว่าตัวเองฝึกฝนวรยุทธ์กระแสตรงสายเอกพิสุทธิ์ได้คล่องกว่า ทั้งเข้าใจได้รวดเร็วและล้ำลึกกว่า?”
เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้า “ข้าจำได้”
“แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ความจริงไม่มีความพิเศษใด” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “พรสวรรค์ในด้านการทำความเข้าใจของจอมยุทธ์นั้นยากอธิบายยิ่ง”
เยี่ยนตี๋บิดาของเขากับเมฆแปลงกำเนิดอยู่ด้วยกันมาพันปี เพียงเพื่อหล่อเลี้ยงเจตจำนงดาบของดาบกฎเกณฑ์
สำหรับเยี่ยนตี๋แล้ว การฝึกฝนการสืบทอดกระแสตรงสายหยกพิสุทธิ์กับสายเอกพิสุทธิ์ไม่มีข้อแตกต่างอะไรนัก เมื่อฝึกฝนการสืบทอดสายเอกพิสุทธิ์ก็ไม่มีข้อได้เปรียบจากพรสวรรค์ที่ได้มาตั้งแต่เกิดเช่นกัน
ระหว่างสายเลือดอาจจะมีการส่งต่อพรสวรรค์ด้านคุณสมบัติร่างกาย
แต่ในด้านการฝึกฝนวรยุทธ์ หรือว่าจะพูดให้ถูกก็คือวรยุทธ์บางอย่าง พรสวรรค์ด้านการทำความเข้าใจไม่เกี่ยวพันกับสายเลือด แต่เป็นเพราะความพิเศษในวิญญาณของใครของมันมากกว่า
อย่างเช่นเหล่า ‘ซือคงจิง’ ที่ได้แบ่งผลกระทบจากชิ้นส่วนศิลาฟ้ากำเนิด ต่างมีข้อได้เปรียบด้านพรสวรรค์ในการทำความเข้าใจ แต่ว่าระหว่างพวกเขากับพวกนางไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน
ดังนั้นการตั้งสมมติฐานว่า ‘การถ่ายทอดข้ามรุ่น’ ของเมฆแปลงกำเนิดส่งผลต่อเยี่ยนจ้าวเกอ จึงไม่สมเหตุสมผล
พรสวรรค์ด้านการทำความเข้าใจในการฝึกยุทธ์ เยี่ยนจ้าวเกอคือเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋คือเยี่ยนตี๋ ทั้งสองไม่เกี่ยวข้องกัน
ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน สามารถพบเจอเรื่องที่ใครสักคนถนัดในวรยุทธ์ชนิดหนึ่งเป็นพิเศษ เหมือนกับใช้คล่องมือมาตั้งแต่เกิดได้บ่อย
ผู้มีพรสวรรค์จำนวนมากก็เป็นเช่นนี้ ข้อได้เปรียบที่คล้ายๆ กันเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นจากทุกคน
อย่างเช่น เยี่ยนซิงถาง ตี๋ชิงเหลียน เกาชิงเสวียน หลงซิงเฉวียน ไปจนถึงโอวสือหยาง หลงเสวี่ยจี้ เนี่ยจิงเสิน เยว่เจิ้นเป่ย อวี่เย่ เฮ่อเหมี่ยน ล้วนเป็นตัวตนที่มีพรสวรรค์ด้านการทำความเข้าใจมรรคากระบี่เหนือกว่าคนทั่วไปอย่างชัดเจน
หลงเสวี่ยจี้กับอวี่เย่ที่อยู่ในนี้แม้จะเกี่ยวพันทางสายเลือดกับเกาชิงเสวียนและหลงซิงเฉวียน แต่ส่วนที่ได้รับประโยชน์อยู่ที่อิทธิพลจากการชี้แนะและการถ่ายทอดวิชาในระดับที่สูงกว่าปกติมากกว่า
พรสวรรค์ด้านการทำความเข้าใจมรรคากระบี่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นพื้นฐานที่ดีที่พวกเขามีอยู่แล้ว
ที่เยี่ยนจ้าวเกอมีความรู้สึกปราดเปรียวเป็นพิเศษต่อวรยุทธ์กระแสตรงสายเอกพิสุทธิ์ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากนัก
อย่างน้อยคนอื่้นแค่มีความสามารถในการทำความเข้าใจวรยุทธ์ชนิดหนึ่งหรือประเภทหนึ่งน่าตกใจ ส่วนเขามีความสามารถในการทำความเข้าใจวรยุทธ์ทั้งหมดในทุกสายสืบทอดอย่างอลังการกว่าก็เท่านั้น
ทว่าเรื่องเรื่องเดียวเป็นความบังเอิญได้เหมือนกัน แต่ถ้าหากว่ารวมความบังเอิญที่เกี่ยวข้องกันมาไว้ด้วยกันมากกว่าเดิม ก็ทำให้คนยากจะเชื่อว่า นี่เป็นความบังเอิญทั้งหมด
อย่างน้อยเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่เชื่อ
“ความคิดของเหล่าจวินอย่าว่าแต่พวกเรา ใต้เท้ากษัตริย์บูรพา เทวกษัตริย์ไร้ประมาณ เมตไตรยพุทธเจ้าเหล่ายอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเกรงว่าต่างคาดเดาไม่ออก”
เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำกับตัวเอง “สถานการณ์ในปัจจุบันของข้าเกี่ยวข้องกับเหล่าจวินหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้”
“กลับเป็นทางใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋ ไม่แน่ว่าจะมองเลศนัยออก มิน่าเขาถึงได้วานให้ข้าไปเขาเบญคีรี”
เห็นได้ชัดมากว่า หากต้องพูดจริงๆ ว่าผู้ใดไม่กลัวการล่วงเกินพระยูไลแห่งเขาหลิงซานที่ได้หลุดพ้นไปแล้ว นั่นจะต้องเป็นบรมครูสามพิสุทธิ์กับเจ้าแม่หนี่ว์วาที่ได้หลุดพ้นไปแล้วเหมือนกัน!
