ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1451 จากชั้นเมฆสู่ก้นเหว จากเหวลึกสู่ท้องฟ้า
เป้าหมายของยุทธวิชัยพุทธะคือการพาตัวเฟิงอวิ๋นเซิงไป และไม่เพียงแต่สะกดนางเท่านั้น ขณะเดียวกันท่านก็ต้องการหยุดไม่ให้นางก้าวข้ามภัยพิบัติกำเนิดฟ้าหลังจากถูกกดดันอีกด้วย
เมื่อเป็นแบบนี้ ส่วนที่ตึงมือของท่านย่อมมีมากสุดขีด ถึงท่านจะกลายเป็นพระพุทธเจ้าที่เทียบได้กับเซียนสวรรค์มหาชาลของสำนักเต๋าแล้ว ทว่าคิดสะกดเฟิงอวิ๋นเซิงกลับยากเย็นยิ่ง
เฟิงอวิ๋นเซิงที่สองบุปผารวมบนกระหม่อม เป็นตัวตนที่แทบไร้คู่ต่อกรในระดับสุญญตาในปัจจุบัน ต่อให้เจอยอดฝีมือระดับมหาชาลส่วนหนึ่งจริงๆ ก็สู้ไหว
ถ้าหากไม่ใช่ว่าสิ้นเปลืองพลังไปมากมายในสงครามจัดการมารน้ำกุ่ยเมื่อก่อนหน้า ทำให้นางในตอนนี้ยากจะแสดงพลังทั้งหมด ต่อให้ยุทธวิชัยพุทธะจะเอาชนะนางได้ก็ไม่อาจจับตัวนาง ยิ่งอย่าว่าแต่ยังต้องการห้ามไม่ให้นางทะลวงภัยพิบัติฟ้ากำเนิด
วรยุทธ์ของศาสนาพุทธเชี่ยวชาญในด้านการทรมานกายเนื้อ และถนัดในด้านจิตวิญญาณ ดังนั้นยุทธวิชัยพุทธะจึงยินดีวัดพลังกับเฟิงอวิ๋นเซิงในระดับจิตใจ
ถึงท่านจะทราบว่าในตอนที่เฟิงอวิ๋นเซิงยังมีพลังฝึกปรือต่ำ ได้เอาชนะเจี่ยนซุ่นหัวที่กลายเป็นเซียนมาแล้ว และรับอำนาจของมารสวรรค์ปัจฉิมธรรม กับรักษาจิตใจให้กระจ่างใสได้จะต้องมีจุดที่เหนือกว่าคนอื่นๆ แน่นอน
ทว่ามีแต่หลังจากต่อสู้กันจริงๆ ท่านจึงค่อยทราบอย่างถ่องแท้ถึงความพิเศษเหนือใครในด้านนี้ของสตรีที่อยู่ตรงหน้า
พอสัมผัสได้ถึงจุดนี้ ยุทธวิชัยพุทธะก็เปล่งคำสรรเสริญพระคุณ ปล่อยสารีริกธาตุซึ่งแสงทองรองอยู่บนศีรษะออกมา
จากนั้นท่านก็นั่งขัดสมาธิทับขา ศีรษะทั้งยี่สิบข้างท่องบทสวด กางแขนสิบแปดข้างออก บัวเขียวหลายดอกเบ่งบาน พุทธเกษตรแห่งหนึ่งปรากฏ แล้วกดทับใส่เฟิงอวิ๋นเซิง
เฟิงอวิ๋นเซิงสงบจิตใจของตัวเอง หยุดยั้งท่าร่าง ขัดขืนการสะกดและการจับกุมของยุทธวิชัยพุทธะ ทว่าสารีริกธาตุที่ลอยออกมาชิ้นนี้ก็ยังกระตุ้นให้จิตใจของนางเปลี่ยนแปลงได้ไม่มากก็น้อย
ประกายกระบี่สีแดงก่ำที่ก่อนหน้ารวมเป็นหนึ่งกับเรือยักษ์นาวาเทพถูกยุทธวิชัยพุทธกระแทกฝ่ามือใส่ คนอื่นๆ ที่ไล่ตามไม่ว่าจะมาจากศาสนาพุทธ เผ่าปีศาจ หรือนพยมโลก เวลานี้ต่างพากันไล่ตามมาถึงเหมือนกับกระแสน้ำ
เกาชิงเสวียนสีหน้าซีดขาว ลมหายใจอ่อนลงเล็กน้อย ทว่านางมีสีหน้าเคร่งขรึม ร่างจริงกับร่างแยกเชื่อมกระบี่คู่ ใช้กระบี่ลวงเซียนพร้อมกันอีกครั้ง คิดนำทุกคนทะลวงออกจากวงล้อม
กระนั้นพอสารีริกธาตุของยุทธวิชัยพุทธะลอยออกมา แสงสว่างกลับหยุดเรือขนาดมโหฬารลำนั้นไว้
บนเรือเทพปรากฏแสงสว่างที่กระจ่างราวเครื่องเคลือบชั้นหนึ่ง ขัดขวางการประสานงานระหว่างประกายกระบี่ที่เกิดจากกระบี่ลวงเซียนของเกาชิงเสวียนกับเรือเทพ
ทุกคนไม่อาจเคลื่อนย้าย ศัตรูที่อยู่รอบๆ ก็โจมตีเข้ามาทันที
