ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1387 คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่า
นกเผิงยักษ์สองตัวนั้นแม้จะช้าลง แต่ว่าก็สะบัดปีกพัดพายุเงาแสงหลายสาย ฉีกกระชากอากาศ ทำให้กระบองเหล็กของนักบวชฮุ่ยอั้นไม่อาจฟาดลงมาได้
พวกมันพลันลดกรงเล็บเท้าลง คว้าใส่แขนขาของนักบวชฮุ่ยอั้นด้วยสภาวะเด็ดดาวคว้าจันทร์
หากว่าถูกคว้าไว้ แล้วสี่เท้าออกแรงดึง แม้จะเป็นร่างเทวราชไม่สลายของศาสนาพุทธ ก็เกรงว่าจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
แสงทองสว่างบนศีรษะของนักบวชฮุ่ยอั้น บนแสงทองปรากฏสารีริกธาตุ
แสงทองสารีริกธาตุสาดส่อง มิติเวลารอบๆ เปลี่ยนเป็นพร่าเลือนไม่ชัดเจน
ท่านฉวยโอกาสนี้บิดร่างวูบหนึ่ง หลบรอดการโฉบของนกเผิงยักษ์สองตัว
แต่ว่าในตอนนั้นเอง แสงอาทิตย์สาดส่องฟ้าดิน เงาคนสายหนึ่งพลันบรรลุถึงด้านข้างนักบวชฮุ่ยอั้น เป็นเกาหาน
เกาหานสะบัดธงเทวะสุริบันในมือขวา กระแทกกระบองเหล็กในมือนักบวชฮุ่ยอั้นไปอีกทาง จากนั้นก็คว้ามือซ้ายที่ว่างใส่น้ำเต้าสีแดงที่นักบวชฮุ่ยอั้นถืออยู่
กระบี่คู่อู่โกวที่กลับมากลางหลังนักบวชฮุ่ยอั้นพุ่งออกไปฟันเกาหาน
เกาหานบนศีรษะมีแสงสว่างรวมตัว ลมปราณทั่วร่างเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงมีเวลามองไป จิตใจต่างเคร่งขรึม เป็นเพราะบนศีรษะของเกาหานมีสองบุปผาบนกระหม่อม
ตอนนั้นหลังจากถูกสั่วหมิงจางฟันทิ้งไปหนึ่งบุปผา เกาหานถึงกับหลอมกลับมาได้ใหม่ ความเร็วอยู่เหนือความคาดหมายของคนทุกคนจริงๆ
กระนั้นหลังจากสังเกตเห็นได้ครู่เดียว พวกเขาก็จำเป็นต้องละความสนใจกลับมา
เวลานี้สมณะศาสนาพุทธคนอื่นๆ ที่ร่วมทางมากับนักบวชฮุ่ยอั้นต่างพากันลงสนามลงมือ พวกเยี่ยนจ้าวเกอต้องรับมือด้วยความระวัง
ชั่วขณะนั้น ยอดฝีมือระดับเซียนกำเนิดไม่ต่ำกว่าหนึ่งคนลงมือ เสียงมหามรรคาดังเป็นแผ่นผืน แม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะบรรลุคัมภีร์นภาไร้ขอบเขต มีรากฐานของการฝึกสามพิสุทธิ์ร่วมกันเต็มเปี่ยม เวลานี้ก็มีอยู่พริบตาหนึ่งที่หูลั่นดังอึงอล ตรงหน้าเต็มไปด้วยดวงดาว
เขาสูดหายใจลึกคำหนึ่ง สงบจิตใจ ไม่ได้สนใจสถานการณ์รบตรงหน้า หยิบของวิเศษกับวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่เตรียมไว้ก่อนหน้าออกมาโปรยไปในอากาศ
เฟิงอวิ๋นเซิงยืนอยู่ชิดกับเขา วาดดาบยาวในมือวนรอบตัวเองครั้งหนึ่ง
คมดาบสีดำทิ้งร่องรอยที่ยากจะลบทำลายไว้กลางอากาศ เหมือนกับแยกมิติเวลาแถบนี้ออกจากมิตินอกเขตแดนไร้สิ้นสุด
แสงสีดำในรอยดาบพุ่งขึ้นฟ้า กลายเป็นม่านกำบังไร้รูปร่าง กั้นเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงกับโลกภายนอก
ประกายดาบสีดำสนิทนั้นเหมือนกับจุดจบของทุกสรรพสิ่ง วัตถุเรื่องราวทั้งหมดพออยู่ตรงหน้าล้วนหยุดชะงักลง
เสียงมหามรรคาที่ยิ่งใหญ่ถูกตัดทิ้ง เสียงสวดมนต์และเสียงเซียนที่ไร้รูปร่างพอกระแทกใส่ม่านกำบังเรืองแสงสีดำก็สลายไปทันที กลายเป็นลวดลายที่ไร้รูปทรงหลายกลุ่ม
