ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1564 กระบี่ลงทัณฑ์เซียนมาอยู่ในมือ
“เมื่อครู่ข้าสัมผัสมารสวรรค์ไร้พันธนาได้เลือนราง”
ในตาขวาของเฟิงอวิ๋นเซิงมีเสียงของเฟิงอวิ๋นเซิงดังมา
“เทวกษัตริย์และพระศรีอาริย์ปัจจุบันยังพัวพันไม่เลิกราเพราะเศษศิลามนุษย์กำเนิดชิ้นนั้น สมควรถอนตัวมาไม่ได้” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “แต่ว่าอมิตาภพุทธเจ้ากับใต้เท้ากษัตริย์บูรพายังคงอาจแบ่งความสนใจมาทางด้านพวกเราได้ อวิ๋นเซิงเจ้าขึ้นสู่มหาชาล ยากจะไม่ดึงดูดความสนใจของพวกเขา”
ดังนั้นพอพวกอินทรเกตุธวัชราชาพุทธะ ปีศาจลมเหลือง เซียนหัวมังกรพากันถอยหลัง พวกเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ไล่ติดตาม แต่ว่าเก็บร่าง
สำนักเต๋าสายหลักให้กำเนิดเซียนสวรรค์มหาชาลคนใหม่ ดึงดูดความสนใจของแต่ละฝ่ายไม่มากก็น้อย
เทียบกับการปรากฏขึ้นอย่างน่าตกตะลึงของสั่วหมิงจางในตอนนั้น เฟิงอวิ๋นเซิงมีสถานการณ์พิเศษเล็กน้อย
สุดท้ายแล้วนางนับว่าเป็นเซียนสวรรค์มหาชาลที่การสืบทอดสามพิสุทธิ์สร้างขึ้นหรือไม่ ยังต้องติดเครื่องหมายคำถามไว้
ร่องรอยนพยมโลกบนตัวนางยังคงอยู่
เรื่องราวเกี่ยวพันถึงมารสวรรค์ปัจฉิมธรรมบรรพมารตนที่หก ผู้เป็นสัญลักษณ์ของจุดจบในวันสิ้นโลก ชนชาวโลกล้วนทราบดี
มารสวรรค์ไร้พันธนาบรรพมารตนที่ห้าตื่นตัว ก็เพราะสาเหตุนี้
“แต่ว่าเที่ยวนี้อาจเป็นมารสวรรค์ไร้พันธนาช่วยเหลือพวกเรา เพียงแต่ว่ามันยังสงบใจไม่ได้ เพื่อนพยมโลกของมัน” เยี่ยนจ้าวเกอตาเป็นประกายเล็กน้อย กล่าวอย่างใคร่ครวญ
เสียงของเฟิงอวิ๋นเซิงในดวงตาของเขาเงียบลงไป
สายตาของสวีเฟยกับเกาชิงเสวียนมองมา เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้า “ปัจจุบันยังไม่เห็นทางหมากของอีกฝ่าย แต่ว่าทุกคนสมควรกำลังอยู่ในขั้นวางตัวเบี้ย”
เขานวดขมับของตัวเองเบาๆ “ดูจากตอนนี้ เรื่องของเจี่ยนซุ่นหวาในตอนนั้น เดิมทีเป็นการเดินหมากของสองฝ่าย ใครชนะใครแพ้ล้วนเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง”
“ข้าไม่แพ้แน่” เสียงของเฟิงอวิ๋นเซิงในที่สุดก็ดังขึ้น สงบนิ่งราบเรียบ
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้ม ใช้นิ้วทำเป็นนวดตาขวา
“ว่ากันว่าจอมมารไร้พันธนาไม่เคยปรากฏขึ้นมาหลายปี ในที่สุดวันนี้ก็โผล่ออกมาแล้ว” สวีเฟยกล่าวอย่างแช่มช้า “เหล่าเจ้ามรรคาต่างมีการเคลื่อนไหว ฟังว่าที่แล้วมาอมิตาภพุทธเจ้าสงบนิ่งไม่เแก่งแย่ง ตอนนี้ดูเหมือนจะมิใช่เช่นนั้นแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ “ยุคโบราณตอนกลางแดนอภิรดีศูนย์กลางรุ่งเรือง ดังนั้นอมิตาภพุทธเจ้ากับแดนสุขาวดีตะวันตกจึงไม่มีการเคลื่อนไหวอันใด แต่อย่าลืมว่า สองศาสดาแห่งนิกายตะวันตกในยุคโบราณตอนต้น อมิตาภพุทธเจ้าหรือว่าเจียอิ่นเต้าหยินจึงเป็นศาสดาหลัก ใช้มือเดียวเทศนาสิ่งมีชีวิตบนโลกสามพันใบ จึงค่อยสร้างรากฐานของศาสนาพุทธในภายหลัง”
“ทางเจ้าแม่มีข่าวแล้ว” เกาชิงเสวียนตอนนี้ยิ้มขึ้น กล่าวว่า “ได้กระบี่ลงทัณฑ์เซียนมาแล้ว!”
