ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1401 ข้าคือคนความทุกข์ทรมานของพวกท่าน!
เฟิงอวิ๋นเซิงสีหน้าไร้อารมณ์ ในวาจาไม่มีความโกรธ ทว่าพอถูกนางจ้องมอง ไม่ว่าจะเป็นหลี่ซิ่งป้าศิษย์อาจารย์หรืออนุเทวะเผ่ากระเรียนตนนั้นต่างรู้สึกเย็นเยียบถึงขั้วกระดูก เหมือนกับชีวิตของตัวเองเดินมาถึงปลายทาง
“…ประเสริฐ ประเสริฐ ประเสริฐ!” ใบหน้าสีแดงของหลี่ซิ่งป้าดำเหมือนก้นหม้อ “พวกเจ้ามารผจญสองตนไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน ไม่อยู่ด้วยกันจริงๆ”
เขากล่าวน้ำเสียงดุดัน “เจ้าเข้าวิถีมารปัจฉิมธรรม ได้เทพมารกรอกศีรษะ ข้าไม่อาจไม่ยอมรับว่าสู้เจ้าไม่ได้ แต่ในเมื่อพวกข้ากล้ามา ไหนเลยไม่มีการเตรียมตัว”
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงได้ยินต่างก็ขมวดคิ้ว
“หือ?” เฟิงอวิ๋นเซิงเหมือนสัมผัสอะไรได้ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เกิดจากม่านน้ำในมิติเวลาด้านในแควธารสวรรค์
หลี่ซิ่งป้ากล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “คนเลวย่อมมีคนที่เลวกว่ากำจัด เจ้าไม่ใช่ไร้ข้อกริ่งเกรงโดยสมบูรณ์”
เขาเงยหน้ามองฟ้าเช่นกัน “นพยมโลกเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้า!”
เฟิงอวิ๋นเซิงมีสองบุปผาบนกระหม่อม พลังล้ำเลิศ ในเซียนกำเนิดยากจะหาคู่ต่อกร
แม้ว่าจะเป็นเซียนสวรรค์มหาชาล อย่าว่าแต่มาจากเส้นทางนอกรีต คนส่วนหนึ่งในยอดฝีมือชั้นมหาชาลจากสำนักเต๋าสายหลัก ศาสนาพุทธ เผ่าปีศาจ หรือนพยมโลกก็ไม่กล้าบอกว่าจะเอาชนะนางได้
แน่นอนว่ายอดฝีมือที่สามารถเอาชนะเฟิงอวิ๋นเซิงในตอนนี้ได้ย่อมมีมากมาย ทว่าตัวตนระดับมหาชาล สำหรับขุมกำลังใหญ่ๆ แต่ละแห่งล้วนมีจำกัด
การต่อสู้ระหว่างพวกเขา ยอดฝีมือระดับมหาชาลเป็นขุมกำลังที่สำคัญที่สุด เต็มไปคุณสมบัติคุกคาม
ปัจจุบันที่แดนสุขาวดีบัวขาวบุกโถงเซียนทั้งยังได้เปรียบมหาศาล หลักๆ แล้วเป็นเพราะว่าเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลสี่คนของโถงเซียนล้วนตกตายด้วยน้ำมือของสั่วหมิงจาง
ที่เผิงท่องเมฆหมื่นลี้ของเผ่าปีศาจทำให้ศัตรูแต่ละคนหวั่นเกรงในสภาสวะ สาเหตุอยู่ที่ว่าในสถานการณ์พิเศษบางสถานการณ์ มหาเทวะเผ่าปีศาจที่อยู่ในระดับมหาชาลตนนี้สามารถแสดงความสามารถเท่ากับคนหลายคนได้
ดังนั้นสำหรับเฟิงอวิ๋นเซิง ในสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้ว ยอดฝีมือที่สะกดนางได้มีอยู่น้อยยิ่ง และผู้ที่มีความพิเศษในนี้ก็คือยอดฝีมือจากนพยมโลก
กับยอดฝีมือคนอื่นๆ มาตรว่าเฟิงอวิ๋นเซิงสู้ไม่ได้ ขอแค่ความแตกต่างด้านพลังไม่มากจนเกินไป นางยังสมารถหลบหนีได้
ทว่าจอมมารระดับสุดยอดและมารโบราณในนพยมโลก เมื่อเทียบกับยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ของขุมกำลังอื่นแล้ว สามารถจับตำแหน่งของนางได้ง่ายดายกว่า ทำให้นางหนีได้ยาก
เฟิงอวิ๋นเซิงแตกต่างกับกษัตริย์ดารา สือจวิน อิ๋งอวี่เจิน จอมมารในนพยมโลกที่เทียบได้กับระดับมหาชาลไม่อาจกระตุ้นนิสัยมารของนาง
