ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1391 คิดว่าไม่มีคนควบคุมท่านได้หรือ
พอเห็นท่าทางของเฟิงอวิ๋นเซิง คนอื่นๆ คิดว่านางมีพลังไม่พอ
ทว่าเกาหานกับหลิงชิงกลับคาดเดาความจริงได้ ‘นางกำลังหลีกเลี่ยงไม่ดึงดูดความสนใจของนพยมโลก?’
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นได้ชัดว่าทราบเรื่องนี้ เตรียมตัวไว้แต่แรก
ภายใต้การควบคุมของเขา ค่ายกลเก้างามเจ็ดวิเศษคุมหยินหยางหมุนกลับด้าน มิติเวลาพังทลายกลางค่ายกล หลุมดำขยายออกไปรอบๆ อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ก็มีแรงดึงดูดมหาศลส่งออกมาจากในหลุมดำอันน่ากลัว ลากทุกสิ่งทุกอย่างด้านบนให้จมลงเบื้องล่าง เหมือนกับต้องการกลืนกินทุกสิ่ง
คนที่อยู่รอบๆ ต่างมีการฝึกปรือล้ำเลิศ
ถึงแม้การควบคุมและความเข้าใจที่มีต่อพลังของกาลเวลาและมิติช่องว่างจะมีการแบ่งสูงต่ำระหว่างกัน แต่ไม่ว่าผู้ใด ต่างทำลายอากาศเป็นผุยผงได้ ทั่วบริเวณล้วนเป็นหลุมดำ
ทว่าขณะที่เผชิญหลุมดำที่เกิดจากการพังทลายของค่ายกล มิติเวลาเปลี่ยนเป็นซับซ้อนปั่นป่วน ทำให้ผู้คนยากจะเกาะกุม ล้วนควบคุมร่างไม่ได้ ถูกผลกระทบจากจากพลังของบึงมารเหวลึกนั้น ฉุดลากไปด้านล่าง ตกเข้าไปด้านใน
เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ร่างจมลง
ในมือของเขา ลายมือแห่งแผ่นดินค่อยๆ สูญเสียแสงสีมืดหม่นลงในชั่วขณะ
ทว่าในฐานะคนควบคุมค่ายกล แม้ค่ายกลจะหมุนกลับพังทลาย แต่ว่าพลังของค่ายกลที่เหลืออยู่ยังคงสร้างการคุ้มครองให้แก่เขา ดังนั้นความเร็วในการตกจึงเชื่องช้า
คนอื่นๆ มีความแข็งแกร่งอ่อนแอในด้านระดับพลัง รวมถึงความสูงต่ำในความเข้าใจต่อหลักการแห่งกาลเวลาและมิติช่องว่าง ความเร็วในการตกจึงมีเร็วมีช้า
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าปีศาจ สมณะศาสนาพุทธ หรือพวกหลี่ซิ่งป้าและชื่อหลานเต้าหยิน ต่างพากันจมลงไปในหลุมดำ
เวลานี้ต่างฝ่ายไม่สนใจจะโจมตีกันเองอีก รวมกายใจเป็นหนึ่ง ใช้วรยุทธ์ป้องกันตัวเอง
นอกจากจอมปีศาจที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตนนั้นแล้ว ต่อให้ถูกม้วนเข้าไปในภัยพิบัตินี้ อาศัยขีดความสามารถพลังฝึกปรือของพวกนักบวชฮุ่ยอั้น กลับไม่มีอันตราย แต่หลีกเลี่ยงการพลัดหลง ถูกมิติเวลาที่ปั่นป่วนม้วนจนต่างคนต่างไม่ทราบทิศทางไม่ได้
เมื่อเป็นแบบนี้ เฟิงอวิ๋นเซิงย่อมไม่ต้องเข่นฆ่าผู้คนต่อ
น้ำเต้าสีแดงที่บรรจุวารีสามแสงใบนั้น ยามนี้ถูกเยี่ยนจ้าวเกอเก็บเข้ากระเป๋าอย่างผ่อนคลาย
ถ้าต่างฝ่ายต่างพลัดหลงกันไป จะช่วยอำพรางการถอยของพวกเขาสองคนได้พอดี
เกาหานเป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ตกเข้าไปในหลุมดำช้าที่สุด เห็นดังนั้นตาก็เป็นประกาย ยิ้มขึ้นพลางถอนใจ “วารีสามแสงมีปริมาณจำกัด ใครไม่อยากได้ไปคนเดียวบ้าง? สุดท้ายเป็นเทวกษัตริย์น้อยมีฝีมือยอดเยี่ยม”
เยี่ยนจ้าวเกอที่ตกเข้าไปในหลุมดำช้าที่สุด เพราะมีพลังของค่ายกลซึ่งตกค้างอยู่คุ้มครอง มองเขาอย่างเงียบๆ พลันยิ้มขึ้นเช่นกัน
“ราชันพระอาทิตย์ท่านไม่ใช่ว่าไม่ต้องการของชิ้นนี้หรอกหรือ?”
