ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 153 บุคคลอันตราย
ถึงแม้ว่าจ้าวฮ่าวจะไม่ได้ออกมือ ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอฟังเสียงลมหายใจของเขาออก อวัยวะภายในทั่วกายเขาล้วนผ่านการชำระล้างปราณจิตราเรียบร้อยแล้ว
ปราณจิตราเปี่ยมล้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าภายในร่างกายแปรสภาพเป็นกำแพงปราณแล้ว กล่าวอีกอย่างคือจ้าวฮ่าวในตอนนี้ อย่างน้อยน่าจะอยู่ในระดับสูงสุดปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะกลาง ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าเหยียบย่างระดับปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นในระยะท้ายแล้ว
เปรียบเทียบกับตอนพบกันที่เขานิมิตเมฆครึ่งปีก่อน ถือว่ารุดหน้ารวดเร็วนัก
ก่อนหน้านี้เกือบจะทำให้สายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำของสำนักตนเกิดระเบิดที่เขานิมิตเมฆไปแล้ว วันวานภายหลังของจ้าวฮ่าวที่เขาไร้พรมแดนเดิมควรจะลำบากแสนเข็ญ
เพียงแต่บัดนี้ชัดแจ้งว่าเขากลายเป็นศิษย์สืบทอดหลักของเขาไร้พรมแดนแล้ว ทั้งยังประสบผลสำเร็จเหนือโหวเสียงที่อายุอานามใกล้เคียงกัน เขาไร้พรมแดนจึงพาเขามาเข้าร่วมการประชุมฝ่านภา
เห็นได้ว่าเขายังสามารถช่วงชิงการให้ความสำคัญของเขาไร้พรมแดนได้
อย่างไรก็ตาม ไม่เอ่ยถึงความรู้การกลั่นโอสถเม็ดของเขาก่อน เทียบกับอายุในตอนนี้ นับว่าพลังฝึกปรือของจ้าวฮ่าวโดดเด่นทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วในพัฒนาการของเขายิ่งทำให้โลกหล้าต้องตื่นตะลึง
ถึงแม้ว่าหวิดจะก่อความผิดพลาดอันใหญ่หลวงในเรื่องสำคัญ กระนั้นในฐานะศิษย์อ่อนอาวุโสคนหนึ่งแล้ว พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของเขาควรค่าแก่การที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็ตามจะให้ความสำคัญ
สายตาจ้าวฮ่าวจ้องรัศมีแสงที่พุ่งจากเหนือของศีรษะเยี่ยนจ้าวเกอสู่ท้องฟ้า “ถึงขั้นเคียงนภาจริงๆ แล้วสินะ…”
เปรียบเทียบระดับขั้นของเยี่ยนจ้าวเกอขณะนี้ที่เขารับรู้ กับความเร็วพัฒนาการหลายปีมานี้ เขาก็รู้สึกหวาดระแวงเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอไม่เพียงแต่กดอัดเขาในวิชาเข็มทองผ่านโอสถ หรือปัญหาการฟื้นฟูสายแร่ศิลาวิญญาณลึกล้ำ การฝึกฝนวิถีวรยุทธ์และพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม ก็ทำให้ผู้ที่มีประสบการณ์ความรู้กว้างขวางกล่าวชมด้วยความตื่นตะลึงเช่นกัน
กระนั้น แม้จะรู้สึกหวาดระแวงอยู่บ้าง ทว่าจ้าวฮ่าวไม่ได้ตึงเครียดแต่อย่างใด
เขาละสายตาที่มองไปทางเยี่ยนจ้าวเกอกลับมา ‘การฝึกฝนวรยุทธ์ยิ่งสูงขึ้นเท่าใด ความเร็วในการพัฒนาก็ยิ่งช้า ระดับขั้นพัฒนาขึ้น ไม่นานนักข้าก็จะไล่ตามเจ้าได้’