แต่ถ้าต้องสู้กับมารโบราณที่แข็งแกร่ง เฟิงอวิ๋นเซิงไม่อาจไม่ใช้พลังทั้งหมดของตัวเอง เป็นเหตุให้นางค่อยๆ สูญเสียการควบคุมทีละน้อย
ถ้าต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับสุดยอดในนพยมโลก นางคิดจะหลบหนีสุดกำลังยังค่อนข้างลำบาก ยิ่งพัวพันกันนาน การควบคุมตัวเองของนางก็ยิ่งติดขัด
ครั้งกระโน้นตอนสงครามชิงวารีสามแสง เฟิงอวิ๋นเซิงใช้สองบุปผาบนกระหม่อมไม่นานก็สลายไป ไม่ใช่เป็นเพราะนางมีพลังไม่พอ ทนต่อไปไม่ได้ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้จอมมารแห่งนพยมโลกสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของนางแล้วมาพัวพันต่างหาก
“นี่อยู่เหนือความคาดหมายของข้าไปบ้างจริงๆ” เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองดูม่านน้ำที่อยู่ด้านบนอย่างสนอกสนใจ “พวกท่านถึงขั้นร่วมมือกับนพยมโลก บอกตามตรง นี่ยังทำให้คนประหลาดใจยิ่งกว่าที่พวกท่านร่วมมือกับเส้นทางนอกรีตเสียอีก”
“เหมาะสมกับการรับมือมารผจญน้อยสองตนเช่นพวกเจ้าที่สุด” หลี่ซิ่งป้าแค่นเสียง “ถึงอย่างไรก็เป็นแผนการชั่วคราว มีมาตั้งแต่โบราณ มีอะไรต้องใส่ใจกัน”
แววอับอายกลายเป็นโทสะบนใบหน้าเขาค่อยๆ สลายไป เปลี่ยนเป็นสีหน้าไร้อารมณ์ มีเพียงในดวงตาสองข้างที่เย็นยะเยือกขณะมองพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงเงยหน้ามองด้านบนพร้อมกัน เห็นม่านน้ำค่อยๆ สั่นไหว ไม่เพียงแต่ม่านน้ำในมิติพิเศษแห่งนี้ที่สั่นไหวเท่านั้น แต่แควธารสวรรค์ทั้งหมดคล้ายได้รับผลกระทบ!
วินาทีนี้จักรวาลอันว่างเปล่าใน มิติไร้สิ้นสุดนอกเขตแดนด้านนอกแควธารสวรรค์เหมือนกับผนึกแข็งอย่างฉับพลัน
ในความว่างเปล่าที่มืดทะมึนอยู่แล้ว เหมือนกับมีความมืดที่เข้มข้นยิ่งกว่าปรากฏขึ้น กำลังกัดกินมิติเวลาอย่างต่อเนื่อง
กลิ่นอายอันน่ากลัวทะลักออกมาจากด้านใน ดวงดาวที่ลอยจมอยู่ในแควธารสวรรค์ ต่างเริ่มเคลื่อนไหวอย่างปั่นป่วน ทุกอย่างกำลังเป็นสัญญาณว่า ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดตัวตนหนึ่งกำลังจะมายังที่นี่!
มารโบราณที่เทียบได้กับเซียนสวรรค์ของสำนักเต๋าตนหนึ่ง!
ในความมืดมิดไร้สิ้นสุด ดวงตาคู่หนึ่งเหมือนหายเหมือนปรากฏ ค่อยๆ เปิดขึ้น มองแควธารสวรรค์ที่พร่างพราวนั้น
“เป็นนพยมโลกจริงๆ” เฟิงอวิ๋นเซิงมองท้องฟ้าอย่างสงบนิ่ง วินาทีนี้สัมผัสตัวตนที่อยู่อีกด้านได้อย่างชัดเจน
“จอมมารนพยมโลกยังไม่กล้าทำตามใจชอบ ไม่อย่างนั้นอาจถูกกลุ้มรุมได้ตลอดเวลา” เยี่ยนจ้าวเกอว่า “ถึงอย่างไรนพยมโลกก็เป็นศัตรูของทุกฝ่าย มันเองก็ไม่กล้าเสียเวลามากเกินไป กลัวว่าจะดึงดูดผู้ช่วยจากฝ่ายอื่นมา จึงต้องการเผด็จศึกโดยเร็ว”
มารร้ายนพยมโลกเหมือนกับมุสิกข้ามถนน ผู้คนพากันรุมตี
