ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1477 ลึกจนไม่เห็นก้น ไร้ขีดจำกัดตลอดกาล
ความเร็วในการเพิ่มพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอทำให้นักพรตอวิ๋นเจิ้งตื่นตระหนก
นอกจากความเร็วในการเพิ่มระดับพลังฝึกปรือแล้ว พลังของเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งทำให้คนถอนใจชมเชยกว่าเดิม
นักพรตอวิ๋นเจิ้งรู้ตัวว่าถ้าหากไม่ได้รับบาดเจ็บ ในสถานการณ์ปกติหากเขาคิดจะจัดการกับสองกษัตริย์สามจักรพรรดิจากโถงเซียนตรงหน้าเหล่านี้ คงเหนื่อยเพียงยกมือเท่านั้น
แต่เขาเข้าใจดีว่าพลังที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกมาอย่างง่ายดายในตอนนี้ เป็นแค่มุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
ถ้าพวกเขาสองคนสู้กัน นักพรตอวิ๋นเจิ้งที่สี่ปราณรวมเป็นวายุแล้ว ไม่มั่นใจว่าจะสามารถต้านเยี่ยนจ้าวเกอที่เพิ่งเลื่อนสู่ระดับเซียนลี้ลับ สองปราณรวมเป็นวายุได้
ตามเหตุผลทั่วไป ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ยิ่งมีระดับพลังฝึกปรือสูงเท่าไร พลังระหว่างยอดฝีมือในระดับเดียวกันก็จะยิ่งใกล้เคียงกันเท่านั้น
เป็นเพราะยอดฝีมือที่เดินมาถึงตำแหน่งสูงส่งได้ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็เป็นผู้โดดเด่นที่สามารถเข่นฆ่าออกมาจากพันทหารหมื่นอาชาได้ทั้งนั้น
ตอนที่พวกเขายังอายุน้อย ผู้ใดไม่ใช่อัจฉริยะบุคคล เป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งยุคที่น่าตกตะลึงบ้าง
พอมาถึงระดับเซียน ระหว่างยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ระดับเดียวกัน ก็มีการแบ่งเป็นแข็งแกร่งอ่อนแอเช่นกัน
กระนั้นถึงอย่างไรก็เป็นตัวตนที่มีอยู่ค่อนข้างน้อย และตัวตนที่แทบก้มมองคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันได้เกือบจะโดยสิ้นเชิงตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเยี่ยนจ้าวเกอก็ยิ่งมีน้อยในน้อย
สิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจเป็นพิเศษก็คือ เขาเหมือนลึกล้ำไม่เห็นก้นบึ้งตลอดกาล...
ยอดฝีมือผู้อาวุโสที่ผ่านมรสุมมานาน และมีประสบการณ์กว้างขวางอย่างนักพรตอวิ๋นเจิ้ง ขณะนี้อดคิดไม่ได้ว่า ‘เยี่ยนจ้าวเกอ รากฐานของเจ้าอยู่ตรงไหนกันแน่’
“เหลือพยานไว้สักคนก็พอแล้ว” ขณะนี้เยี่ยนจ้าวเกอหันไปยิ้มให้กับทุกคน กล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ข้าสนใจยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาพูดว่าดูเหมือนเส้นทางนอกรีตจะมีจ้าวสวรรค์อยู่ใกล้ๆ นี้ด้วย”
ขณะที่พูด เขาก็โยนกษัตริย์โถงเซียนที่ถูกหักคอผู้นั้นไปด้านข้าง ในอีกมือหนึ่งยังคงจับมังกรดำตัวนั้นเอาไว้
ถึงมังกรดำตัวนี้จะเป็นชนชั้นดุร้ายเช่นกัน แต่ว่าพอเห็นพวกเดียวกันตายด้วยน้ำมือของเยี่ยนจ้าวเกออย่างไร้สุ้มไร้เสียงก็สูญเสียสภาวะไป พูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ
“ทั้งสองท่านพบอะไรหรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอมองไปทางคุนหนิงจื่อกับไป๋เทา
ไป๋เทาเก็บกระบี่เปิดกำเนิด ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “คล้ายเป็นเบาะแสที่อาจารย์ปู่น้อยหลงทิ้งไว้”
ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือออกไปปัดใส่อากาศ
ในอากาศปรากฏสิ่งที่ดูเหมือนกับม่านแสงผืนหนึ่ง บนหมอกแสงส่องยันต์อาคมที่ทั้งซับซ้อนและลี้ลับหลายใบ
เยี่ยนจ้าวเกอกวาดสายตามอง แยกแยะความหมายมที่แฝงอยู่ในยันต์อาคมเหล่านี้
คุนหนิงจื่อยืนอยู่ด้านข้าง มองดูมังกรดำที่ถูกเยี่ยนจ้าวเกอจับไว้ในมือจนคืนร่างเดิม ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่เมื่อครู่ตนเพิ่งสู้อย่างยากลำบาก อดยิ้มอย่างขื่นขมไม่ได้ หันไปมองนักพรตอวิ๋นเจิ้ง
ในอดีตตอนอยู่บนจักรวาลสำนักเต๋า เมื่อครั้งที่มรกตท่องฟ้าคุมเชิงกับโลกซ้อนโลก นักพรตอวิ๋นเจิ้งเคยเตือนคนรุ่นหลังเช่นพวกเขาว่า บุคคลระดับเซียนจริงแท้ในโลกซ้อนโลก ต้องป้องกันจักรพรรดินีเจี่ยหมิงคงกับเฉินเฉียนหัวที่ภายหลังได้ผลักเปิดประตูเซียนเป็นการเฉพาะ
หากได้เจอสองคนนี้ให้ถอยทันที ไม่นับว่าน่าขายหน้า หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเสนอหน้า ไม่อย่างนั้นมีแต่จะเสียท่าเปล่าๆ
ปัจจุบันมองย้อนกลับไป ในตอนนั้นคำเตือนนี้ไม่อาจนับว่าผิดพลาด
น่าเสียดาย นักพรตอวิ๋นเจิ้งก็คาดคิดไม่ถึงว่าโลกซ้อนโลกในตอนนั้นปรากฏบุคคลสะท้านโลกจำนวนมากกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว
คนที่น่ากลัวมากในนี้ก็คือเยี่ยนจ้าวเกอ!
การอยู่ในยุคเดียวกันกับคนแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีขนาดไหน เทียบกับความรู้สึกมีเกียรติที่ได้เป็นสักขีพยายนแก่ตำนาน ส่วนใหญ่เกรงว่าจะเป็นความกดดัน
เพียงแต่พร้อมกับการเคลื่อนคล้อยของกาลเวลา และพร้อมกับที่ตำนานยิ่งมายิ่งสั่นสะเทือน ความกดดันในใจคุนหนิงจื่อก็ค่อยๆ สลายไปในที่สุด
“อิจฉาไม่ได้ ริษยาไม่ได้ ไขว่คว้าไม่ได้…” พอสัมผัสได้ถึงสายตาของคุนหนิงจื่อ นักพรตอวิ๋นเจิ้งก็มองไป ยิ้มพลางส่งกระแสเสียง
คุนหนิงจื่อถอนใจคำหนึ่ง พยักหน้าไม่กล่าวอะไร
“เป็นอาจารย์ปู่น้อยหลงจริงๆ!” เยี่ยนจ้าวเกอฮึกเหิมขึ้น
หลังจากไขความนัยที่อยู่ด้านในยันต์อาคมอันลี้ลับ ก็ยืนยันได้ว่านั่นเป็นหลงซิงเฉวียนเหลือเอาไว้
อาศัยเบาะแสที่ซ่อนอยู่ในยันต์อาคม ก็มีความหวังว่าจะเจอหลงซิงเฉวียนที่พลัดหลงไปได้ในระดับหนึ่ง
เยี่ยนตี๋กับนักพรตอวิ๋นเจิ้งที่อยู่ด้านข้างต่างฮึกเหิม “อยู่ที่ใด”
“ตามข้ามา” เยี่ยนจ้าวเกอกวาดแขนเสื้อ จัดเก็บสมรภูมิเมื่อครู่แล้วพาทุกคนมุ่งไปยังที่ไกล
ระหว่างทางก็เดินทางไปพลาง หาวิธีแจ้งเกาชิงเสวียนไปพลาง
ถึงจะมีเบาะแสในการตามหาตัวหลงซิงเฉวียนแล้ว แต่ยังไม่ทราบว่าเบาะแสนี้เป็นหลงซิงเฉวียนทิ้งไว้ตอนไหน หนำซ้ำมิติเวลานอกเขตแดนยังตัดกันซับซ้อน เกาะเกี่ยวซ้อนทับกัน ระยะห่างเพียงคืบอาจห่างราวฟ้าและเหว
ดังนั้นพวกเยี่ยนจ้าวเกอจึงเร่งเดินทางด้วยความเร็วทั้งหมด หลังจากเคลื่อนไหวอยู่นานก็ค่อยมีการค้นพบเพิ่ม
คลื่นพลังที่สั่นสะเทือนจักรวาลส่งมาจากในจักรวาลแห่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวยังรุนแรงกว่าตอนคุนหนิงจื่อกับไป๋เทาสู้กับศัตรู
เยี่ยนจ้าวเกอมีประกายกระบี่แสีแดงก่ำกระพริบบนร่าง ภายใต้การกะพริบแสง ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกขั้นในพริบตา พุ่งตรงไปหาสมรภูมิตรงหน้าโดยนำอยู่ด้านหน้าสุด
