ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1400 แดนเซียนไม่ต้อนรับท่าน
บนร่างของเฉินกานหวาปรากฏรอยแผลที่น่ากลัวหลายสาย ในรอยแผลมีแสงสว่างทะลักออกมาไม่หยุด
ในมิติเวลาแห่งหนึ่งด้านในแควธารสวรรค์ เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฟังว่าท่านไม่กลัวตาย? แล้วถ้าแบบนี้ท่านจะว่าอย่างไร?”
ขณะที่พูด เขาก็ทิ่มนิ้วใส่มุกลวงตาเป็นจริงอีกครั้ง
ด้านนอกแควธารสวรรค์ เฉินกานหวาพลันตัวสั่นอีกรอบ ที่ผิวมีรอยร้าวโผล่ขึ้นอีกหลายสาย
เฉินกานหวาในดวงตาสองข้ามีแสงสว่างสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นมา กะพริบติดต่อกัน “…วิชายอดพิภพทำลายเทพ? วิชาลับที่ไม่เป็นที่รู้จักกันขนาดนี้…ไม่ใช่ ไม่ใช่แค่วิชายอดพิภพทำลายเทพเท่านั้น แค่วิชายอดพิภพทำลายเทพข้าสามารถแก้ไขได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ยังรวมการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นอีกมากมาย…”
“ท่านนี้รู้มากจริงๆ” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเย็นชา “แต่ว่าโง่เง่าเกินไป”
ว่าแล้ว ก็ทิ่มนิ้วที่สามใส่มุกลวงตาเป็นจริง
เฉินกานหวาที่อยู่อีกด้านร่างสั่นสะท้าน อาการบาดเจ็บบนร่างหนักขึ้น
ถ้าเขามาต่อสู้กับเยี่ยนจ้าวเกอด้วยตัวเอง ไม่ว่าสุดท้ายจะชนะหรือแพ้ คงจะไม่มีสภาพเอนจอนาถถึงขั้นนี้
เท่ากับส่งตัวเองมาถึงที่ แทบไม่มีพลังโต้ตอบ เป็นเป้าให้เยี่ยนจ้าวเกอต่อยใส่!
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ อาการบาดเจ็บบนร่างของเขาในตอนนี้ไม่ใช่ส่งผลแค่ร่างกายหรือวิญญาณเท่านั้น
นั่นเป็นบาดแผลมรรคา กำลังกีดขวางการประสานเสียงและการตอบแทนระหว่างเฉินกานหวากับมรรคาฟ้าดิน
บาดแผลมรรคารุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหมือนทรายรวมกันกลายเป็นเจดีย์ สั่งสมจากน้อยเป็นมาก ข้ามผ่านขอบเขต ไปถึงระดับที่ยากจะชดเชย!
สภาพแบบนี้ทำให้เขาไม่มีหวังกลายเป็นเซียนลี้ลับได้ตลอดชีวิต!
หากกล้าไปฝ่าภัยพิบัติสัจพิศวง ก็เป็นจุดจบตายสิบไร้ทางรอด
และตอนนี้เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!
“แดนเซียน ไม่ต้อนรับท่าน ไสหัวไปให้พ้นๆ” เยี่ยนจ้าวเกอตั้งสองนิ้วขึ้น นิ้วชี้และนิ้วกลางตั้งตรงดุจกระบี่ ฟันใส่มุกลวงตาเป็นจริง
เฉินกานหวาที่บาดเจ็บจนถึงจุดวิกฤตแล้ว พอรับกระบี่ข้ามมิติที่หลอมรวมวิชาลับต่างๆ เช่นวิชายอดพิภพทำลาายเทพกับกระบี่เนรเทศเซียนนี้ ร่างพลันสั่นไหว สั่นสะท้านอย่างรุนแรงชนิดไม่เคยมีมาก่อน!
ร่างของเขามีรอยแผลทั่วอยู่แล้ว วินาทีนี้พังทลายลงโดยสมบูรณ์ เหมือนกับเครื่องลายครามที่แตกอย่างแท้จริง!
ในรอยแตกที่ถี่ยิบนับไม่ถ้วนมีแสงสว่างทะลักออกมา กลบร่างของเฉินกานหวาโดยสมบูรณ์
ปราณเซียนหลายสายกระจายออกมาจากด้านใน ล่องลอยไปทั่ว เกิดพายุหลายกลุ่มขึ้นในความว่างเปล่านอกเขตแดนไร้สิ้นสุด
รอพายุสงบลง แสงสลายไป ร่างของเฉินกานหวาก็ปรากฏขึ้นใหม่
รูปร่างของเขามองจากภายนอกคล้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด
แต่จากนั้น ก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
เลือดที่แท้จริง
เป็นเลือดเนื้อของคนธรรมดา
อัจฉริยะสะท้านโลกที่เลื่อนสู่ระดับเซียนในเวลาไม่ถึงสองร้อยปี เคยโด่งดังอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และเซียนจริงแท้อายุน้อยที่มีไม่กี่คนผู้นี้ ถูกเยี่ยนจ้าวเกอถีบออกมาจากในประตูเซียน ระดับลดลง ตกสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์!