ถึงแม้ขุมกำลังอื่นๆ จะกำลังสู้กันจนเปลวเพลิงพวยพุ่งสู่ฟ้า แต่ก็ยังคงกริ่งเกรงและจับตามองนพยมโลกอยู่ตลอด มารโบราณตนนั้นจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวใหญ่โต แอบเดินทางมาที่นี่ รอคอยอยู่ด้านนอก ตอนนี้หลังจากทราบว่าเยี่ยนจ้าวเกอกับเฟิงอวิ๋นเซิงมาถึงที่แควธารสวรรค์นี้ผ่านเฉินเฉียนหัวและหลี่ซิ่งป้าจึงค่อยปรากฏตัว
หลี่ซิ่งป้ากับอนุเทวะเผ่ากระเรียนตนนั้นสีหน้าไม่เป็นมิตร พุ่งเข้ามาอีกครั้ง คิดตรึงเฟิงอวิ๋นเซิงกับเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ให้พวกเขาอาศัยสภาพปั่นป่วนของแควธารสวรรค์หนีออกไป
คิดเอาชนะเฟิงอวิ๋นเซิงย่อมไม่มีหวัง ขอแค่ถ่วงเวลาได้เล็กน้อย มารโบราณด้านนอกย่อมเข่นฆ่าเข้ามาเอง
เมื่อมีพวกหลี่ซิ่งป้าช่วยกำหนดตำแหน่ง แควธารสวรรค์ที่เดิมทีไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับยอดฝีมือระดับมหาชาลก็ไม่ใช่อุปสรรคอีก
กงซุนฮุย ลูกศิษย์ของหลี่ซิ่งป้ามองสีหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอ กล่าวในใจ ‘ถ้าหากเขาซ่อนร่างของตัวเอง ให้สตรีแซ่เฟิงนั่นพาทะลวงออกไปด้านนอกสุดกำลัง นั่นกลับไม่ง่าย จำเป็นต้องพยายามรบกวนพวกเขาไว้’
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็ตวาดขึ้น “เป็นผู้ชายอกสามศอก กลับได้แต่หลบอยู่ด้านหลังสตรีหรือ คนอย่างเจ้า กลับมิสู้หลบไปอยู่ใต้กระโปรงของภรรยาดีกว่า!”
ถ้าหากสะกิดความโกรธได้ย่อมประเสริฐสุด ขอแค่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอลังเลได้เล็กน้อยก็ถือว่าสำเร็จ
กงซุนฮุยกำลังคิดเช่นนี้ พลันเห็นเยี่ยนจ้าวเกอสืบเท้าออกเท้าหนึ่ง ถึงกับมาถึงด้านหน้าตัวเขาด้วยตัวเอง!
เฟิงอวิ๋นเซิงไม่ถอย มิหนำซ้ำยังโต้ตอบ ฟันดาบหนึ่งลงมา ทำให้พวกหลี่ซิ่งป้าที่กำลังป้องกันไม่ให้นางหนีรับมือไม่ทัน
“พวกท่านต้องการตำหนักโอสถ แต่ต่อให้มอบให้ พวกท่านก็รักษาไว้ไม่ได้” เยี่ยนจ้าวเกอพลันหัวเราะขึ้น “เหมือนกับชีวิตของพวกท่าน จะสามารถรักษาบนที่แห่งนี้ได้หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ขึ้นอยู่กับพวกท่านอีกต่อไป”
พวกหลี่ซิ่งป้าตะโกนอย่างเดือดดาล “วาจาเขื่องโข!”
กงซุนฮุยกระตุ้นพลังต้านทานรอยตราพลิกฟ้าที่เยี่ยนจ้าวเกอฟาดลงมา
ครั้งนี้เขาไม่ได้ประมาทศัตรูตั้งแต่เริ่ม แต่จนปัญญาที่พลังมีความแตกต่าง สุดท้ายก็สู้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้
“เจ้าอย่างมากสุดสะกดข้าได้ ไม่อาจสังหารข้า ขอแค่ลากถ่วงไปสักพัก เมื่อมารโบราณมาถึง สตรีนางนั้นเอาตัวไม่รอด พวกอาจารย์จะเข่นฆ่าเจ้าดุจฆ่าสุนัข!” กงซุนฮุยแม้ในใจจะคับข้อง แต่ไม่ได้หวาดกลัว
ทว่าในตอนนั้นเอง จิตใจเขาพลันเกิดความพร่ามัว เขาที่เป็นเซียนลี้ลับสองปราณขณะนี้เหมือนตกอยู่ด้านล่าง
กลับกันเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ในระดับเซียนจริงแท้เหมือนอยู่สูงกว่า ยืนอยู่บนชั้นเมฆและก้มมองเขา
“คนชั่วย่อมมีคนที่ชั่วกว่าจัดการ คำพูดนี้ไม่ผิด ข้าคือคนความทุกข์ทรมานของพวกท่าน!”
จากนั้นก็มีประกายกระบี่ที่ลอยล่อง เหมือนกับธารสวรรค์ตกลงจากฟากฟ้าสาดเทใส่เขา!