ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1547 ข่าวดีและข่าวร้าย
“ที่ชื่อเรียกภูมิศาสตร์สำนักเขาโถงทองของข้าเหมือนกับที่บำเพ็ญนิวาสสถานของเทวกษัตริย์ประพฤติเต๋าแห่งหยกพิสุทธิ์เดิมเป็นความบังเอิญ หลังจากโลกซ้อนโลกถูกบุกเบิก ผู้คนในเขตอาทิตย์อาคเนย์เจริญเติบโต ประชากรค่อยๆ เพิ่มขึ้น คนธรรมดาก็ตั้งชื่อให้กับที่นี่” เฉาเจี๋ยตอบ
“แต่อาจเป็นเพราะวาสนา หลังจากสำนักเราสร้างสำนักตั้งพรรค ตอนบูรพาจารย์ผู้อาวุโสออกท่องในความว่างเปล่าไร้สิ้นสุดนอกเขตแดน ได้เจอโบราณสถานของถ้ำหยกบนเขาโถงทองซึ่งเป็นนิวาสสานของเทวกษัตริย์ประพฤติเต๋าก่อนมหาภัยพิบัติ”
เยี่ยนจ้าวเกอฟังเฉาเจี๋ยเล่าเรื่องอย่างเงียบๆ
ก่อนหน้านี้เขาความจริงได้ยินคนอื่นเล่าสถานการณ์ที่คล้ายกันมาแล้ว ทว่าตอนนี้ยังคงฟังเฉาเจี๋ยบอกเล่า
“แต่น่าเสียดาย ซากโบราณสถานเป็นมุมหนึ่งของนิวาสสถาน ผุพังเสื่อมโทรม ไม่มีอะไรสักอย่าง ไม่มีวัตถุใดเหลืออยู่” เฉาเจี๋ยส่ายหน้าช้าๆ
เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญพลางสอบถาม “เมื่อเป็นแบบนี้ ตอนนั้นไม่มีอะไร เพียงเป็นมุมหนึ่งของซากนิวาสสถานเท่านั้น”
“มิผิด” เฉาเจี๋ยถอนใจ “บูรพาจารย์ผู้อาวุโสตระหนักว่าเป็นวาสนาที่มีชื่อเหมือนกัน ทั้งเป็นสามพิสุทธิ์สายหลักด้วยกัน ดังนั้นจึงนำซากโบราณสถานที่ไม่ใหญ่มากแห่งนั้นกลับมายังโลกซ้อนโลก รวมเข้ากับเขาโถงทอง ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเขาโถงทอง”
ที่เขาโถงทองบนโลกซ้อนโลกไม่เคยเปลี่ยนชื่อ มีที่มาจากเรื่องนี้นี่เอง
เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดสักพักค่อยเอ่ยว่า “จากนี้ไม่ทราบข้าผู้แซ่เยี่ยนขอไปดูที่อยู่ของโบราณสถานได้หรือไม่? หวังว่าผู้อาวุโสเฉาไม่โทษว่าใจร้อน”
“ไม่ต้องเกรงใจ ย่อมได้อยู่แล้ว” เฉาเจี๋ยตอบ
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า จากนั้นกวาดมองคนรอบๆ เอ่ยว่า “สี่กระบี่ลงทัณฑ์เซียน เป็นแผนการใหญ่สำหรับคืนความรุ่งเรืองให้แก่สำนักเต๋าของพวกเรา มีความสำคัญมากอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าสหายร่วมเส้นทางทุกท่านมีเบาะแส ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ล้วนมอบให้ข้าได้”
ทุกคนต่างพยักหน้า
เกาเสวี่ยพอว่า “ถึงพวกเราจะมีกระบี่สองเล่มในมือ แต่ครั้งนี้ถ้าหากต้องออกไปหากระบี่อีกครั้ง ให้ดีที่สุดควรทิ้งกระบี่เล่มหนึ่งไว้”
ความแข็งแกร่งของค่ายกลลงทัณฑ์เซียนมิได้มีแค่สำนักเต๋าสายหลักอย่างพวกเยี่ยนจ้าวเกอเท่านั้นที่นึกถึง
ขุมกำลังใหญ่อื่นๆ ถ้าหากได้โอกาส จะต้องไม่เกรงใจแน่
เนี่ยจิงเสินเข้าสู่นพยมโลกยังอาจนำผลร้ายอย่างหนึ่งมา
นั่นก็คือผังค่ายกลลงทัณฑ์เซียนอาจตกไปอยู่ในมือนพยมโลก
ถึงตอนนั้นเนี่ยจิงเสินจะเข้าร่วมการตั้งค่ายกลลงทัณฑ์เซียน มิได้เป็นฝ่ายนำทั้งหมด แต่ว่าจางปู้ซวีกลับตายในเขตมารบนนพยมโลก
นพยมโลกใช่ว่าจะมีผังค่ายกลฉบับสมบูรณ์ แต่เรื่องราวบนโลกยากคาดคิด ถ้าหากมีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น การทิ้งกระบี่โบราณเล่มหนึ่งไว้ในจักรวาลฟ้าฟื้น อย่างน้อยก็สามารถรับประกันได้ว่าค่ายกลลงทัณฑ์เซียนจะไม่ปรากฏขึ้นมาโดยสมบูรณ์โดยมือของคนอื่น
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าอย่างเงียบงัน
ยามนี้หวังผู่เอ่ยขึ้นเสียงเบา “เวลาสี่สิบเก้าปีค่อยดำเนินพิธีครั้งหนึ่ง ควรจะรอเวลาอีกสักหน่อยหรือไม่? ถ้าไม่อย่างนั้นอาจทำให้คนนอกทราบถึงแบบแผนเวลาได้”
“ไม่จำเป็น” ไป๋เทาที่อยู่ด้านข้างส่ายหน้า กล่าว “ข้อแรก เวลาไม่คอยคน คู่ต่อสู้สองฝั่งของพวกเราปัจจุบันกำลังทำศึกกันดุเดือด มิอาจแบ่งสมาธิมาที่พวกเรา ตอนนี้พวกเราจึงสะดวกลงมือ หากลากถ่วงไปอีกสองสามปี ผู้ใดทราบว่าพวกศัตรูจะสงบศึกกันตอนไหน?”
