ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1452 กระบี่ผนึกเซียน
เทวราชถลึงตา อรหันต์สยบมาร
วรยุทธ์ศาสนาพุทธที่แข็งแกร่งไม่อาจทำลาย ในตอนนี้กลับสู้ฝ่ามือเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ ถูกกระแทกโซเซถอยหลัง
อานุภาพอันเกรี้ยวกราดทำให้สภาวะของคนอื่นๆ ที่ล้อมวงเข้ามา หายไปในทันที
ขณะมองต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวต้นนั้นลอยอยู่กลางความว่างเปล่าของจักรวาล แล้วค่อยๆ ห่างออกไปไกลจนไม่เห็น เหล่าจอมมารร้อนรนเหมือนจิตใจโดนแผดเผา
กลิ่นอายของมารดินโบ่วกับพญามารจงหยวนยิ่งมายิ่งอ่อนแอ ขาดอีกแค่ก้าวเดียว พวกมันก็จะถูกผนึกสำเร็จ
นี่ทำให้เหล่ามารได้แต่มองดู ไม่อาจใช้สำนึกมารที่บ้าคลั่งกำหนดตำแหน่งของพวกสือจวินได้อีก
ถึงจะหลุดออกจากการครอบคลุมของแสงสารีริกธาตุของยุทธวิชัยพุทธะแล้ว ทว่าถ้าตอนนี้มารจิตแรกเริ่มไม่มาด้วยตัวเอง ก็ยากจะอาศัยสภาวะสร้างผลกระทบต่อพวกสวีเฟย สือจวิน และอิ๋งอวี่เจิน
เหล่ามารหมายทำลายแนวป้องกันสุดท้ายนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอ เพื่อไล่ตามพวกสือจวินไป
ทว่าเผ่าปีศาจกับยอดฝีมือศาสนาพุทธมีความคิดต่างกันเล็กน้อย ถึงแผนการของพวกเขาจะเป็นการกำจัดสือจวินกับอิ๋งอวี่เจินที่เป็นร่างสถิตของจอมมาร ไม่ว่าพวกเขาจะกลายเป็นมารหรือไม่ตาม เพื่อจัดการเภทภัยที่จะตามมาอย่างเด็ดขาด
กระนั้นตอนนี้พอเห็นมารถูกผนึกไปแล้ว ความคิดสังหารพวกสือจวินสุดท้ายก็ไม่ได้เร่งด่วนเหมือนเดิมอีก
ถ้าหากว่าพวกสือจวินอยู่ตรงหน้า ย่อมต้องลงมือไม่มีการปรึกษา แต่ขณะนี้พวกสือจวินค่อยๆ สูญเสียร่องรอย ยอดฝีมือของเผ่าปีศาจกับศาสนาพุทธยากจะไม่เกิดความคิดส่วนหนึ่ง
เป็นเพราะตรงหน้าพวกเขายังมีเป้าหมายอยู่
เยี่ยนจ้าวเกอกับตำหนักโอสถ!
ตำหนักโอสถตกอยู่ในมือของเยี่ยนจ้าวเกอมาหลายปี แค่ใช้หัวเข่าคิดก็ทายออกว่ากลิ่นโอสถกับโอสถสำเร็จรูปที่เก็บอยู่ด้านในจะต้องเหลือไม่มากเท่าไรอย่างแน่นอน
ทว่าตำหนักโอสถยังคงมีคุณค่าเหนือธรรมดา ไม่เอ่ยถึงอย่างอื่น แค่การเปิดเตาหลอมโอสถได้ ก็มีข้อได้เปรียบและประโยชน์นับไม่ถ้วนแล้ว มากพอจะทำให้ยอดฝีมือระดับสุญญตาหวั่นไหว
สำหรับเหล่าบรรพชิตจากศาสนาพุทธ ยุทธวิชัยพุทธะคิดจะสะกดและจับกุมเฟิงอวิ๋นเซิงจากไปก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
เพราะฉะนั้น นักบวชจากศาสนาพุทธและยอดฝีมือเผ่าปีศาจส่วนหนึ่ง จึงเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ตัวเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอไร้ความเกรงกลัว กวาดกระบี่กระแทกฝ่ามือ ใช้หนึ่งสู้สี่ทิศ
มังกรร้องพยัคฆ์คำราม เขาถึงขั้นเข่นฆ่าออกจากวงล้อม ไล่ตามขัดขวางจอมมารที่คิดตามหาพวกสือจวินกับสวีเฟยเหล่านั้นดุจสายฟ้าแลบ
อีกฝ่ายมียอดฝีมือมากมายดุจหมู่เมฆ เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้เลอะเลือน ทิ่มนิ้วใส่อากาศ ใช้วิชาหนึ่งปราณสามพิสุทธิ์ของดัชนีเทพปฐมกำเนิด ร่างแปลงที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับตัวเองสามร่างกระโดดออกมาทันที