เยี่ยนจ้าวเกอกับสวีเฟยพอฟัง ต่างระบายลมหายใจโล่งอก ปรบมือฉลองให้แก่กัน
“แต่ว่าเทวกษัตริย์กว่างเฉิงแห่งหยกพิสุทธิ์ก็เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ” หลังจากดีใจ เกาชิงเสวียนคล้ายนึกอะไรได้ ถอนใจกล่าว “เจ้าแม่เจอซากสังขารของเขาแล้ว อยู่ด้วยกันกับกระบี่”
เยี่ยนจ้าวเกอกับสวีเฟยต่างส่ายศีรษะ ความยินดีหายไปจากใบหน้า
ถึงก่อนหน้านี้จะมีการคาดเดาอยู่แล้ว แต่ตอนนี้พอพิสูจน์ความจริงได้ ทำให้คนสะท้อนใจยิ่ง
เทวกษัตริย์กว่างเฉิงที่แล้วมาได้ชื่อเป็นศิษย์เอกแห่งหยกพิสุทธิ์ หนึ่งในลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของเทวกษัตริย์บรรพกำเนิดศาสดาแห่งหยกพิสุทธิ์
หลังจากยุคสถาปนาเทพโบราณตอนต้นจบลง บรมครูสามพิสุทธิ์หลุดพ้น นอกจากผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์จะครองวังเทพเพียงฝ่ายเดียว กว่างเฉิงจื่อก็ถูกมองว่าเป็นผู้นำแห่งสายหยกพิสุทธิ์
คิดไม่ถึงว่า หลายปีผ่านไป ยังประสบภัยพิบัติ เสียชีวิตตอนเกิดมหาภัยพิบัติ
ยากจะบอกว่าเป็นความแค้นเก่าก่อน เพราะเขาถือกระบี่ลงทัณฑ์เซียน
หลังจากพวกเยี่ยนจ้าวเกอรวมตัวกับเจ้าแม่อู๋ตัง กระบี่โบราณที่เป็นประกายสีเขียวเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศในโลกที่มีแต่ประกายกระบี่
ด้านล่างกระบี่ นั่งขัดสมาธิไว้ด้วยร่างกายที่มีสภาวะหนักแน่นร่างหนึ่ง
ถึงแขนจะด้วนไปข้างหนึ่ง ขาดความสมบูรณ์ แต่ยังคงทำให้คนรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามและท่วงท่าตอนยังมีชีวิต
ขณะที่่ทำให้คนรู้สึกเหมือนถูกเขาสูงกดทับ กลับไม่ขาดความคมกล้าอันร้ายกาจ
ตอนเทวกษัตริย์กว่างเฉิงยังมีชีวิต เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่มีไม่กี่คนในสายหยกพิสุทธิ์ นอกจากอวี้ติ่งจินหยิน
เพียงแต่ว่า ระดับด้านคัมภีร์พลิกฟ้ากับรอยตราพลิกฟ้าของเขา เป็นที่คุ้นเคยของชนชาวโลกมากกว่า
ด้านข้างซากสังขารของเทวกษัตริย์กว่างเฉิง ยืนไว้ด้วยเงาร่างของสตรีนางหนึ่ง มองไปเป็นมายาไม่จริงแท้อยู่บ้าง แต่ยามเผยความคมกล้าทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
พวกเยี่ยนจ้าวเกอเข้าไปคารวะ “เจ้าแม่อู๋ตังอยู่ต่อหน้า ผู้เยาว์ขอคารวะ”
สตรีที่ไม่แบ่งแยกกับโลกประกายกระบี่ที่ทุกคนอยู่ เป็นผู้ปกครองของสถานที่แห่งนี้ ย่อมเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่สายเหนือพิสุทธิ์ ศิษย์ที่เทวกษัตริย์รัตนวิเศษถ่ายทอดวิชาให้ตัวเอง เจ้าแม่อู๋ตัง
สภาพตรงหน้าเป็นนางแสดงร่างที่แท้จริงของตัวเอง พบกับพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
หลังจากสงครามสถาปนาเทพยุคโบราณตอนต้น มีผู้ยิ่งใหญ่สายเหนือพิสุทธิ์ที่ไม่ประสบภัยพิบัติไม่กี่คน เจ้าแม่อู๋ตังเป็นผู้โดดเด่นในนี้
ยุคสมัยนี้ หลังมหาภัยพิบัติ เจ้าแม่อู๋ตังรอดมาอย่างปลอดภัย มีชีวิตมาถึงตอนนี้
นางพยักหน้าให้แก่พวกเยี่ยนจ้าวเกอ และบอกให้เกาชิงเสวียนที่ค่อยๆ กราบกรานลุกขึ้น จากนั้นละสายตามา มองสังขารของนักพรตแขนเดียวตรงหน้า เงียบงันไม่พูดอะไร
ถึงแม้ว่าในอดีตจะมีความขัดแย้งมากมาย แต่รู้จักกันเป็นหมื่นปี ในฐานะผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์ วันนี้เมื่อยันยืนข่าวการตายของกว่างเฉิงจื่อได้ เจ้าแม่อู๋ตังยังคงสะท้อนใจ
หลายปีมานี้ นางยืนยันการเสียชีวิตของเทวกษัตริย์ไท่อี้ผู้ช่วยให้รอดและเทวกษัตริย์กว่างเฉิงติดต่อกัน ยากจะไม่นึกถึงอนาคตของตัวเอง
แต่ว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอคอยมองอยู่ด้านข้าง รู้สึกว่ายอดฝีมือเทวกษัตริย์ผู้เก่าแก่แห่งสายเหนือพิสุทธิ์ท่านนี้ ตอนนี้เหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในใจคล้ายมีความสงสัย
สามารถทำให้นางเผยโฉมโดยไม่สนใจความเสี่ยง รั้งอยู่ที่นี่เป็นเวลานานได้ ไม่ทราบเป็นปัญหาแบบไหน?
