ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1527 กระบี่พุทธะแล้วอย่างไร
“ผ่านไปเรื่อยๆ สถานการณ์ยิ่งมายิ่งไม่ถูกต้อง?” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวทวนคำพูดนี้เที่ยวหนึ่ง ตาเป็นประกายเล็กน้อย “กาลเวลาไหลคล้อย ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงหกวิถีของท่านพอดีหรือ”
ถงซินหลินกล่าวเสียงทุ้ม “ต่อสู้กันหลายสิบปี สถานการณ์ของกระบี่พุทธะยิ่งมายิ่งไม่ถูกต้อง จากทิฐิสุดขั้วในตอนแรก ค่อยๆ กลายเป็นความบ้าคลั่งเหี้ยมโหด”
“…วิถีนรก” เยี่ยนจ้าวเกอเม้มปาก
พุทธกระบี่เปลี่ยนหกวิถี สำหรับโลกภายนอก วิถีที่อันตรายที่สุดคือวิถีนรก
เปรียบเทียบกันแล้ว ถึงแม้ว่าการชมชอบเอาชนะของวิถีอสูรกับความละโมภชั่วร้ายของวิถีเปรตจะเป็นด้านลบ แต่อย่างน้อยยังมีพื้นที่ให้แลกเปลี่ยนและประนีประนอม
วิถีนรกที่บ้าคลั่งกระหายเลือด ถือมีดเชือดเฉือนชีวิต เปลี่ยนโลกมนุษย์ให้กลายเป็นนรก พระพุทธราวกับจอมมาร มีพลังทำลายล้างกับการคุกคามเห็นได้โดยตรงมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เป็นกระบี่โพธิสัตว์แห่งศาสนาพุทธสายหลัก หรือว่าเป็นตอนที่เข้าแดนสุขาวดีบัวขาวแล้ว ก่อนที่กระบี่พุทธะจะกลายเป็นวิถีนรก มักจะไปเข้าฌานเป็นเวลาพันปี
ครั้งกระโน้นแดนอภิรดีศูนย์กลางหรือแดนสุขาวดีบัวขาวในปัจจุบันยังช่วยจับตาดูแลท่าน ป้องกันไม่ให้นิสัยบ้าคลั่งของท่านกำเริบ ออกมากระทำผิดศีลฆ่าสัตว์
ถึงอย่างไรแดนสุขาวดีบัวขาวก็ให้ความสำคัญกับพลังศรัทธา ต่อให้จะต่อสู้กับโถงเซียนมาหลายปี ระหว่างกันและกันล้วนเป็นยอดฝีมือตัดสินกัน มีน้อยครั้งยิ่งที่ส่งผลต่อคนธรรมดา
เกิดว่ากระบี่พุทธะเข้าสู่วิถีนรก แทบเรียกได้ว่าหยิบมีดเชือดขึ้น กลายเป็นมารทันที
ถึงขั้นที่ยังบ้าคลั่งกระหายเลือด และไม่มีเหตุผลยิ่งกว่ามารร้ายนพยมโลกจำนวนมาก
ตามแผนการในตอนแรกของกระบี่พุทธะ ท่านมาถึงโลกน้ำพุหยกด้วยร่างพระพุทธเจ้า นอกเสียจากว่าอวี้ติ่งจินหยินยังอยู่ ไม่อย่างนั้นสามารถพากระบี่ลวงเซียน และคนในท้องถิ่นกลับแดนสุขาวดีบัวขาวอย่างสบายๆ เวลามีเหลือเฟือถึงขีดสุด
แต่เป็นเพราะทิฐิของวิถีอสูร ทำให้ท่านเสียเวลากับเยี่ยนซิงถางและตี๋ชิงเหลียนหลายสิบปี
เวลาผ่านไป วันที่วิถีอสูรกลายเป็นวิถีนรกมาถึง
ความชมชอบเอาชนะหายไป ความบ้าคลั่งกระหายเลือดปรากฏขึ้น
กระบี่พุทธะไม่ต้องการต่อสู้กับเยี่ยนซิงถางและตี๋ชิงเหลียนต่ออีก และไม่คิดพาประชากรบนโลกน้ำพุหยกกลับแดนสุขาวดีบัวขาว แต่ต้องการเข่นฆ่าสังหาร ตัดปัญหาทุกอย่างให้จบ!