ถึงจะมีการแบ่งเป็นแข็งแกร่งอ่อนแอ ทว่าขณะเยี่ยนจ้าวเกอสี่คนผนึกกำลังเคียงบ่าเคียงไหล่พุ่งไปด้านหน้า กลับมีสภาวะเหมือนพันทหารหมื่นอาชา
ทั้งสี่เคลื่อนไหวเหมือนกัน ต่างใช้หมัดแปลงกำเนิด
หมัดเหล็กกล้าที่เหมือนยึดครองมิติและช่องว่างทั้งหมด ม้วนพัดใส่ทุกฝ่าย แม้ว่ายอดฝีมือระดับเซียนลี้ลับจำนวนมากจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็ถูกกดดันให้หยุดลง
พอเห็นต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวต้นนั้นหายไปโดยสมบูรณ์ เหล่ามารก็คลุ้มคลั่ง เดือดดาลจนร้องตะโกนขึ้น
ทว่าก็ได้สะกิดโทสะของพญามารระดับสุญญตาด้วย
ศัตรูสามฝ่ายร่วมมือกัน มีคนมากกว่า พวกเยี่ยนตี๋ เกาชิงเสวียน หลิงชิงก็ไม่อาจป้องกันได้ทั่วถึง หลายๆ ครั้งที่สู้กันอย่างดุเดือดก็มักมีปลาที่ลอดแหมา
พญามารที่เหมือนกับควันบางสายนั้นมีความเร็วสูงสุดขีด ไม่ด้อยกว่าฝูลัวจื่อที่เป็นเผ่าเผิงยักษ์ปีกทองเลย
เกาชิงเสวียนที่มีความเร็วมากที่สุดของฝ่ายสำนักเต๋า ขณะที่คอยระวังฝูลัวจื่อก็ยากจะจัดพญามารควันสายันณ์ตนนั้น
หลังจากพุ่งไปมา พญามารควันสายันณ์ก็คว้าโอกาสไว้ได้ ทำลายแนวป้องกันของยอดฝีมือสำนักเต๋า ก่อนจะเข่นฆ่าเข้ามา
มันมีความเร็วมากเกินไป ทั้งอยู่ในระดับห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิด ไม่กลัวปราณเซียนของเซียนจริงแท้ เพิ่มความเร็วของตัวเองสู่ระดับสูงสุดในทันที
แม้แต่เยี่ยนจ้าวเกอมันก็ไม่คิดสนใจ ต้องการอ้อมผ่าน ไล่ตามพวกสือจวินกับสวีเฟย
ถึงจะปวดใจที่การใช้พลังติดต่อกันจะก่อเกิดความเสียหายขึ้น ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่มีทางอดอาหารเพราะกลัวสำลัก ใช้ลายมือแห่งแผ่นดินตอบโต้ด้วยวิธีเดียวกัน
ค่ายกลเก้างามเจ็ดวิเศษคุมหยินหยางปรากฏ แสงสว่างลวดลายค่ายกลครอบคลุม พลันดูดพญามารควันสายันณ์ที่พุ่งผ่านเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เหมือนมีเหวลึกวังวนขนาดยักษ์ดึงคู่ต่อสู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับสุญญตาบริเวณใกล้ๆ เข้ามาในค่ายกลเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
พญามารควันสายัณฑ์ร้องคำราม พลังเปลี่ยนจากปราดเปรียวเป็นบ้าคลั่ง มันพยายามขัดขืนพันธนาการของค่ายกลเก้างามเจ็ดวิเศษคุมหยินหยาง
เยี่ยนจ้าวเกอวางยันต์อาคมแผ่นแล้วแผ่นเล่าลง ผลักดันการเปลี่ยนแปลงของค่ายกล ทำให้พญามารควันสายัณห์หนีไม่รอด
ทว่าน่าเสียดายที่ลายมือแห่งแผ่นดินถูกกระตุ้นพลังทั้งหมดติดต่อกัน พลังจึงเกิดสภาวะอ่อนโทรม ดังนั้นค่ายกลขนาดยักษ์ถึงกับปั่นป่วน จอมมารตนนั้นเคลื่อนไหวขึ้นมาได้
ทว่าเมื่อเป็นแบบนี้ ความเร็วของพญามารควันสายัณห์จึงเพิ่มขึ้นไม่ได้อีก คิดไล่ตามต้นไม้ที่ลอยไปตามกระแสล้วนทำไม่ได้
เหล่ามารเดือดดาล ร้องคำรามคลุ้มคลั่ง เยี่ยนจ้าวเกอก็กัดฟันอดทนเช่นกัน
การปะทะกันของสองฝ่ายบรรลุถึงจุดเดือดแล้ว
พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป สถานการณ์ทางด้านสือจวินและอิ๋งอวี่เจินจะยิ่งมายิ่งดีอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอ เยี่ยนตี๋ เกาชิงเสวียนจะมีแรงกดดันมากขึ้นกว่าเดิม เป็นเพราะศัตรูเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มมีศัตรูเจอช่องโหว่แล้วข้ามแนวป้องกันมาได้อย่างต่อเนื่อง พวกเยี่ยนจ้าวเกอไล่ตามและขัดขวางอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะจำเป็นต้องป้องกันฝูลัวจื่อกับพญามารควันสายัณห์สองยอดฝีมือ
ถ้าเกิดว่าหนึ่งปีศาจและหนึ่งมารนี้ข้ามการขัดขวางของพวกเยี่ยนจ้าวเกอได้พร้อมกัน แล้วเร่งความเร็วอย่างสมบูรณ์ สลัดทิ้งทุกคนได้ คิดจะขัดขวางพวกเขาอีกครั้งลำบากถึงขีดสุด
ในบรรดายอดฝีมือสำนักเต๋าที่อยู่รอบๆ มีแต่การผสานกระบี่คู่ของเกาชิงเสวียนร่างจริงกับร่างแยก จึงพอจะมีความเร็วเทียบเคียงพวกเขาได้
หากคู่ต่อสู้ทั้งสองต่างฝ่าออกไปได้ ก็หมายความว่าอย่างน้อยต้องโดนคนหนึ่งสลัดทิ้ง ไล่ตามไม่ได้!
ขณะต่อสู้กันอย่างดุเดือด สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนี้ถึงกับบังเกิดขึ้นจริงๆ
ตอนที่เกาชิงเสวียนกับเยว่เจิ้นเป่ยกำลังตั้งสมาธิสู้กับคนอื่นๆ ดวงตาพลันเป็นประกายพร้อมกัน ใบหน้าฉายความตกใจ และปรากฏความยินดีต่อ
พวกเขาผ่านมาร้อยสมรภูมิ จิตใจไม่มีความแปรปรวนใดๆ กระนั้นคู่ต่อสู้ถึงอย่างไรก็เป็นยอดฝีมือที่พลังฝึกปรือสูงกว่าพวกเขาอยู่แล้ว ต่างคว้าโอกาสไว้ได้ในการเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิด
ฝูลัวจื่อกับพญามารควันสายัณห์หนึ่งปีศาจหนึ่งมารยอดฝีมือทั้งสอง พากันฝ่าแนวป้องกันของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ แล้วพุ่งไปยังที่ไกล
ขณะมองเงาร่างที่ออกห่างไปของพวกเขา พวกเยี่ยนจ้าวเกอต่างร้อนรน
ยุทธวิชัยพุทธะที่กำลังสู้กับเฟิงอวิ๋นเซิงอีกด้านหนึ่ง จิตใจพลันสั่นไหว ศีรษะยี่สิบข้างมีครึ่งหนึ่งที่หันไปมองทางพวกฝูลัวจื่อ
ตอนที่ฝูลัวจื่อกับพญามารควันสายัณห์กำลังเหาะเหิน พลันเห็นตรงหน้ามีแสงสว่างขึ้นมา แสงสีดำที่น่ากลัวพาดขวาง กลิ่นอายความสิ้นหวังและความสูญสิ้นโผล่ขึ้นกลางความว่างเปล่า
มองไปในความว่างเปล่าของจักรวาลที่กว้างใหญ่ เดิมทีมืดสนิท ทว่าแสงสีดำนั้นถึงกับมืดมิดและเย็นเยียบยิ่งกว่า เหมือนกับแสดงให้เห็นถึงจุดหมายของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล และความเงียบสงัดนับนิรันดร์
ทุกสิ่งที่มีชีวิตล้วนต้องตาย
ฝูลัวจื่อเป็นจอมปีศาจ พญามารควันสายัณห์ยิ่งเป็นมารร้าย สองผู้เข้มแข็งมือแปดเปื้อนคราบโลหิตนับไม่ถ้วน
ทว่าวินาทีนี้เผชิญแสงสีดำนั้น กลับปรากฏความรู้สึกที่ต้องกลั้นหายใจ
ฝูลัวจื่อเป็นบุตรของเผิงท่องเมฆหมื่นลี้ มีภูมิรู้กว้างขวาง ขณะมองแสงสีแดงที่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าชีวิตโรยรานั้น ก็หยุดเคลื่อนไหวโดยสัญชาตญาณ
“กระบี่ผนึกเซียน!”
………………..