เห็นดังนั้น พวกเยี่ยนจ้าวเกอจึงไม่ได้รบกวนเจ้าแม่อู๋ตัง พากันคำนับซากสังขารของเทวกษัตริย์กว่างเฉิงก่อน
พวกเยี่ยนจ้าวเกอพิจารณาการเผชิญจุดจบอย่างสงบนิ่งของนักพรตผู้นี้ ต่างลอบถอนใจเบาๆ
เห็นเจ้าแม่อู๋ตังไม่ได้ห้ามปราม เยี่ยนจ้าวเกอยื่นมือออกมาคว้ากระบี่ลงทัณฑ์เซียนที่ลอยกลางอากาศ
ประกายกระบี่สั่นไหว ในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอคล้ายกับปรากฏภาพอดีตเมื่อครั้งมหาภัยพิบัติ
ขาดวิ่นไม่สมบูรณ์ ถึงขั้นที่มีภาพเงาซึ่งสับสนหนุนเนื่องมา
เยี่ยนจ้าวเกอสงบใจ หลังจากขบคิดสักพัก ก็ค่อยๆ สะสางความเรียบร้อย
เขาหันไปมองสวีเฟยกับเกาชิงเสวียน ถอนใจพลางกล่าวว่า “ไม่อยู่เหนือความคาดหมาย ตอนนั้นขุมกำลังต่างๆ ร่วมมือกันสะกดสำนักเต๋าของพวกเรา”
วังเทพ เป็นจุดเริ่มต้นของมหาภัยพิบัติ
ขณะที่มหาภัยพิบัติม้วนพัดไปทั่วฟ้าดิน มีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ยุ่งเกี่ยว
ในภัยพิบัติอันสับสน เหตุและผลสับเปลี่ยน ความปรารถนาแปรปรวน ยากจะหลีกเลี่ยง
บางทีก็พ้องกับคำโบราณประโยคหนึ่งที่ว่า มิใช่ไม่แก้แค้น เพียงเวลายังมาไม่ถึง
เมื่อเวลามาถึง ก็ถึงตามีบัญชีต้องชำระ มีแค้นต้องสะสาง
ในผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์สายหลักนอกจากวังเทพ สภาพตอนเกิดมหาภัยพิบัติของสายหยกพิสุทธิ์ที่ทรงเกียรติที่สุดเมื่อครั้งยุคโบราณตอนต้นถือว่าอนาถที่สุด
แน่นอนว่านอกจากบุญคุณความแค้นในตอนนั้นแล้ว ยังมีเหตุปัจจัยอื่นมากมาย เช่นการแก่งแย่งผลประโยชชน์ การแย่งชิงมหามรรคา
เทวกษัตริย์กว่างเฉิงทางหนึ่งต้านทานคู่แค้นในวันวาน ทางหนึ่งรับมือยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ที่คอยจับจ้องกระบี่ลงทัณฑ์เซียน
ถึงแม้ไม่มีผังค่ายกลลงทัณฑ์เซียน สี่กระบี่ลงทัณฑ์เซียนก็เป็นเป้าหมายที่คนจำนวนมากช่วงชิง ต่อให้จะมีแค่เล่มเดียวก็ตาม
เพราะแบบนี้ ถึงจะเป็นคนที่ครอบครองผังค่ายกลลงทัณฑ์เซียน ก็มิอาจกางค่ายกลลงทัณฑ์เซียนที่สมบูรณ์ได้
สุดท้ายเทวกษัตริย์กว่างเฉิงเผชิญทุกสิ่งทุกอย่าง ศัตรูจากขุมกำลังอื่นๆ กลุ้มรุม หรือบอกว่าเป็นสงครามกลุ้มรุม ไล่ล่าดุจกระแสน้ำ
ถึงตอนนั้น แม้แต่จอมมารนพยมโลกที่ถูกมองเป็นศัตรูร่วมกันของทุกฝ่าย ยังสอดเท้าเข้ามาในความวุ่นวาย ต้องการหาความได้เปรียบจากว่างเฉิงจื่อ ทำให้คนจนปัญญา