ถ้าหากว่าตัวเยี่ยนจ้าวเกอเกี่ยวพันกับแผนการของไท่ซ่างเหล่าจวินจริงๆ อย่าว่าแต่มีใจคิดวางแผนการหรือว่าทำลงไปโดยไม่ได้สนใจ การไปยังเขาเบญจคีรีของเขาย่อมสะดวกกว่าคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องกลัวว่าจะสะกิดความโกรธของพระยูไลที่ได้หลุดพ้นไปแล้ว
แน่นอนว่า นี่เป็นแค่การเปรียบเทียบเท่านั้น
เป็นการใช้หลักเหตุผลของคนทั่วไปในโลกใบนี้มาประเมิณ
พระยูไลและบรมครูสามพิสุทธิ์ล้วนเป็นตัวตนที่ยากใช้สามัญสำนึกมาประเมิณ
ดังนั้นจึงยังคงมีความเสี่ยง มิหนำซ้ำยังมีโอกาสทั้งมากทั้งน้อย ไม่มีใครสามารถตัดสินได้อย่างถ่องแท้
“ใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋บางทีอาจไม่ทราบถึงความจริงใต้เขาเบญจคีรีในครั้งกระโน้น ทว่าที่นี่เป็นตัวตนที่พระยูไลสะกดไว้ด้วยตัวเอง เรื่องราวย่อมไม่รวบรัดแล้ว ใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋ได้รับข่าวสาร คิดจะสืบหาความจริงให้กระจ่าง จึงได้ส่งข้าไป”
เยี่ยนจ้าวเกอนวดขมับของตัวเองเบาๆ พูดพลางยิ้มหนักใจ
“แต่ท่านก็ยังมา” เฟิงอวิ๋นเซิงเอ่ยเสียงเบา “นอกจากนี้ยังเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวง ตอบรับช่วยเหลือแผนการหนีออกจากตาข่ายของมหาเทวะ”
เยี่ยนจ้าวเกอเงียบงันเล็กน้อย ค่อยหัวเราะ “เมื่อครู่สิ่งที่้ข้าพูดกับหาเทวะใต้เขาเบญจคีรี ไม่ใช่คำพูดสร้างบรรยากาศ ไม่ใช่คำพูดสวยหรู แต่เป็นความคิดจริงๆ ของข้า”
เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้า “ข้าฟังออก”
“หากว่ากันตามสัตย์จริง ข้าไม่ใช่คนดีมากนัก” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเบาๆ “หลายๆ ครั้ง ข้ารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมองโลกตามความเป็นจริงยิ่ง”
“การช่วยคนอื่นและส่งผลดีต่อตัวเองย่อมประเสริฐที่สุด แต่นอกจากคนที่เป็นกรณีพิเศษส่วนหนึ่งแล้ว ระหว่างการหาประโยชน์ให้ตนเองและการช่วยคนอื่น ถ้าได้แต่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้าสมควรเลือกช่วยตัวเอง”
“การหาประโยชน์หลีกเลี่ยงอันตราย คำนวณผลได้ผลเสีย ข้าเองก็มักทำอยู่บ่อยๆ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเยาะตัวเอง จากนั้นก็หุบยิ้ม ชี้ที่หน้าอกของตัวเอง “แต่ว่าบางครั้ง ยามเผชิญกับเรื่องราวบางประการ ในใจของข้าจะมีเด็กชายที่ชอบฝันคนหนึ่งกระโดดออกมาอย่างเอาแต่ใจ”
วันนี้เวลานี้ ยามนี้วินาทีนี้ เป็นเช่นนี้เอง
มหาเทวะเสมอฟ้าซุนหงอคง!