สมณะศาสนาพุทธท่านหนึ่งมาถึงใกล้ๆ มองหน้าเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิง เปล่งคำสรรเสริญพระคุณ จากนั้นก็ผลักสองมืออกพร้อมกับก้าวเท้า หมายข้ามรอยดาบที่เฟิงอวิ๋นเซิงเหลือไว้ในอากาศ
วรยุทธ์กระแสตรงของศาสนาพุทธมีลักษณะเด่นของตัวเอง โดยพระยูไลแห่งเขาหลิงซานอดีตเจ้าผู้ปกครองแดนอภิรดีศูนย์กลางซึ่งได้หลุดพ้นไปแล้วปรับปรุงแก้ไขยกระดับขึ้นมา
ก่อนแดนอภิรดีศูนย์กลาง ตอนที่แดนสุขาวดีตะวันตกยังอยู่ในโลก สองศาสดาแห่งนิกายตะวันตกได้ค้นหาเส้นทางอีกเส้นหนึ่งก่อนที่สำนักเต๋าสายเอกพิสุทธิ์จะเผยแผ่คำสอนไปทั่วฟ้าดิน เป็นต้นแบบวรยุทธ์กระแสตรงของศาสนาพุทธในปัจจุบัน
ของเดิมกับของเก่าอยู่เคียงคู่ พิสูจน์และผสมผสานกันและกัน ค่อยๆ เกิดวรยุทธ์ที่เป็นของศาสนาพุทธนอกจากวรยุทธ์สำนักเต๋า
ในนี้ถึงแม้ว่าจะมีจุดที่เชื่อมโยงกันได้ แต่ก็แตกต่างกันอยู่หลายที่
วรยุทธ์ศาสนาพุทธใช้ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นพื้นฐานแรกสุด ใช้อริยสัจสี่เป็นแก่นสาร ให้กำเนิดโพธิปักขิยธรรมสามสิบเจ็ดเป็นแกนหลัก เป็นการสืบทอดกระแสตรง จากนั้นก็แตกแขนง เกิดกิ่งก้านมากมาย
วรยุทธ์สาขาย่อยของศาสนาพุทธเหมือนกับการสืบทอดกระแสตรงสำนักเต๋าและการถ่ายทอดทั่วไป ที่ขีดความสามารถในการต่อสู้กับศัตรูใช่ว่าจะด้อยกว่าวรยุทธ์กระแสตรงของศาสนาพุทธ ถึงขั้นที่อาจเหนือกว่า
แต่ว่าในด้านการบำเพ็ญตน เส้นทางส่วนใหญ่มีจุดหมายเหมือนกัน สุดท้ายต่างกลับสู่เส้นทางเดียวกัน
หากฝึกฝนไปถึงด้านบน จะบรรลุซึ่งมรรคา ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ละทิ้งอัตตา ตื่นรู้ด้วยปัญญา
ในด้านนี้แดนสุขาวดีตะวันตกกับแดนอภิรดีศูนย์กลางแตกต่างกันไม่มากนัก กลับเป็นแดนสุขาวดีบัวขาว เป็นเพราะว่าพระศรีอาริย์สร้างหลักธรรมใหม่ ใช้เซนขัดเกลายุทธ์ ยุทธ์ยังอยู่ เซนกลับไม่ใช่เพื่อบำเพ็ญตน สัมผัสการตื่นรู้ พิสูจน์ความมุ่งมั่น หรือโปรดสรรพสัตว์อีกต่อไป
แต่ว่าสมณะศาสนาพุทธที่อยู่ตรงข้ามกับพวกเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิงในตอนนี้ เป็นผู้สืบทอดกระแสตรงของแดนสุขาวดีตะวันตก
ท่านยกสองมือขึ้น เป็นธัมมานุปัสสนา ฐานสุดท้ายของสติปัฏฐานในโพธิปักขิยธรรมสามสิบเจ็ด
ธรรมคือธรรมทั้งหลาย สรรพสัตว์ที่มีความรู้สึกและสรรพวัตถุที่ไร้ความรู้สึกทั้งหมดในโลกมักเรียกรวมกันว่าธรรมทั้งหลาย ต่างกำเนิดขึ้นมาเพราะเหตุผลและความว่างเปล่า
เมื่อเหตุและผลแยกออกจากัน ความว่างเปล่าสูญสลาย ล้วนเป็นเพราะความว่างเปล่าไม่มีจริง ชีวิตความตายเป็นเรื่องปกติ ในธรรมทั้งหลายเดิมทีไม่มีอันใดให้ยึดถือ
ขณะที่ใช้ธัมมานุปัสสนา สมณะศาสนาพุทธท่านนี้ยังโคจรนิโรธ สัจธรรมที่สามในอริยสัจสี่
การดับคือสำนึกของนิพพาน การดับ และการทำลาย ดับสมุทัยซึ่งก่อให้เกิดทุกข์รวมถึงผลบุญในสังสารวัฎของทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต หลุดพ้นซึ่งวัฏจักรสงสาร ไม่มีความทุข์ในสามภพ ไปถึงระดับนิพพาน เพื่อที่จะหลุดพ้น