จ้าวฮ่าวยิ้มเย็นภายในใจ ‘ด้วยระดับขั้นเดียวกัน โจมตีเจ้าเหมือนกับโจมตีสุนัขตายนั่นแหละ’
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้สนใจจ้าวฮ่าวมากนัก เขากวาดสายผ่านแวบหนึ่ง มองไปยังศิษย์เขาไร้พรมแดนคนอื่น
ครานี้ศิษย์สืบทอดเขาไร้พรมแดนที่เข้าร่วมการประชุมฝ่านภาทั้งหมดสี่คน นอกจากจ้าวฮ่าวแล้ว จี้ฮั่นหรูก็อยู่ด้วยเช่นกัน
เท่าที่เยี่ยนจ้าวเกอรับรู้ หลังจากพ่ายด้วยน้ำมือของตนที่เขานิมิตเมฆแล้ว จี้ฮั่นหรู่ก็มุมานะกักตนเข้าฌานฝึกฝนบำเพ็ญเพียรเพื่อลบคำสบประมาท เขาที่เดิมทีอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะต้น วันก่อนที่จะมาเข้าร่วมการประชุมฝ่านภา เขาประสบผลสำเร็จ ก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลางแล้ว
ผู้เยาว์อีกคนหนึ่งอายุใกล้เคียงกับเยี่ยนจ้าวเกอ แต่อายุมากกว่าจ้าวฮ่าว และน้อยกว่าจี้ฮั่นหรู
เรียวคิ้วและดวงตาของเขามีชีวิตชีวา สีหน้าอารมณ์สุภาพอ่อนโยน เขายิ้มน้อยๆ พลางผงกศีรษะแสดงการทักทายเยี่ยนจ้าวเกอและคนอื่นๆ
เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นำรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายประกบกับข้อมูลภายในสมองของตน
ผู้เยาว์ผู้นี้นามว่าเซียวอวี่ เป็นศิษย์สืบทอดหลักของเขาไร้พรมแดนเช่นกัน พรสวรรค์การฝึกฝนสูงลิ่ว ถึงขั้นที่มีเรื่องเล่าว่าเพียงพิจารณาแค่พรสวรรค์และความสามารถในการเข้าใจของเขา เขาถือเป็นอันดับหนึ่งในบรรดารุ่นเยาว์แห่งเขาไร้พรมแดนในตอนนี้
เพียงแต่ว่าคนผู้นี้ไม่ได้กระตือรือร้นต่อการฝึกฝนแต่อย่างใด ขยักขย่อนไม่เสมอต้นเสมอปลาย
ทว่าพรสวรรค์ของเขาโดดเด่นเหนือใครอย่างแท้จริง ต่อให้ไม่ได้มุ่งมั่นมากมายนัก ก็ยังคงเป็นผู้โดดเด่นในรุ่นเยาว์อยู่ดี
อีกฝ่ายแสดงออกถึงเจตนาดี เยี่ยนจ้าวเกอจึงยิ้มน้อยๆ และพยักหน้าเช่นกัน ถือเป็นทักทายตอบกลับไป
เห็นได้ชัดว่าเซียวอวี่ดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาหันศีรษะกลับไปกล่าวกับจี้ฮั่นหรูที่อยู่ข้างกาย “ศิษย์พี่จี้ ท่านดูสิ ง่ายดายยิ่งนัก ไม่มีปัญหาใดที่การสื่อสารแลกเปลี่ยนไม่สามารถแก้ไขได้ ขอเพียงมีบรรยากาศที่ดีก็ง่ายขึ้นแล้ว”
มุมปากจี้ฮั่นหรูกระตุกเล็กน้อย เขาเบือนหน้าหนีไม่พูดกล่าว
เยี่ยนจ้าวเกออดไม่ได้ที่จะเป็นบื้อใบ้ ทว่าความสนใจของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่เซียวอวี่และจี้ฮั่นหรูมากจนเกินไป
ศิษย์เขาไร้พรมแดนที่ดูอายุมากที่สุดด้านข้างของพวกจ้าวฮ่าวผู้นั้น ดูเหมือนจะยิ้มทว่าก็ไม่ยิ้ม กำลังมองทางด้านนี้ด้วยแววตาไม่เป็นมิตร
ชายหนุ่มจ้องศิษย์เขาไร้พรมแดนผู้นั้นตอบ พลางเลิกคิ้วเล็กน้อย
เยี่ยฉงโจวที่อยู่อีกฟากกลับพึมพำกล่าว เนื่องด้วยรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง “ครานี้เขาไร้พรมแดนปล่อยเจ้าบ้าหลิวเซิ่งเฟิงนี้ออกมาหรือนี่”