เป้าหมายของยุทธวิชัยพุทธะแม้นจะเป็นเฟิงอวิ๋นเซิง แต่ถ้าหากรั้งพวกเยี่ยนจ้าวเกอให้อยู่ที่นี่ได้ ย่อมไม่มีสิ่งใดไม่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น การหยุดเรือยักษ์ไว้ด้านข้างก็สามารถรบกวนจิตใจของเฟิงอวิ๋นเซิงได้ด้วย
เฟิงอวิ๋นเซิงเห็นเหตุกาณณ์ตรงหน้า ใบหน้าฉายแววร้อนใจขึ้นมาจริงๆ ทว่านางฝืนสงบจิตใจ ไม่ทันไรสีหน้าก็กลับคืนสู่ความปกติ
ในการวัดกำลังด้านระดับจิตใจกับยุทธวิชัยพุทธะ นางจะต้องทนให้ได้ ไม่อาจพ่ายแพ้
กล่าวในมุมมองหนึ่ง ต่อให้แพ้ก็ไม่อาจแพ้อย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้ยอดฝีมือที่เทียบได้กับเซียนสวรรค์ชั้นมหาชาลผู้นี้ตั้งสมาธิรับมือพวกเยี่ยนจ้าวเกอ นั่นจึงเป็นภัยพิบัติที่แท้จริง
พวกเกาชิงเสวียนถูกแสงพุทธสารีริกธาตุของยุทธวิชัยพุทธะครอบคลุม ยากจะเพิ่มความเร็ว แต่การควบคุมเรือยักษ์ยังอยู่ในมือพวกนาง สามารถควบคุมเรือยักษ์ให้เคลื่อนย้ายบินไปบินมา สู้พลางถอยพลางได้ต่อ
เพียงแต่หลังจากความเร็วตกลง ศัตรูก็ไล่ตามทัน พากันลงมือโจมตี
พวกเยี่ยนตี่ เกาชิงเสวียน หลิงชิงยอดฝีมือแห่งสำนักเต๋าลงมือขัดขวางป้องกัน แต่รู้สึกสู้พวกมากไม่ได้ มีจำนวนคนน้อยเกินไป
กระนั้นสภาวะของจอมมารที่ดุร้ายหมายขวัญในท้องเรือเมื่อก่อนหน้ากลับพลันลดระดับลงไป!
ใต้ต้นไม้ในท้องเรือ กลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งกะพริบแสง บัดเดี๋ยวสูญหายบัดเดี๋ยวปรากฏ
ในกลุ่มแสง มารจิตแรกเริ่มที่ใช้ปากของอิ๋งอวี่เจินกล่าววาจาแค่นเสียงหนักๆ คำหนึ่ง
แสงสีดำในเบ้าตาของอิ๋งอวี่เจินถดถอยไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเมฆหลากสีหลายสายลอยขึ้น ยิ่งมายิ่งจางแล้วค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นลักษณะมีพลังหนุนไม่พอ
สือจวินกับสวีเฟยรู้สึกได้ในทันทีว่าการรบกวนที่มารจิตส่งผลต่อพวกตนเริ่มอ่อนแอลง
“ยุทธะ…วิชัยพุทธะ…” น้ำเสียงของมารจิตแรกเริ่มในเวลานี้ซับซ้อนถึงขีดสุด
จักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ถูกคนพัวพัน ดูแลทางพวกเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ มอบโอกาสให้มารจิรแรกเริ่มฉกฉวย แทรกซึมเข้ามา
ยุทธวิชัยพุทธพอมาถึงก็ต้องการสยบเฟิงอวิ๋นเซิง ตามเหตุผลแล้วไม่ส่งผลดีอย่างใหญ่หลวงต่อสำนักเต๋า
ท่านปล่อยสารีริกธาตุของตัวเองออกมา หยุดเรือใหญ่ไว้ มอบโอกาสกลุ้มรุมพวกเยี่ยนจ้าวเกอให้แก่คนอื่นๆ รวมถึงมารร้ายแห่งนพยมโลก
ทว่าแสงพุทธสารีริกธาตุนี้กลับขวางกั้นการแทรกซึมของมารจิตแรกเริ่มในระดับหนึ่งเช่นกัน!
ความยุ่งเหยิงที่อยู่ในนี้ทำให้เหล่าจอมมารคิดกระอักเลือดด้วยความคับข้องใจจริงๆ
ศาสนาพุทธกับเผ่าปีศาจไม่สนใจว่ามารดินโบ่วจะคืนชีพหรือไม่ สำหรับพวกเขาแล้ว แค่ไม่ปล่อยสือจวินกับอิ๋งอวี่เจินรอดจากที่นี่ไปได้ก็พอ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือมารก็ตาม!