สองธรรมผสานในนอก กลายเป็นธรรมทำลายล้าง ทำลายสิ่งขวางกั้นทุกประการ มุ่งสู่จิตจริงแท้ของการหลุดพ้น
ในการต่อสู้จริง มีความน่าอัศจรรย์ที่คล้ายคลึงกันกับคัมภีร์ลงทัณฑ์เซียนซึ่งเป็นหนึ่งในสี่กระบี่ล้ำค่าสายเหนือพิสุทธิ์
ถึงสมณะศาสนาพุทธท่านนี้จะอยู่ในพุทธเกษตรมานาน น้อยครั้งจะเข้าสู่ทางโลก แต่มองออกว่า เจตจำนงดาบของเฟิงอวิ๋นเซิงไม่ธรรมดา ดังนั้นไม่กล้าดูแคลน พอออกกระบวนท่าแรก ก็หลอมแก่นของสิ่งที่ตนได้เรียนรู้ทั้งหมดไว้ด้านในทันที
เฟิงอวิ๋นเซิงในม่านตาสองข้างมีแสงมารสีดำอมน้ำเงินสั่นไหว ยืนอยู่กับที่ไม่ไหวติง ดาบยาวในมือก็มั่นคงดุจขุนเขา ตั้งไว้หน้าทรวงอก ไม่ได้มีความคิดจะเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
การโจมตีของสมณะศาสนาพุทธที่พลังฝึกปรือเทียบเท่าเซียนกำเนิดสำนักเต๋าท่านนั้นโดนใส่ม่านกำบังที่เรืองแสงสีดำ ม่านกำบังราบเรียบเหมือนกับทะเลสาบ ไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย
แสงพุทธที่บริสุทธิ์เหมือนเครื่องเคลือบกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนกับแสงอาทิตย์ที่กระจายตกไป
‘แค่ป้องกันไม่โจมตีก็มีอานุภาพขนาดนี้แล้ว?’ คนที่อยู่รอบๆ ส่วนใหญ่ต่างตกใจ ‘ดูท่าทางของนาง สมควรเป็นประเภทยิ่งโจมตียิ่งแข็งแกร่งถึงจะถูก’
นักบวชฮุ่ยอั้นเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ‘มิน่าจึงจัดสตรีนางนี้อยู่ในเป้าหมายที่ให้ต้องความสำคัญ อำนาจมารสวรรค์ปัจฉิมธรรมเป็นสาเหตุหนึ่ง คนผู้นี้มีพรสวรรค์เหนือล้ำกว่าผู้คน สองอย่างเมื่อรวมกัน ในเซียนกำเนิดจะมีสักกี่คนที่เป็นคู่ต่อสู้ของนางได้? อีกทั้งยังเป็นในสถานการณ์ที่นางตั้งใจสะกดข่มไว้…’
นางมองเยี่ยนจ้าวเกอที่เหมือนสงบนิ่งยิ่งด้านข้างเฟิงอวิ๋นเซิง ขมวดคิ้วมากกว่าเดิม ‘เด็กน้อยผู้มีมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ เกรงว่าไม่ใช่ตะกียงประหยัดน้ำมันเหมือนกัน…’
ขณะที่ใคร่ครวญอยู่ นักบวชฮุ่ยอั้นก็หลบร่างไปด้านข้าง
ดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งแหวกอากาศ กลายเป็นประกายแสงไร้สิ้นสุด เฉียดผ่านไหล่ท่านไป
เกาหานยิ้มพลางหมุนตัวไปกระแทกกระบี่อู๋โกวทิ้ง จากนั้นก็จู่โจมนักบวชฮุ่ยอั้นใหม่
‘ร้ายกาจกว่าโจรเฒ่าหลี่ซิ่งป้ามากนัก’ นักบวชฮุ่ยอั้นต้านสภาวะโจมตีของเกาหาน ถอนใจเงียบๆ ‘คนรุ่นใหม่แทนที่คนรุ่นเก่าอย่างแท้จริง’
บนสมรภูมิในตอนนี้ เหล่าวีรบุรุษรวมตัว ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
นอกจากเฟิงอวิ๋นเซิงกับเยี่ยนจ้าวเกอที่จำกัดตัวเองอยู่ในพื้นที่หนึ่ง มั่นคงดุจเขาไท่ซานไม่เคลื่อนที่ไม่สั่นไหว คนอื่นๆ ล้วนเข้าสู่วงต่อสู้
“สำเร็จแล้ว” เยี่ยนจ้าวเกอพลันส่งเสียง
เขาประกบฝ่ามือสองข้าง แสงสว่างหลายสายตรงหน้าบินวนเวียนว่อน สุดท้ายสงบลง กลายเป็นกลุ่มแสงมัวซัว
………………..