เรื่องราวเกี่ยวพันถึงโถงเซียน ปัจจุบันหวังผู่อยู่ห่างจากระดับประมุขอีกก้าวหนึ่ง ดังนั้นไป๋เทาจึงมิอาจกล่าวให้ชัดเจน ค่อนข้างลางเรือน แต่ว่ามากพอที่จะทำให้หวังผู่ซึ่งปกติช่วยเยว่เจ้นเป่ยสะสางเรื่องราวในเขานครหยกเข้าใจความหมายได้แล้ว
“จะห้าสิบปีแล้ว…” หวังผู่พยักหน้าเล็กน้อย
สงครามใหญ่ระหว่างโถงเซียนกับแดนสุขาวดีบัวขาวเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เดี๋ยวสู้เดี๋ยวหยุด ดำเนินมาหลายปีแล้ว
ช่วงดุเดือดของสงครามใหญ่ อย่างสั้นสุดคือหลายปีหรือสิบกว่าปี ถ้ายาวสุด หลายสิบปีก็มีเช่นกัน การศึกจะเบาลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ถ้าหากว่านับคำนวณตั้งแต่ตอนเยี่ยนจ้าวเกอออกจากโลกซ้อนโลก ก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว
ภายหลังเป็นเพราะมหาวิทยราชมยุรีลงมืออย่างเหนือความคาดหมาย สองฝ่ายเดิมทีใกล้จะสงบศึกกันอีกครั้ง
แต่เป็นเพราะข่าวของเทวกษัตริย์ไท่อี้ผู้ช่วยให้รอดกับเศษศิลามนุษย์กำเนิด ดังนั้นไฟสงครามจึงรุนแรงขึ้น ลากยาวาถึงทุกวันนี้
“ข้อสอง หลังจากพวกเราได้กระบี่ลวงเซียนมาแล้ว พวกคู่ต่อสู้มิได้จับตามากขึ้น หมายความว่าพวกเขาคำนวณออกว่าพิธีกรรมของพวกเรามิอาจใช้ได้อีกครั้งในระยะเวลาสั้นๆ จำเป็นต้องรอเป็นเวลานานถึงจะใช้ได้ใหม่”
ไป๋เทาถอนใจพลางกล่าว “ความสามารถของเจ้ามรรคาไหนเลยดูแคลนได้? เมื่อมีการกระทำครั้งแรก ก็สามารถคาดคำนวณได้ว่า สามารถใช้ได้อีกในระยะเวลาอันสั้นหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะคาดคำนวณเวลาอย่างแม่นยำของการกระทำครั้งที่สองไม่ได้ แต่ขอแค่หลังจากกระทำครั้งที่สองสำเร็จแล้ว การเว้นระยะเวลาที่แท้จริงก็สมควรมิใช่ความลับอีก”
เขากับหวังผู่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกัน หวังผู่ย่อมไม่ถือสาการชี้แนะ “จริงด้วย แม้ว่าจะเป็นพิธีกรรมใหม่โดยสิ้นเชิง ทว่าถึงอย่างไรก็มาจากมหามรรคาแห่งฟ้าดิน”
“ถ้าหากพวกเราสามารถหากระบี่วิเศษเล่มที่สามเจอจริงๆ รอถึงกระบี่เล่มสุดท้าย ไม่แน่ว่าต่อให้อีกฝ่ายจะสู้กันอยู่ ก็อาจจะสงบศึกกันและรอพวกเราเป็นการเฉพาะ” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เพียงเสียดายที่…” เขานั่งพิงพนักเก้าอี้ ตบหน้าผากของตัวเอง “ใต้เท้าตงจี๋ชิงหัวเสียชีวิตแล้ว”
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ได้ยิน ต่างถอนใจคำหนึ่ง
ตอนนั้นเยี่ยนจ้าวเกอกับเจ้าแม่อู๋ตังร่วมมือกันปล่อยข่าวปลอม ดึงดูดเส้นทางนอกรีต
คิดไม่ถึงว่าภายใต้วาสนาความบังเอิญ ปลอมดันกลายเป็นจริง มีเบาะแสร่องรอยของเทวกษัตริย์ไท่อี้ผู้ช่วยให้รอด หรือก็คือจักรพรรดิตงจี๋ชิงหัวจริงๆ