หลิวเซิ่งเฟิง ศิษย์สืบทอดหลักเขาไร้พรมแดน อายุรุ่นราวคราวเดียวกับสวีเฟยและถังหย่งฮ่าว
เพียงแต่เทียบกับศิษย์คนอื่นของเขาไร้พรมแดนแล้ว หลิวเซิ่งเฟิงมีชื่อเสียงโฉดชั่วเป็นที่ลือเลื่อง ลงมือแต่ละครั้งใจดำอำมหิต อุปนิสัยโหดเหี้ยมทารุณ ชอบสังหารโหดคู่ต่อสู้ของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชอบอาศัยความแข็งกร้าวข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า มักจะชอบลงมือสังหารจอมยุทธ์ที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าตนโดยที่ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
ดังนั้นหลายปีมานี้ หลายครั้งเขาไร้พรมแดนจึงจำกัดการออกนอกสำนักเพียงลำพังของหลิวเซิ่งเฟิง
เพียงแต่ว่าพรสวรรค์ของเขานั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางจอมยุทธ์แห่งเขาไร้พรมแดนในช่วงอายุเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชำนาญการโจมตีสังหารในสนามรบจริง
หลายครั้งเขาไร้พรมแดนทั้งรักทั้งเกลียดเขา ปวดเศียรไม่หยุดหย่อน
สายตาหลิวเซิ่งเฟิงย้ายไปย้ายมาอยู่บนกายเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยฉงโจว เขายิ้มแยกเขี้ยว กำลังคิดอยากจะก้าวเท้าออกมา
จี้ฮั่นหรูที่อยู่ข้างกายเขามีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ชิงตัดหน้าถลาเข้าหาเยี่ยฉงโจว กล่าวว่า “ศิษย์พี่เยี่ยแห่งเมืองทะเลมรกตใช่หรือไม่ ข้าได้ยินกิตติศัพท์ท่านมานานนม อย่างไรก็โปรดชี้แนะด้วยเถิดขอรับ”
สิ้นคำกล่าว หมัดหนึ่งก็โจมตีมาทางเยี่ยฉงโจวโดยตรง
หลิวเซิ่งเฟิงมองจี้ฮั่นหรูอย่างเยือกเย็นแวบหนึ่ง สายตาของเขามองไปมาระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอและเยี่ยฉงโจวอย่างไม่เป็นมิตรอยู่บ้าง ท้ายที่สุดหยุดนิ่งอยู่บนร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอ
เซียวอวี่เงยหน้าขึ้นฟ้าหัวร่ออย่างขอไปที ยื้อแย่งปลีกกายออกมา “ศิษย์พี่เยี่ยน เยี่ยนจ้าวเกอสินะ? ข้าเซียวอวี่เพิ่งเคยพบท่านเป็นคราแรก ข้ามีคำถามเกี่ยวกับวิชากำเนิดสายฟ้าต้องขอให้คำแนะนำจากท่าน”
บนใบหน้าหลิวเซิ่งเฟิงเผยเห็นสีหน้าท่าทางคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม สองมือไพล่หลังกาย ในที่สุดก็หยุดฝีเท้าลง
ทว่าเยี่ยนจ้าวกลับสังเกตเห็นว่าลำแสงภายในดวงตาทั้งสองของเขา ยิ่งส่งความรู้สึกคุกคามแก่ผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ
เยี่ยฉงโจวและจี้ฮั่นหรูก็รับรู้ถึงการรุกโจมตีของจี้ฮั่นหรูเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าพลังท่าทางจะดูโหดร้ายน่ากลัว ทว่าแท้จริงแล้วไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆ ทั้งสิ้น