ในความทรงจำของชาติก่อนที่แสนยาวนาน นั่นเป็นไอดอลในวัยเด็กของเยี่ยนจ้าวเกอ!
แม้ต่อมาเขาจะอ่านตำรามากมาย เข้าใจข้อมูลจำนวนมาก และข้อมูลเหล่านั้นก็บอกกับเขาว่า ไอดอลในวัยเด็กของตนไม่ได้สมบูรณ์แบบ
ในเรื่องเล่าเหล่านั้น วานรไม่อาจอาละวาดบนตำหนักสวรรค์ ยิ่งอย่าว่าแต่ถล่มทั้งสามโลก
เขาถึงขั้นที่แม้แต่ประตูของตำหนักหลิงเซียวยังไม่ทันเข้าไป ก็ถูกแม่ทัพสวรรค์พาคนมาขวางไว้
ภายหลังในเรื่องราวการไปอัญเชิญพระคัมภีร์ที่ชมพูทวีป ก็พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องขอความช่วยเหลือไปทั่ว
เยี่ยนจ้าวเกอทราบว่าในนิยายของผู้แต่งคนเดิมนั้น เรื่องราวเหล่านั้นเดิมทีอาจพูดถึงการควบคุมจิตใจ ตั้งมั่นในปนิธาน เป็นเรื่องเล่าที่เสียดสีถากถางสังคม
ภาพประทับใจที่เขามีต่อหงอคง มาจากการการเพิ่มเติมเสริมแต่งด้วยความรู้สึกส่วนตัวของเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงขั้นที่ไม่ใช่ภาพลักษณ์แรกเริ่มของหงอคงในเรื่องเล่าอีกต่อไป จุดด้อยถูกความชอบของเขาลบทิ้ง จุดเด่นถูกเพิ่มขึ้นมา มองข้ามเรื่องราวทีส่งผลต่อภาพลักษณ์ กลับเติมเรื่องราวหลายเรื่องที่ไม่คงอยู่เข้าไป
ทว่าสำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว เหล่านั้นล้วนไม่สำคัญ!
เรื่องราวอื่นๆ สามารถพูดกันด้วยเหตุผล แต่เรื่องนี้ไม่ได้!
ต่อให้ถูกคนด่าว่าเป็นติ่งเดนตาย เขาก็คร้านจะสนใจ
สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ เขาถึงขั้นที่ปฏิเสธวานรหลังออกมาจากเขาเบญจคีรีตัวนั้น
ในสายตาของเขา วีรบุรุษสะท้านโลกที่ไม่เกรงฟ้ากลัวดิน สู้กับฟ้าดิน ไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยประนีประนอม หนึ่งวานรหนึ่งกระบองทำลายทั่วทั้งสวรรค์ เหยียบย่ำทำลายประตูสวรรค์ ท้าพลิกตำหนักหลิงเซียว จึงเป็นซุนหงอคง มหาเทวะเสมอฟ้า!
นี่เป็นชาติก่อน
ในชาตินี้ เยี่ยนจ้าวเกอที่อ่านตำรามากมายในหอเก็บหนังสือของวังเทพทราบว่า ในหมู่เซียนสวรรค์ ซุนหงอคงมหาเทวะเสมอฟ้าบนโลกใบนี้เป็นจอมปีศาจสะท้านโลกที่เคยอาละวาดบนวังเทพ ก่อเรื่องไปทั่วสวรรค์โดยไร้ข้อกริ่งเกรง กระทำตามใจชอบ!
ดังนั้นสุดท้ายเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งเสียดายและผิดหวังกว่าเดิม เมื่อเขายังกลายเป็นซุนเห้งเจีย เดินทางไปยังชมพูทวีปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
วันนี้หลังจากทราบถึงความจริงใต้เขาเบญจคีรีในโลกใบนี้แล้ว ความปลาบปลื้มและความยินดีในใจของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ใช่จืดจางอย่างที่แสดงออกภายนอก
ดังนั้นจึงเป็นอย่างที่เฟิงอวิ๋นเซิงว่า สุดท้ายเขาก็ยังมาเขาเบญจคีรี
ไม่เพียงแค่มา ยังต้องช่วยวานรสักครั้งหนึ่ง!
เรื่องอื่นๆ เขายังคงอาจมีเวลาที่เอาแต่ใจ
ทว่าเรื่องนี้ ความเอาแต่ใจแข็งแกร่งเป็นพิเศษ!
………………..