ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1390 ดาบปัจฉิมธรรม หุบเหวโกลาหลสูญ
นกเผิงยักษ์สองตัวช่วงชิงวารีสามแสงกับพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
สมณะศาสนาพุทธต่อสู้เกาหานและหลี่ซิ่งป้า จอมปีศาจอีกสามตนตอนนี้โจมตีใส่พวกนักบวชฮุ่ยอั้น
นักบวชฮุ่ยอั้นช่วยเหลือพระโพธิสัตว์อุทุมพร ตวาดเสียงขึ้น กระบี่คู่อู๋โกวบนหลังออกฝักอีกครั้ง ร่ายระบำตัดขวางกลางอากาศ กลายเป็นมหาสมุทรประกายกระบี่ผืนหนึ่ง ขัดขวางจอมปีศาจ
สมณะศาสนาพุทธที่เหลือพากันลงมือ ป้องกันหลี่ซิ่งป้า
จากนั้นเหล่าเถระก็ใช้ความสามารถก้าวเท้าเกิดบัว หนีออกไปไกลด้วยความเร็วสูง
อีกด้านหนึ่ง น้ำเต้าสีแดงที่บรรจุวารีสามแสงได้รับผลกระทบจากพลังค่ายกลของเยี่ยนจ้าวเกอ ลอยไปหาเขา
คนอื่นๆ ย่อมไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี ไม่ว่าหลิงชิง ชื่อหลานเต้าหยิน หรือนกเผิงสองตัวนั้น ต่างพุ่งมาทางเขา
เยี่ยนจ้าวเกอไม่เคลื่อนไหว นั่งขัดสมาธิลงกับพื้น เก็บม้วนหนังสือม้วนนั้นไว้กลางสองฝ่ามือ
ขณะนี้แสงมารสีน้ำเงินแกมน้ำเงินในดวงตาสอง้งข้าของเฟิงอวิ๋นเซิงเริ่มเปลี่ยนเป็นดุร้ายล้ำลึก
นางถือดาบด้วยมือหนึ่ง ในมือข้างที่ว่างอยู่เพิ่มขวดหยกสีดำขนาดกระทัดรัดใบหนึ่ง
เฟิงอวิ๋นเซิงกางแขนออกไปสองข้าง ควันมารเพลิงทมิฬที่น่ากลัวไหลจากศีรษะของนางออกมาที่ไหล่ ก่อนจะลามไปยังบนแขน
เพลิงมารพวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง มาจากปราณดาบเพลิงนรกในอดีต แต่กลับไม่ได้รวบรัดเหมือนอย่างพลังของสุริยุปราคา
ความดุร้ายกับความชั่วร้ายในนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่อยู่ในระดับชั้นที่ลึกกว่า กลับเป็นความเปล่าเปลี่ยวและความสิ้นสูญ เหมือนกับความตายนิรันดร์ และจุดจบของทุกสิ่ง
เพลิงสีดำที่เหมือนควันเหมือนไฟลอยขึ้นอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ผนึกตัวเป็นภาพเงาที่เป็นมายาภาพสายหนึ่งเหนือร่างของเฟิงอวิ๋นเซิง
ภาพเงานี้มองไปเหมือกนับเงาร่างที่ชั่วร้ายสุดขีด แต่ก็เหมือนตัวตนที่ว่างเปล่า เป็นความเงียบสงัด
วัตถุเรื่องราวใดๆ ไม่ว่ามีรูปร่างหรือไม่มี ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีชีวิต หากเข้าไปด้านใน ล้วนพบกับจุดจบ ไม่คงอยู่อีก
เวลา มิติช่องว่าง คุณสมบัติ ชีวิต จิตใจ ไปจนถึงหลักการมากมายในโลก ไม่มีอะไรหลบเลี่ยงได้แม้แต่อย่างเดียว
ที่นั่นเหมือนกับเหวลึกที่น่าพรั่นพรึงที่สุด กลับเหมือนที่พักพิงสุดท้ายของทุกๆ ตัวตน
ยากจะอธิบายราวกับความโกลาหล ยากจะบรรยายถึงสภาพของมัน ขณะเดียวกันก็ทำให้คนอดเกิดความรู้สึกผิดปกติจากความสิ้นหวังไปถึงความชาด้านไม่ได้
ดาบปัจฉิมธรรม หุบเหวโกลาหลสูญ!
แสงสว่างขึ้นบนศีรษะของเฟิงอวิ๋นเซิง
ตอนแรกมีสายเดียว…
จากนั้นก็มีสายที่สอง!
สองบุปผาบนกระหม่อม!
สภาวะของนางทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดตั้งแต่เริ่มการต่อสู้มา
“ขออภัยที่ล่วงเกิน” นางกล่าวเบาๆ สภาพประหลาดที่เหมือนกับวันสิ้นโลกด้านบนลอยลงด้านล่าง ถูกเก็บเข้าไปในร่าง
จากนั้นขวดหยกสีดำในมือซ้ายนางก็หายไป มือข้างที่ว่างลงยื่นไปด้านหน้า แสงสีดำกะพริบ เหมือนกับลบช่องว่างระหว่างสองฝ่าย บรรลุถึงด้านหน้านกเผิงยักษ์ตัวหนึ่ง คว้ากรงเล็บใส่คอของมัน!
นกเผิงยักษ์ตัวนั้นคิดขัดขืน แต่ว่าภายใต้การกะพริบของแสงสีดำ นกเผิงยักษ์ไม่อาจบินหนีได้โดยสมบูรณ์ ถูกเฟิงอวิ๋นเซิงจับไว้ในมือแน่น
พร้อมกับที่เฟิงอวิ๋นเซิงบีบมือ คอของนกเผิงยักษ์ตัวนั้นก็ส่งเสียงดังกร๊อบๆ เสียงหายใจที่เหมือนกับลมรั่วดังออกมาจากคอหอย กระพือปีกหยุดไม่หยุด เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปาก ดวงตาเริ่มเหลือกขาว
ในขณะเดียวกัน เฟิงอวิ่นเซิงขวางดาบยาวในมือแล้วฟันออกไป ดูธรรมดาไร้ความประหลาด ไม่มีเสียงใดๆ
ทว่าหลิงชิง ชื่อหลานเต้าหยิน กับนกเผิงยักษ์อีกตัวสีหน้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ชื่อหลานเต้าหยินผลักสองฝ่ามือออก หมอกสีแดงหลายสายผนึกกันกลายเป็นแสงสีแดงผืนหนึ่ง กลายเป็นม่านกำบัง ป้องกันอยู่ด้านหน้า
ทว่าบนม่านกำบังเพิ่มเส้นสายสีดำเส้นหนึ่งขึ้นมาอย่างไร้เค้าลาง เส้นสายสีดำกระจายไปทั่ว ม่านแสงสีแดงพลันแตกร้าว แยกหนึ่งเป็นสอง
ชื่อหลานเต้าหยินรีบร้อนเปลี่ยนกระบวนท่า แสงสีแดงถูกกดกลายเป็นเส้นสีแดงเส้นหนึ่งด้วยความเร็วสูง ผนึกตัวสุดเปรียบปาน เปลี่ยนแปลงยากหยั่งคาด คว้าจับเส้นโคจรของเส้นสายสีดำ หมายจะขัดขวางมันไว้
ทว่าสองฝ่ายพอกระทบกัน เส้นสายสีแดงแตกออกทีละส่วนๆ เส้นสายสีดำเหมือนกับไม่ได้รับความเสียหายโดยสิ้นเชิง มุ่งหน้าต่อไป
ชื่อหลานเต้าหยินจนปัญญา ได้แต่หันกายยกเท้าหนีไป
เส้นสายสีดำเหมือนกับไม่คิดจะเข่นฆ่าให้หมดสิ้น เพียงแต่ไล่ตามอยู่ด้านหลัง คอยจี้ชื่อหลานเต้าหยิน ไม่ให้โอกาสเขาหยุดนิ่ง
นกเผิงยักษ์ตัวนั้นกระพือสองปีก แสงสีทองหลายสายกลายเป็นพายุเข้าปะทะ แต่ประกายดาบสีดำเหมือนกลายเป็นพายุที่คลุ้มคลั่งกว่า ม้วนแสงสีทองหายไปในพริบตา
นกเผิงยักษ์ร้องเสียงประหลาด ไม่กล้าป้องกันอีก หมุนกายกระพือปีกหนีไป
มันรวดเร็วจริงๆ พริบตาที่ออกตัว ก็แทบแซงชื่อหลานเต้าหยินแล้ว
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ประกายดาบสีดำนั้นขณะที่ไล่ตามมา ความเร็วกลับเหมือนพลันเพิ่มขึ้น!
นกเผิงยักษ์ตัวนั้นเพิ่งกระพือปีกคิดบินหนี ก็ถูกประกายดาบฟันโดน!
ในที่สุดเผิงยักษ์ก็มีความเร็วสุดยอดสมคำร่ำลือ ทำให้มันหลบจุดตายได้อย่งหวุดหวิด
ทว่าพอดาบฟันลง ปีกข้างหนึ่งก็ถูกฟันขาดลงมา!