เขาที่อ่อนแอถึงขีดสุด ผิวซีดขาวกว่าเดิม พึมพำขึ้น “เยี่ยนจ้าวเกอ...”
เฉินกานหวาไม่ได้ยึดติดและให้ความสำคัญกับระดับพลังฝึกปรือของตัวเองเหมือนกับจอมยุทธ์คนอื่นๆ
สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นหลักกระกันและเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้หาความบันเทิง
ตอนแรกคิดตามหาพวกเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ เกาหาน เนี่ยจิงเสิน เขารู้สึกว่าการฝึกปรือระดับเซียนจริงแท้ไม่พอแล้ว จึงเกิดความคิดไต่สู่ระดับเซียนลี้ลับในระยะเวลาอันสั้น
สุดท้ายตอนนี้ถูกเยี่ยนจ้าวเกอลดระดับ ตกสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์!
แม้ที่แล้วมาเฉินกานหวาจะไม่สนใจระดับวรยุทธ์ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกถึงความแค้นอยู่หลายส่วนอย่างหาได้ยาก
ความแค้นและความอัปยศที่เกิดขึ้นเพราะความผิดหวังซึ่งความปรารถนาของตัวเองไม่เป็นจริง
เฉินกานหวาล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดเหมือนกับศพ เลอะเลือนมึนงง ถูกพายุดวงดาวปัดเป่า หายไปในความมืด
ด้านในแควธารสวรรค์ เยี่ยนจ้าวเกอมองมุกลวงตาเป็นจริงซึ่งเสียหายจนแหลกสลายในตอนสุดท้ายอย่างเย็นชา สะบัดมือโยนเศษไข่มุกทิ้งอย่างไม่นำพา
เขาหมุนตัวไปมอง อีกด้านหนึ่ง เฟิงอวิ๋นเซิงใช้พลังของตัวเองต้านทานหลี่ซิ่งป้ากับอนุเทวะเผ่ากระเรียน เซียนกำเนิดสองคนไม่อาจอ้อมข้ามนางมาได้
กงซุนฮุยจิตใจเกิดความเย็นเยียบอย่างไม่อาจควบคุม ขณะมองดูเยี่ยนจ้าวเกอทำลายมุกลวงตาเป็นจริง และมองดูฝ่ายตัวเอง
เขาไม่ทราบว่าตอนนี้เฉินกานหวาเป็นอย่างไรแล้ว แต่ว่าประสบการณ์ที่แพ้แก่เยี่ยนจ้าวเกอ แล้วถูกอีกฝ่ายสะกดไว้ ยังจดจำได้เหมือนเกิดเมื่อวาน
หลี่ซิ่งป้ากับอนุเทวะเผ่ากระเรียนถูกกดดันถอยหลัง มองเฟิงอวิ๋นเซิงด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้แข็งแกร่งเท่าตอนกวาดทำลายจักรวาลด้วยสองบุปผาบนกระหม่อม กลับทำให้พวกเขารู้สึกจนปัญญา
“ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร ล้วนเป็นสหายร่วมเส้นทางสามพิสุทธิ์ พวกหลี่เต้าจ่างกลับปล่อยให้เฉินกานหวามาก่อเรื่องหรือ?” เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองหลี่ซิ่งป้ากับกงซุนฮุย
เขาชี้ด้านล่าง “จักรพรรดิเจิดจรัสที่เสียชีวิตลงที่นี่ สำหรับหลี่เต้าจ่างท่านเป็นผู้เยาว์อย่างมิต้องสงสัย แต่เป็นเพราะความพยายามในอดีตของจักรพรรดิเจิดจรัส แย่งชิงเศษศิลาฟ้ากำเนิดที่โถงเซียนต้องการมาได้ จึงค่อยชิงโอกาสรุ่งเรืองอีกครั้งให้สำนักเต๋าสายหลักของพวกเรา”
“หากว่าเทวกษัตริย์ไร้ประมาณได้ศิลาฟ้ากำเนิดที่สมบูรณ์ไป ผู้สืบทอดสำนักเต๋าอย่างเราล้วนอาจถูกเขาชำระล้างข้ามมิติได้!”