เหล่าจอมมารของนพยมโลกได้แต่โจมตีแนวป้องกันที่พวกเยี่ยนตี๋วางไว้อย่างบ้าคลั่ง เพื่อชิงตัวสือจวินกับอิ๋งอวี่เจินจากไป
ในท้องเรือ เยี่ยนจ้าวเกอไปถึงด้านหลังสือจวินกับสวีเฟย กางมือซ้ายมือขวาออกมาตบใส่กลางหลังพวกเขา
สวีเฟยเซ่นมุกผ่าดินแล้วฟาดใส่ศีรษะของอิ๋งอวี่เจิน
แสงมารสีเหลืองผสมดำพลันดับลง
ทางด้านสือจวินควบคุมจิตใจได้อีกครั้ง โต้ตอบพญามารจงหยวนภายใต้การช่วยเหลือของเยี่ยนจ้าวเกอในทันที
เมื่อไม่มีการช่วยเหลือจากมารจิตแรกเริ่ม ตราชั่งแพ้ชนะก็เปลี่ยนแปลงอีกรอบ สถานการณ์พลันกลับตาลปัตร!
ก่อนหน้านี้สืบเนื่องจากมารจิตแรกเริ่ม พวกสือจวินที่เดิมทีชัยชนะได้มาอยู่ในมือแล้ว พริบตาเดียวก็ตกจากชั้นเมฆสู่บึงโคลน ไถลไปที่ริมขอบความพ่ายแพ้
ขณะนี้สถานการณ์กลับตาลปัตร พวกสือจวินกลายเป็นมังกรบินออกเหว ทะยานขึ้นฟ้า พุ่งออกจาก้นเหวกลับสู่สวรรค์อีกครั้ง ถึงขั้นที่ยังเข้าใกล้ความสำเร็จมากกว่าตอนที่ได้เปรียบมากที่สุดเมื่อตอนแรกอีก!
ทว่ายังไม่รอให้เยี่ยนจ้าวเกอแสดงสีหน้ายินดี สภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับวันสิ้นโลกได้มาถึง
ที่โลกภายนอก ยอดฝีมือจำนวนมากจากศาสนาพุทธ นพยโลก เผ่าปีศาจสามขุมกำลังใหญ่กำลังกลุ้มรุมโจมตี
พวกเยี่ยนตี๋สู้ตายไม่ถอย ต้านทานอย่างไม่ลดละ
ศัตรูสามฝ่ายมีความคิดต่างกัน อย่าว่าแต่ร่วมมือผนึกกำลัง ถึงขั้นยังมีสถานการณ์โจมตีกันและกันอยู่ด้วย
หากแต่สามฝ่ายต่างจับตามองเรือยักษ์นวาเทพ ในยอดฝีมือที่มากมายดุจหมู่เมฆยังมีมือดีระดับสุดยอดเหมือนกับฝูลัวจื่อ
แนวป้องกันของสำนักเต๋าในที่สุดก็ถูกทำลาย
เรือยักษ์ถูกจอมมารระดับนพยมโลกตนหนึ่งโจมตีใส่จนเละเทะ!
บึงด้านในท้องเรือก็พังทลายไปด้วย
เศษฝุ่นจำนวนมหาศาลลอยว่อนไปยังที่ไกล รวมถึงต้นไม้เก่าแก่ที่เหี่ยวแห้งด้วย
“ยังถ่วงไว้ได้อีกสักพัก!” เยี่ยนตี๋ตะโกนเสียงทุ้ม
ทุกคนรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของมารดินโบ่วกับพญามารจงหยวนกำลังลดต่ำลง หากถ่วงเวลาได้อีกสักพัก จอมมารสองตนจะถูกสะกด ตรามารโดนถอนทำลาย ยากจะฟื้นขึ้นมาได้อีก ถึงเวลานั้นเมื่อไม่มีตรามารเผยร่องรอยชี้ทางให้แก่อีกฝ่าย คิดจะหนีไปง่ายดายกว่าเดิมมาก
ทุกคนสู้พลางถอยพลาง ปกป้องต้นไม้เหี่ยวแห้งต้นนั้น ป้องกันศัตรูที่เหมือนกระแสคลื่น
ศัตรูมีอยู่เป็นจำนวนมาก ภายใต้การสะกดจากยอดฝีมือระดับสุญญตาเช่นฝูลัวจื่อ ก็มีปีศาจหรือบรรพชิตจากศาสนาพุทธที่อ่อนแอ ค้นหาช่องว่างพุ่งเข้าไปหาต้นไม้แห้ง
ตอนที่พระอรหันต์จากศาสนาพุทธองค์หนึ่งที่พุ่งอยู่ด้านหน้าสุดเข้าใกล้ต้นไม้ ตรงหน้าท่านพลันปรากฏแสงสาดวาบขึ้น มีคนปรากฏตัว
ผู้มาเป็นเยี่ยนจ้าวเกอ เขากระแทกฝ่ามือใส่พระอรหันต์องค์นั้นจนกระเด็นออกไป