เกาหานพอฟัง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “เทวกษัตริย์น้อยกล่าวอันใด…”
เสียงยังไม่ทันขาด เขาตาเป็นประกายอยู่บ้าง
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอเก็บน้ำเต้าสีแดงกับลายมือแห่งแผ่นดินแล้ว ก็ประสานสองมือเป็นมุทรา ชี้ไปที่เขา “ราชันพระอาทิตย์ตั้งฉายาให้แก่ข้าผู้แซ่เยี่ยน ข้าผู้แซ่เยี่ยนรู้สึกว่าเป็นเกียรติยิ่ง หวังว่าจะกลายเป็นดั่งคำอวยพรของท่าน”
“ข้าไม่มีอะไรตอบแทน ขอมอบของขวัญขอบคุณเล็กๆ ให้ก่อน!”
หลี่ซิ่งป้ากับกงซุนฮุยสองศิษย์อาจารย์แค่ถูกท่านยึดถือเป็นเครื่องมือ
ท่านเกาหานกลับซ่อนแผนการร้ายไว้ในใจ
คิดว่าไม่มีคนควบคุมท่านได้หรือ?
เยี่ยนจ้าวเกอชี้สองมือจากที่ไกล ค่ายกลเก้างามเจ็ดวิเศษคุมหยินหยางที่กำลังพังทลายสั่นไหวเป็นครั้งสุดท้าย
ลวดลายค่ายกลที่ขอบรอบๆ ยังไม่ถูกหลุมดำกลืนกิน ผนึกตัวกลายเป็นเสาแสงเก้าต้น แล้วพุ่งเข้าหาเกาหาน!
เสาแสงเก้าต้นนั้นไม่กระทบถูกตัวเขา ในห้วงนาทีสุดท้ายสลายออก พากันตกเข้าไปในหลุมดำ วนเวียนอยู่รอบๆ เกาหาน
แสงสลายหมดสิ้น มิติเวลาที่สับสนพลันระเบิด
ขณะเดียวกัน เฟิงอวิ๋นเซิงที่ก่อนหน้าเก็บพลังลมปราณ หากแต่การตกลงก็ค่อนข้างช้าเช่นกัน วินาทีนี้เพลิงมารสีน้ำเงินลุกโชนขึ้นในม่านตาสองข้างอีกครั้ง!
การเคลื่อนไหวก่อนหน้าทำให้คนนึกว่านางไม่คิดลงมืออีก ทว่าขณะนี้กลับมอบการโจมตีอย่างฉับพลันให้แก่เกาหาน
ประกายดาบอันน่าพรั่นพรึงสีดำข้ามผ่านความว่างเปล่า ถึงขั้นวาดผ่านหลุมดำ แหวกมิติเวลาที่ปั่นป่วน ฟันใส่เกาหาน
เกาหานไม่หวั่นเกรง แต่คิ้วขมวดเล็กน้อย
ดาบนี้ของเฟิงอวิ๋นเซิงเทียบกับท่าเหวลึกโกลาหลสูญซึ่งทำลายมรรควิถีทั้งหมดนั้นไม่ได้ แต่กลับทำให้เขาเกาหานที่ขณะนี้ติดอยู่ในหลุมดำไม่อาจไม่ปลุกปลอบสมาธิรับมือ
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เกาหานทราบแล้วว่าสามีภรรยาคู่นี้คิดทำอะไร
“ท่านพบได้อย่างไร?”
เกาหานมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างจริงจังยิ่ง ขณะเดียวกันก็ต้านการโจมตีของเฟิงอวิ๋นเซิง กับกระแสปั่นป่วนของมิติเวลาที่คลุ้มคลั่งกว่าเดิมรอบๆ ตัว
เขาครางหนักๆ คำหนึ่ง ถึงธงเทวาสุริยันจะไม่ได้หลุดออกจากมือ ทว่าตะเกียงเขียวเครื่องเคลือบที่แย่งชิงมาจากพระโพธิสัตว์อุทุมพร ซึ่งก่อนหน้าถูกธงเทวาสุริยันม้วนเอาไว้ กลับถูกกระแทกหลุดออกจากการสะกดของธงเทวาสุริยัน หล่นเข้าไปในหลุมดำ
หลุมดำกวนคนทีหนึ่ง ไฟตะเกียงสว่างขึ้น ตะเกียงเขียวเครื่องเคลือบหายไปในพริบตา เร็วกว่าความเร็วในการหายไปของเกาหานเสียอีก
เกาหานมองตะเกียงเขียวเครื่องเคลือบ ถอนใจคำหนึ่ง
นั่นจึงเป็นของที่เขาต้องการ
สำหรับเขาแล้ว ยังหายากล้ำค่ายิ่งกว่าวารีสามแสงเสียอีก นั่นเป็นตัวแทนจดหมายที่สำคัญฉบับหนึ่ง แม้แต่เจ้าของอย่างพระโพธิสัตว์อุทมพรก็ไม่ทราบถึงความลับที่น่าอัศจรรย์ซึ่งอยู่ด้านใน
ของชิ้นนี้พอหายไป ย่อมส่งได้อีก แต่คิดจะตามหาโอกาสบังฟ้าข้ามทะเลเช่นนี้ กลับไม่ทราบว่าต้องรอถึงตอนไหนแล้ว
เวลาหากเสียไป ยังไม่เอ่ยถึงแผนการมากมายของตนล่าช้าลง การเตรียมการจำนวนมากล้วนสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ คิดจะเตรียมใหม่ไม่ง่ายดาย
เป็นเป็ดที่เข้ามาอยู่ในหม้อแล้วแท้ๆ ถึงกับบินหนีไปแล้ว
เกาหานร่างจมเข้าไปในหลุมดำ สุดท้ายหันไปมองทิศทางที่เยี่ยนจ้าวเกออยู่ ดวงตาฉายแววประหลาดใจ
“ถ้าหากว่าราชันพระอาทิตย์กังวลว่าเศษศิลาฟ้ากำเนิดในมือจะไม่ปลอดภัย ข้าผู้แซ่เยี่ยนสามารถช่วยรักษาให้ ท่านว่าอย่างไร?” เสียงของเยี่ยนจ้าวเกอดังขึ้นระหว่างจักรวาล ร่างของเขา เฟิงอวิ๋นเซิง และเกาหาน ต่างหายไปในหลุมดำ
พอจมลงมาในหลุมดำ ตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอก็เป็นทัศนียภาพที่ปั่นป่วน
เขาพยายามควบคุมร่างของตัวเองให้มั่นคงในมิติเวลาที่สับสน ไหลไปตามกระแส
เวลาในที่นี้เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า สูญเสียความหมายโดยสิ้นเชิง
เนิ่นนานให้หลัง มิติเวลาที่บิดเบี้ยวตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอก็เริ่มกลับสู่สภาพปกติ
รอจนทุกอย่างกลายเป็นอย่างเดิม ตรงหน้ายังคงเป็นความว่างเปล่าอันมืดมิดที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เหมือนกับยังอยู่ในพื้นที่ที่สู้กันเมื่อครู่
มิติไร้สิ้นสุดนอกเขตแดนล้วนเป็นเช่นนี้ ไปที่ไหน ทัศนียภาพล้วนเป็นเหมือนกัน
การแยกแยะทิศทางมีแต่ต้องพึ่งพาดวงดาว รวมถึงการสัมผัสและการควบคุมที่มีต่อตำแหน่งในมิติเวลาของตัวจอมยุทธ์เอง
‘ภัยพิบัติครั้งนี้ทำให้คนหลุดมาไกลอยู่บ้าง’ เยี่ยนจ้าวเกอคาดคำนวนในใจครู่หนึ่ง อดแยกเขี้ยวขึ้นไม่ได้ ‘ไม่รู้ว่าอวิ๋นเซิงตอนนี้อยู่ไหน’
เขาลองติดต่อกับเฟิงอวิ๋นเซิงดูก่อน การติดต่อในมิติไร้สิ้นสุดนอกเขตแดนไม่ง่ายดาย เสียเวลาไปไม่น้อย ค่อยได้รับการตอบกลับ
โชคดีที่สองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่มากนัก เยี่ยนจ้าวเกอหยุดอยู่ที่เดิม ซ่อนเร้นร่าง รอเฟิงอวิ๋นเซิงมาพบกับตน
ขณะที่รอคอย เยี่ยนจ้าวเกอก็ตรวจสอบสิ่งที่ได้มาในครั้งนี้
‘วารีสามแสงน่าอัศจรรย์จริงๆ น่าเสียดายที่มีน้อยไปบ้าง’ เขาหัวเราอย่างเบิกบาน ‘กระนั้นพอได้สินสงครามอีกอย่างมา ครั้งนี้นับว่าไม่เสียเที่ยวแล้ว’
………………..