“หลี่เจ้าจ่างท่านถึงเป็นผู้อาวุโสที่สำเร็จมรรควิถีในยุคโบราณตอนต้น แต่ถ้าท่านไม่ได้เลื่อนสู่ระดับมหาชาล ท่านก็ได้รับการคุกคามเช่นเดียวกัน ต่อให้ท่านเร้นกายในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดลึกขนาดไหน ไม่ก้าวก่ายทางโลกอีก ก็ยากจะรอดไปได้”
เยี่ยนจ้าวเกอปั้นสีหน้าจริงจัง “สหายร่วมเส้นทางที่สละชีวิตของตัวเองเพื่อผู้สืบทอดของสำนักเต๋าสายหลักเช่นพวกเรา ไฉนเลยรับการหยามหยันจากชนชั้นเฉินกานหวา? เขาเฉินกานหวาเป็นคนได้รับผลประโยชน์เหมือนกัน”
“ใครจะทราบว่าคำกล่าวของเจ้าเป็นจริงหรือเท็จ” กงซุนฮุยอดไม่ได้ “ก่อนพวกเราจะมาหาทราบเรื่องนี้ไม่”
“เป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ” หลี่ซิ่งป้าแค่นเสีย “คนซื่อสัตย์ไม่กล่าววาจาลับหลัง พวกเราที่มานี้ในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อต้นไม้ต้นนั้น”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างราบเรียบ “เพื่อตำหนักโอสถหรือ? เช่นนั้นพวกท่านศิษย์อาจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองความคิด ตำหนักโอสถไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านควรนึกถึง”
หลี่ซิ่งป้าเดือดดาล “เด็กน้อยที่โอหังนัก!”
เขาชี้เฟิงอวิ๋นเซิงเอ่ยว่า “ถ้าเป็นางกล่าววาจานี้ยังพอว่า เจ้ามารผจญแซ่เยี่ยนมีคุณสมบัติใดกล่าววาจาสามหาว? ถ้าไม่ใช่นางปกป้องเจ้า ข้าเอาชีวิตเจ้าได้นานแล้ว!”
“เช่นนั้นข้าขอเอาชีวิตของท่านแล้ว” เฟิงอวิ๋นเซิงพอฟัง แสงมารสีดำอมน้ำเงินพลันสาดจากตาสองข้าง
บนศีรษะนางมีแสงสายหนึ่งสว่างขึ้น จากนั้นก็ฟันคมดาบสีดำอันน่ากลัวใส่หลี่ซิ่งป้า
หลี่ซิ่งป้าตื่นตระหนก ยกเหล็กท่อนมีเหลี่ยมต้านรับ ถึงกับถูกฟันหักไป!
“แม่นางผู้นี้ เอาบุรุษเช่นนี้ไปทำอะไร?” เขาไม่ใช่คนมีมายาทอยู่แล้ว พออับอายกลายเป็นโทสะ วาจาก็ชั่วร้ายถึงที่สุด “เจ้าเป็นสุญญตา เขาเป็นไร้ช่องโหว่ว แม้แต่เลือดเจ้าเขายังแทงไม่ออก!”
อนุเทวะเผ่ากระเรียนตนนั้นได้ยิน อดขมวดคิ้วไม่ได้
เฟิงอวิ๋นเซิงเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าไร้ความโกรธ
“ดูเหมือนหลี่เต้าจ่างจะลืมแล้ว สตรีธรรมดาถ้าในตอนยังเด็กขี่ม้าเรียนการร่ายรำ หากเคลื่อนไหวรุนแรงไป อาจทำให้คืนเข้าหอไม่มีเลือดไหลออกมา สตรีทีฝึกวรยุทธ์อย่างข้าสร้างความแข็งแกร่งให้เอ็นกระดูกและเลือดลมมาแต่แรก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว” นางเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “นอกเสียจากว่าข้าตั้งใจโคจรเลือดลมเกิดใหม่ แต่เรื่องไร้เหตุผลเช่นนั้น จะมีสักกี่คนกระทำ?”
“ดังนั้นสามีข้าจะทำข้าอย่างไรก็ได้ ระหว่างข้ากับสามีจะกระทำเรื่องราวบุรุษสตรีอย่างไร ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาสนใจ”
พวกหลี่ซิ่งป้าอ้าปากตาค้าง “นัง…นังผู้หญิงนี่…”
“ไม่รู้จักยางอาย ไม่มีความละอายหรือ? หาเป็นไรไม่…” เพลิงมารในดวงตาสองข้างของเฟิงอวิ๋นเซิงพวยพุ่งขึ้นฟ้า กลับทำให้อีกฝ่ายสยิวกาย “คนตายไม่อาจไปซุบซิบด้านนอกอีกแล้ว”