“คัมภีร์สังสารวัฏ…” เยี่ยนจ้าวเกอใช้มือประคองหน้าผาก
กระบี่พุทธะที่กลายร่างเป็นวิถีเดรัจฉานจะซึมเซาเหม่อลอย ครึ่งหลับครึ่งตื่น ที่แล้วมาล้วนเข้าฌานไม่ออกมา ย่อมไม่ต้องพูดถึง
ถ้าหากว่าเป็นกระบี่พุทธะที่กลายร่างเป็นวิถีเทวดา บางทีอาจเอาแค่กระบี่ลวงเซียนไป
น่าเสียดายตอนท่านมายังโลกน้ำพุหยก ไม่ได้อยู่ในวิถีเทวดา แต่เป็นวิถีอสูร
กระนั้นเป็นเพราะความชมชอบเอาชนะของวิถีอสูร เยี่ยนซิงถางกับตี๋ชิงเหลียนจึงยั่วยุให้ท่านประกระบี่เพื่อรับมือได้
ไม่อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นวิถีมนุษย์หรือวิถีเปรต บางทีกระบี่พุทธะคงจะนำทุกคนกลับแดนสุขาวดีบัวขาวก่อนแล้วค่อยว่ากล่าว
แต่ว่าพอกลายเป็นวิถีนรก ทุกอย่างก็ได้แต่เป็นสถานการณ์ไม่ตายไม่เลิกรา
เยี่ยนซิงถางกับตี๋ชิงเหลียนเผชิญกับเหตุการณ์อย่างนี้ ไม่อาจค่อยๆ รับมือได้อีก
ตราผนึกที่เตรียมไว้ในที่ลับถูกกระตุ้น สองคนเซ่นสรวงเลือดของตัวเอง ในที่สุดผนึกกระบี่พุทธะที่กลายร่างเป็นวิถีนรกสำเร็จ
พวกเขาสองคนแม้นหลีกเลี่ยงความตายไม่พ้น แต่ในที่สุดก็รักษาความสงบสุขของสิ่งมีชีวิตบนโลกน้ำพุหยกไว้ได้
ถงซินหลินกับกว่างทงจื่อพูดจบ น้ำเสียงล่องลอยอยู่บ้าง
เยี่ยนตี๋หลับตา เงียบงันไม่พูดจา
นักพรตชิงจางพอได้ยิน พลันระบายลมหายใจออกยาวๆ
เหยาอวิ๋นเฉิงเม้มมุมปากไม่กล่าววาจา เขาไม่ได้พบภัยพิบัติในครั้งนั้นด้วยตัวเอง ความพรั่นพรึงต่อการกลายเป็นวิถีนรกของกระบี่พุทธะ และการมาถึงของภัยพิบัติสังหารไร้สิ้นสุดไม่ล้ำลึกเท่านักพรตชิงจางกับถงซินหลิน แต่ก็เคยได้ยินมา เพียงแต่สุดท้ายไม่อาจลืมเลือนความตายของอาจารย์ผู้มีพระคุณ
“พูดเหมือนกับพวกเขาเสียสละชีวิตเพื่อโลกน้ำพุหยกของพวกเรา ก็แค่หาที่ตายเท่านั้น!” ครั้งนี้นักพรตจ้าวเจินแค่นเสียง
เยี่ยนตี๋พลันมองไปทางเขา ทำให้นักพรตจ้าวเจินสยิวกาย
แต่เขายังคงพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ตอนกระบี่พุทธะอยู่ในวิถีอสูร ถ้าไม่ใช่พวกเขาสองคนเอาแต่ขัดขวาง ผลลัพธ์สุดท้ายก็แค่ทุกคนเข้าสู่ศานาพุทธ ไหนเลยมีภัยพิบัติฆ่าล้างมาถึง”
ถงซินหลินกับกว่างทางจื่อมองนักพรตจ้าวเจินด้วยความไม่พอใจ
นักพรตจ้าวเจินน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อายุขัยของอาจารย์กำลังจะมาถึง ภัยพิบัติปฐมลี้ลับไร้ความหวัง ถึงแม้ข้าจะมีอายุขัยยาวนาน แต่ยากทำลายอุปสรรค หยุดอยู่ในระดับปัจจุบันตลอดชีวิต กลับสิ้นหวังแต่แรก แม้แต่ภัยพิบัติสัจพิศวงก็ไร้ความหวัง”
เขากวาดมองเยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ “พวกท่านกับผู้อาวุโสของพวกท่าน ไม่ยินยอมเข้ากับศาสนาพุทธ เป็นเรื่องราวของพวกท่าน กลับอุดเส้นทางของพวกเราไปด้วย ไหนเลยไม่น่าชิงชัง”
“ลองตรองดูดีๆ ศาสนาพุทธในปัจจุบันมีตรงไหนไม่ดี” นักพรตจ้าวเจินตอนนี้สูญเสียความกลัวเกรง กล่าวเสียงดัง “ฝึกฝนง่ายดายกว่ามาก อย่าสนใจว่าใช้วิธีอันใด สามารถพัฒนาได้อย่างแท้จริง เมื่อเลื่อนสู่ระดับที่สูงส่งได้ย่อมเป็นเหตุผลที่ถูกต้อง สำนักเต๋าแม้จะบรรยายภาพในอานคตได้งดงามปานใด ถ้าไปไม่ถึง ก็เป็นเพียงวิมานในอากาศ พวกเราเลือกละทิ้งเต๋าเข้าสู่พุทธแล้วจะเป็นไร”
เยี่ยนจ้าวเกอมองเขาอย่างเฉยชา “ในตอนที่ท่านเพิ่งเข้าสำนักศึกษามรรคา เส้นทางสองเส้นทางอยู่เบื้องหน้าท่าน ท่านเลือกสำนักเต๋าสายหลักของพวกเรา หรือเลือกศาสนาพุทธเส้นทางนอกรีต”
นักพรตจ้าวเจินงงงัน อ้าปากคิดกล่าวอะไร แต่กลับลังเลอยู่บ้าง
เยี่ยนจ้าวเกอไม่มองเขาอีก หันไปมองนักพรตชิงจาง “สองพันเก้าสิบเจ็ดปีก่อนหน้านี้ กระบี่พุทธะมาโลกน้ำพุหยกเป็นครั้งแรก ท่านยินยอมละทิ้งเต๋าเข้ากับพุทธ ฝึกฝนหลักคัมภีร์ของพระศรีอริยเมตไตรยหรือ”
“ตอนนั้นย่อมไม่ยินยอม ถ้าไม่ใช่ถูกกดดันจนไร้หนทาง ผู้ใดยินยอมเข้ากับแดนสุขาวดี แต่ว่า…” นักพรตชิงจางส่ายหน้าถอนใจ
นักพรตจ้าวเจินขัดขื้น “ต่อให้ตอนนั้นอาจารย์ไม่ยอม วันนี้มีความคิดแล้ว พวกท่านอาศัยอะไรดูแคลน ยอมละทิ้งเต๋าเข้ากับพุทธเป็นเรื่องของพวกเรา…”
เยี่ยนจ้าวเกอตัดบทเขาอย่างเย็นชา “ท่านมีอิสระในการเลือกจริงๆ แต่ตอนนั้นการเสียสละชีพของท่านปู่กับท่านย่าไม่ใช่แค่ปกป้องชีวิตของอาจารย์ท่านเท่านั้น ยังมีครอบครัวและบรรพบุรุษของท่าน อิสระในการเลือกที่พวกท่านพูด เป็นเพราะว่าท่านปู่กับท่านย่าจึงค่อยมี ไม่อย่างนั้นท่านมีอิสระในการเลือกอันใดให้พูดถึง ด้วยคำกล่าวของท่าน ถ้าครั้งนั้นบรรพบุรุษของท่านถูกพาไปแดนสุขาวดีบัวขาว ท่านก็มีเส้นทางศาสนาพุทธเส้นทางนอกรีตเพียงสายเดียวให้เดินตั้งแต่เกิด ตอนนี้ท่านพูดเรื่องอิสรภาพกับข้า? ความเสี่ยงไม่ยินยอมรับ ผลประโยชน์กลับต้องการยึดครองหมดสิ้น ท่านเก่งกาจนักหรือ ได้ผลประโยชน์ไปยังทำอวดโอ่อีก?”