‘นับว่าพวกเจ้าตั้งอกตั้งใจยิ่งเช่นกัน’ เยี่ยฉงโจวส่ายศีรษะด้วยความจำใจอยู่บ้าง ขณะที่ใช้ปราณจิตราส่งกระแสจิตไปหาจี้ฮั่นหรู ก็ออกมือรับการรุกโจมตีของอีกฝ่าย
จี้ฮั่นหรูวางมาดขรึมจริงจัง ‘เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลาง ศิษย์พี่เยี่ยโปรดชี้แนะ’
ทั้งสองฝ่ายประมือกัน ไม่ได้มีเพลิงโทสะแต่อย่างใด กระนั้นการตั้งท่าต่อสู้กันของศิษย์สืบทอดสายหลักเมืองทะเลมรกตและเขาไร้พรมแดน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งสองแห่งก็ยังคงน่าชมเป็นพิเศษ
หลังจากฟางจุ่นและผู้อาวุโสเฉินมาถึงที่นี่แล้ว ก็พบปะกับผู้มีอำนาจของหอคลื่นโหมและเขาไร้พรมแดน สำหรับการประลองฝีมือระหว่างศิษย์ในสำนักนั้น ไม่ใช่สถานการณ์ที่สำคัญเป็นพิเศษ ไม่จำเป็นต้องแทรกแซงมากมายแต่อย่างใด เพราะเดิมทีการประชุมฝ่านภาก็เป็นการรวมตัวกันของกลุ่มผู้มากฝีมือจากทั่วหล้า และการพบปะกระทบกระทั่งกันระหว่างอัจฉริยะกับอัจฉริยะ
ขณะเยี่ยนจ้าวเกอและเซียวอวี่หาเรื่องคุยเล่นอย่างต่อเนื่อง จู่ๆ สีหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนไป ก่อนจะมองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
สายตาของอาหู่และหลิวเซิ่งเฟิงก็มองไปทางทิศทางนั้นเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เขาผงกศีรษะให้เยี่ยนจ้าวเกอ หลิวเซิ่งเฟิง และคนอื่นๆ ก่อน จากนั้นจึงมาถึงบริเวณที่เยี่ยฉงโจวและจี้ฮั่นหรูประมือกัน
มือทั้งสองของชายผู้นี้ประสานกัน แขนทั้งสองวาดวงกลมกลางท้องฟ้า ม้วนเอาปราณจิตราอันคล้ายกับระลอกคลื่นเป็นวงกลมขึ้น ขณะเดียวกันปราณจิตราก็ปกคลุมเอาเยี่ยฉงโจวและจี้ฮั่นหรูเอาไว้
ท่ามกลางพื้นที่ว่างปรากฏโลกลวงตาอันแปรสภาพมาจากปราณจิตรา คล้ายกับบึงเฉอะแฉะไปด้วยโคลนเลนบ่อหนึ่ง
ทั้งเยี่ยฉงโจวและจี้ฮั่นหรู่ต่างก็รู้สึกว่าตนคล้ายกับตกลงไปในบึงในทันที
เดิมทีทั้งสองก็ไม่ได้ต่อสู้กันจนถึงแก่ชีวิต จึงวางมือในทันที
ผู้มาเยือนเองมีพลังฝึกปรือระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลางเท่านั้น ทว่าสายตาแม่นยำ ออกแรงเฉียบแหลม ทั้งหมดทั้งมวลเข้าจังหวะยึดกุมได้พอเหมาะพอดี นำทั้งสองคนที่อยู่ในการประลองออกจากกันอย่างฉับพลัน
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูชายหนุ่มผู้นั้น พินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง “หร่วนผิง?”
หร่วนผิงผู้นั้นแยกเยี่ยฉงโจวและจี้ฮั่นหรูออกจากกันแล้ว จึงเอ่ยปากกล่าวว่า “ทุกท่านมายังหอคลื่นโหมของข้า ผู้มาไกลเป็นแขก ยังคงขอความกรุณาให้สำนักข้าได้เป็นเจ้าบ้านที่ดีสักหน่อย ไม่นานนักการประชุมฝ่านภาก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ไยต้องรีบร้อนกันด้วยเล่า”
………………..