สำหรับพวกเยี่ยนจ้าวเกอ ข่าวดีคือเพราะเรื่องนี้ เส้นทางนอกรีตทั้งสองจึงเปิดสงครามกันอีกครั้ง กลายเป็นว่าสำนักเต๋าสายหลักช่วงชิงเวลาฟื้นฟูพลังและพื้นที่เคลื่อนไหวที่มากกว่าเดิมมาได้
แต่ยังมีข่าวร้ายอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผลลัพธ์สุดท้ายท้ายกลายเป็น เทวกษัตริย์ไท่อี้ผู้ช่วยให้รอดที่หากพูดถึงพลังเพียงอย่างเดียว เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่บนวังเทพ และเทวกษัตริย์ผู้เก่าแก่ที่สุดไม่กี่คนในสำนักเต๋า ได้นั่งมรณะไปแล้ว
คำนวณจากเวลา อยู่ราวๆ ช่วงมหาภัยพิบัติ
ผลลัพธ์นี้ย่อมทำให้คนในสำนักเต๋าเสียดาย
“อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าใต้เท้าตงจี๋ชิงหัวมิใช่เทวกษัตริย์ไร้ประมาณ” หลิวเจิงกู่ส่งกระแสเสียงหลีกเลี่ยงหวังผู่ กล่าวกับทุกคน
พวกเยี่ยนจ้าวเกอต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“และพิสูจน์ว่า ไม่ว่าจะเต๋าปลอมหรือพุทธปลอม ต่างให้ความสำคัญกับศิลามนุษย์กำเนิดถึงขีดสุด” ฟู่อวิ๋นฉือจักรพรรดิแพรงามส่งกระแสเสียงเช่นกัน “หนำซ้ำชิ้นส่วนที่ได้มาก็จำเป็นต้องรอระยะหนึ่งจึงจะเริ่มสำแดงผลได้”
ในสถานที่ที่เทวกษัตริย์ไท่อี้ผู้ช่วยให้รอดนั่งมรณะ มีมรดกเหลืออยู่ไม่กี่ชิ้น ส่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุด ก็คือเศษศิลามนุษย์กำเนิดที่เดิมเป็นของปฐมเทวะนพวิญญาณ
เพราะชิ้นส่วนนี้ โถงเวียนกับแดนสุขาวดีบัวขาวได้เปิดสงครามดุเดือดขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่เหนือความคาดหมาย
เทวกษัตริย์ไร้ประมาณกับพระศรีอาริย์ล้วนลงมือด้วยตัวเอง ภายใต้การศึกที่ยิ่งสู้ยิ่งรุนแรง ศาสนาพุทธสายหลักแห่งแดนสุขาวดีตะวันตกกับเผ่าปีศาจแห่งเขาดาราทะเลดวงดาวก็เข้าร่วมด้วย
ผลลัพธ์สุดท้ายกลับเป็นแดนสุขาวดีบัวขาวเหนือกว่าขั้นหนึ่ง ชิงเศษศิลามนุษย์กำเนิดเข้ากระเป๋าได้
แต่ว่านี่มิได้หมายความว่าสงครามจบลงแล้ว
กลับตรงกันข้าม ไฟสงครามรุนแรงมากขึ้น
โดยเฉพาะผู้ยิ่งใหญ่ระดับมรรคาสองคนอย่าเทวกษัตริย์ไร้ประมาณกับพระศรีอาริย์ สู้กันไม่หยุดหย่อน
สำหรับพวกเขาแล้ว นิยามของกาลเวลาเลอะเลือน หมื่นปีเหมือนพริบตาเดียว พริบตาเดียวเหมือนหมื่นปี
แต่ว่าโลกภายนอกผ่านไปเกือบห้าสิบปีแล้ว
เป็นเพราะว่าแบบนี้ ทำให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอมองเลศนัยส่วนหนึ่งออก
ในเวลาห้าสิบปีพระศรีอาริย์ย่อมไม่มีมีทางไม่หลอมเปลี่ยนเศษศิลามนุษย์กำเนิดก้อนเดียว แต่เห็นได้ชัดว่ามิอาจทำสำเร็จได้ง่าย
ภายใต้การรบกวนของเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ เวลานี้ถูกยืดออกไปโดยไม่มีกำหนด จนวันนี้ก็ยังไม่สำเร็จ
ดังนั้นเทวกษัตริย์ไร้ประมาณที่ยังมีความหวังจึงพัวพันมาโดยตลอดไม่ยอมเลิกรา ดำเนินการช่วงชิงก่อนหน้านี้ต่อ