เขากวาดมองคนบนโลกน้ำพุหยกรอบๆ พลันหัวเราะขึ้น “พวกท่านเกรงว่าจะไม่ทราบ ปัจจุบันนอกจากศาสนาพุทธเส้นทางนอกรีตแล้ว สำนักเต๋าของพวกเราก็มีพวกนอกรีตเช่นกัน ตั้งแต่หลังวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ พวกเขาสองฝ่ายก็โจมตีกันและกันมาโดยตลอด ช่วงชิงพลังศรัทธาและประชากร สิบปีสู้กันไม่รุนแรงครั้งหนึ่ง ร้อยปีสู้กันรุนแรงครั้งหนึ่ง แต่ละปีมียอดฝีมือที่บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน แต่ว่าในสายตาของทั้งสองฝ่ายก็เพียงแค่สิ้นเปลืองตัวเบี้ยส่วนหนึ่งเท่านั้น ขอแค่มีพลังศรัทธามากพอ ในระยะเวลาอันสั้นสามารถชุบเลี้ยงชดเชยได้เร็วกว่าเดิม หากไปอยู่ด้านใน อย่าคิดว่าท่านไม่ต้องการต่อสู้ แค่ทำเป็นเสแสร้งแล้วจะรอด ภายใต้แสงพุทธพลังศรัทธา ท่านลงแรงหรือไม่ ตั้งใจหรือไม่ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองนักพรตชิงจาง นักพรตจ้าวเจิน กับเหยาอวิ๋นเฉิง “ยอดฝีมือของสองฝ่ายที่เคยเคลื่อนไหวเมื่อสองพันปีก่อน นอกจากระดับมหาชาลแล้ว ผู้ที่เลื่อนสู่ระดับเซียนแล้วอยู่รอดถึงวันนี้ ในสิบส่วนมีเหลือไม่ถึงสามส่วน สัดส่วนการตายนี้ไม่ทราบว่ามีสูงกว่าความน่าจะเป็นที่พวกท่านจะฝ่าภัยพิบัติปฐมลี้ลับหรือภัยพิบัติสัจพิศวงขนาดไหน ส่วนการบาดเจ็บล้มตายของคนที่ไม่กลายเป็นเซียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว”
นักพรตจ้าวเจินอ้าปาก คิดพูดอันใด ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับกล่าวอย่างราบเรียบต่อ “ท่านคิดว่าข้ากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ เพื่อให้พวกท่านชั่งผลดีผลเสียเอง ให้โอกาสท่านตัดสินใจว่าจะเข้ากับศาสนาพุทธหรือไม่กระมัง ท่านอาศัยอะไรคิดว่าพวกท่านมีโอกาสนี้ ข้าพูดก็เพียงให้พวกท่านตายโดยที่เข้าใจเท่านั้น”
นักพรตจ้าวเจินอับอายกลายเป็นโทสะ กล่าวเสียงชิงชัง “ท่านแสดงอำนาจต่อหน้าพวกเราแล้วจะได้อะไร ตราผนึกยังอยู่ ท่านก็เหมือนกในกรงขังอย่างพวกเรา ถ้าหากทำลายตราผนึกได้ ท่านอาศัยอะไรเผชิญกระบี่พุทธะ ปัจจุบันสำนักเต๋าเสื่อมโทรม ท่านอาศัยอะไรทำตัวโอหังต่อหน้าแดนสุขาวดีศาสนาพุทธ”
“พระศรีอริยเมตไตรยแข็งแกร่งจริงๆ แต่ว่ากระบี่พุทธะ…เหอะๆ” เยี่ยนจ้าวเกอยกมือขึ้น เป็นประกายกระบี่สีแดงก่ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟากฟ้า
ท้องฟ้ากระเพื่อม ลวดลายค่ายกลบนตาผนึกนูนขึ้นมา