หลิงชิงแม้ตกใจ แต่คล้ายกับมีการป้องกันอยู่บ้าง ดังนั้นพริบตาที่เห็นเฟิงอวิ๋นเซิงมีสองบุปผาบนกระหม่อม ก็ไม่คิดจะต้านทานเหมือนกับชื่อหลานเต้าหยินและนกเผิงยักษ์ ถอยร่างหลบหลีกทันที
ทว่าถึงนางจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว บนแสงจันทร์สะาวที่ปกป้องตัวเองรอบๆ ร่างกาย พลันเพิ่มเส้นสายสีดำสายหนึ่ง
จากนั้นจันทร์เย็นเยียบก็หลบหลีกในความว่างเปล่า ไม่ได้แยกออกเป็นสองส่วน
ประกายดาบสีดำยังคงติดตามอยู่ด้านหลังหลิงชิง ขับไล่หลิงชิงให้ออกไปไกลๆ เหมือนกับที่ไล่ชื่อหลานเต้าหยิน
เฟิงอวิ๋นเซิงฟันดาบลง ประกายดาบสีดำเหมือนกับอยู่ในทุกมิติเวลา คดเคี้ยวเลี้ยวลด ลอยๆ จมๆ เหมือนกับคลื่นทะเล ช้าเร็วไม่เท่ากัน บัดเดี๋ยวหายบัดเดี๋ยวปรากฏ
คนอื่นๆ เห็นดังนั้นต่างแตกตื่น ‘มาถึงขั้นนี้แล้วหรือ?’
‘ถึงไม่ใช่โกลาหลสูญ แต่ก็คล้ายคลึงถึงขีดสุด!’ มู่จากับหลี่ซิ่งป้าใบหน้าฉายแววแตกตื่นสงสัย
เกาหานตาเป็นประกายติดต่อกัน ‘ฮ่า ใต้เท้าอายุวัฒนาหนานจี๋มอบของวิเศษนั้นให้เร็วไปบ้าง…’
เฟิงอวิ๋นเซิงเอาชนะพวกหลิงชิงได้ ก็ออกแรงที่มือซ้าย หักคอของนกเผิงยักษ์ที่จับไว้อีกตัวทิ้ง!
นางเคลื่อนไหวสบายๆ ไม่ลุกลี้ลุกลน ทุกการเคลื่อนไหวดูเหมือนต่างทำให้คนเห็นได้ชัดเจน แต่ก็เร็วจนไร้กำลังหลบหลีก
หลังจากโยนศพของนกเผิงตัวนั้นไว้ด้านข้าง เฟิงอวิ๋นเซิงก็วูบไหวท่าร่าง ปรากฏขึ้นด้านหลังอนุเทวะเผ่าวานรสีเทาตัวนั้น
เมื่อครู่ตอนที่เฟิงอวิ๋นเซิงจับนกเผิงยักษ์ไว้ เพราะความเป็นพันธมิตร อนุเทวะเผ่าวานรสองตนกับอนุเทวะเผ่ากระเรียนตนหนึ่งได้ผละจากทางศาสนาพุทธ เข้ามาหมายจะช่วยเหลือโดยสัญชาตญาณ
ทว่ากำลังเร่งรุดมา การต่อสู้ทางด้านนี้ถึงกับจบลงแล้ว
อนุเทวะเผ่าวานรตนนั้นขนทั่วร่างชูขึ้น ขยายร่างใหญ่โต มหึมาจนยากจะกะประมาณ แค่ศีรษะก็ใหญ่โตเหมือนกับเทือกเขาคุนหลุนบนโลกซ้อนโลก
ทว่าร่างกายที่มหึมานี้ยังไม่ทันได้หมุนตัว เฟิงอวิ๋นเซิงก็ฟันดาบหนึ่งลงแล้ว
นางยั้งมือไว้ ไม่ได้เอาชีวิตของอนุเทวะเผ่าวานรนั้น
ทว่าแสงสีดำกระจายไปทั่ว เลือดปีศาจทะลักออกมา ร่างกายขนาดยักษ์หดลงอย่างรวดเร็ว เหมือนกับลูกหนังที่ลมรั่ว ล้มคว่ำลงด้านหน้าดุจผลักเขาทองคว่ำใส่เสาหยก
อนุเทวะเผ่าวานรที่ขนสีเขียวอีกตน กับอนุเทวะเผ่ากระเรียนตนนั้นเห็นฉากเหตุการณ์นี้ พลันหยุดนิ่งลง เย็นเฉียบไปทั่วร่าง
เฟิงอวิ๋นเซิงกวาดมองพวกเขา ไม่ได้หยุดลง มองไปยังความว่างเปล่าที่ไม่มีสิ่งใด แสงมารสีดำอมน้ำเงินเต้นระริกในม่านตาไม่หยุด
วินาทีถัดมา เพลิงมารในม่านตาดับลง ถอยร่างไปด้านหลัง กลิ่นอายสูญสิ้นทั่วร่างหายไปด้วย
อีกด้านหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจในตัวนางดี ไม่จำเป็นต้องสื่อสาร ก็ฟาดสองฝ่ามือลงด้านล่าง
มิติเวลาตรงกลางค่ายกลขนาดมหึมาพังทลายลงด้านล่าง กอปรเป็นหลุมดำขนาดยักษ์ กลืนกินบริเวณรอบๆ อย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
………………..