ค่อยๆ ปรากฏเมฆสีแดงที่เรืองแสงระยิบระยับกลุ่มหนึ่งในความว่างเปล่าอันดำขลับตรงหน้า ในเมฆสีแดงมีประกายกระบี่ที่ยิ่งใหญ่สูงส่งสว่างตลอดเวลา ดูปกติ ทว่าพอกระบี่หนึ่งฟันลง เมฆสีแดงก็หลุดไปก้อนหนึ่ง
กระนั้น แม้เมฆสีแดงจะสลายไป แต่ไม่ทันไรส่วนที่เกิดมาใหม่ก็เติมเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
เสียงมหามรรคที่ลี้ลับดังออกมาไม่ขาดหูจากในทะเลเมฆซึ่งเป็นประกายระยิบระยับ
คุนหนิงจื่อกับไป๋เทาพอได้ยินเสียงมหามรรคา สายตาพลันเลื่อนลอย เหมือนกับสูญเสียจุดรวมศูนย์
เมฆสีแดงที่ส่องประกายนั้นเป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นจากการแสดงแก่นเซียนของเซียนกำเนิดคนหนึ่ง
เสียงมหามรรคาดัง ส่งผลต่อเซียนลี้ลับ สะกดจอมยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าเซียนลี้ลับ
“เป็นจ้าวสวรรค์ของโถงเซียนคนหนึ่งจริงๆ” เยี่ยนจ้าวเกอคล้ายไม่ได้รับผลกระทบ เร่งความเร็วพุ่งไปต่อภายใต้การครอบคลุมของประกายกระบี่สีแดงก่ำ!
เจ้าของประกายกระบี่ที่ถูกเมฆสีแดงครอบคลุมเป็นหลงซิงเฉวียนนั่นเอง
เป็นเพราะตอนนั้นค่ายกลลงทัณฑ์เซียนถูกทำลาย เขาจึงได้รับบาดเจ็บ กระนั้นยามแสดงวิชากระบี่ออกมา เมื่อเทียบกับไป๋เทาที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นประมุข จะต้องเป็นฟ้าดินแห่งใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย
แม้จ้าวสวรรค์จากเส้นทางนอกรีตผู้นั้นจะใช้ระดับกดข่มคน แต่ยังคงทำอะไรหลงซิงเฉวียนที่ได้รับบาดเจ็บหนักไม่ได้
ถึงขั้นที่ถ้าไม่ใช่เพราะระดับห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดของเขาไม่เกรงกลัววายุเซียนของเซียนลี้ลับ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่แน่นัก
เป็นเพราะอาศัยประโยชน์หลายอย่าง จึงพัวพันกับหลงซิงเฉวียนไว้ได้ตลอด ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายถอนตัว
เดิมทีเขาคิดรอกำลังหนุนยอดฝีมือคนอื่นๆ จากโถงเซียนมาถึง คิดไม่ถึงว่าเป็นเทพเคราะห์ร้ายมาแทน
“อาจารย์ปู่น้อยหลงรักษาอาการบาดเจ็บก่อนเถอะ อย่าได้ทิ้งภัยแฝงต้นตอปัญหาไว้ ส่งผลต่อรากฐานปราณกำเนิดเพราะสาเหตุนี้” เยี่ยนจ้าวเกอพูดพลางตั้งนิ้วชี้นิ้วกลางดุจกระบี่ ปลายนิ้วเปล่งแสงสีเขียว แยกทะเลเมฆที่เป็นประกายตรงหน้าออกเหมือนใช้มีดหั่นเต้าหู้
ประกายกระบี่อันยิ่งใหญ่ในทะเลเมฆหายไป ปรากฏเงาร่างของหลงซิงเฉวียน
ถึงสีหน้าจะซีดขาวอิดโรย แต่หลงซิงเฉวียนยังคงมีใบหน้าผ่อนลาย ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “สถานการณ์ด้านมารดินโบ่วเป็นอย่างไรแล้ว คนในสำนักเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“มารดินโบ่วดับสูญอีกครั้ง พวกจวินเอ๋อร์ไม่มีอันตรายถึงชีวิตชั่วคราว” เยี่ยนจ้าวเกอตอบด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่พูดกับหลงซิงเฉวียน เขาก็ยื่นสองมืออกไปพร้อมกัน แล้วคว้าเมฆสีแดงที่เป็นประกายนั้น ก่อนจะฉีกออกไปสองด้าน!
สองมือที่เหมือนกับมีสภาวะฉีกท้องฟ้า พลันกระชากทะเลเมฆที่เป็นประกายเรืองรองจนกลายเป็นลำแสงมากมายที่แหลกสลาย