ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1622 เหมือนกันโดยมิได้นัดหมาย
เหล่าพุทธยืนเรียงกันตรงหน้าทีปังกรพุทธะ ท่าทางแตกต่างกันไป
พอได้ยินคำพูดของทีปังกรพุทธะ นักบวชศาสนาพุทธทั้งหมดต่างพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ
สำนักเต๋าสายหลักได้รับค่ายกลลงทัณฑ์เซียน มีความมั่นใจจะต่อสู้กับขุมกำลังอื่นๆ ไม่ต้องหลบซ่อน รอถูกกระทำค่อยดิ้นรนอีกต่อไป
ตอนนี้พวกเขารุกถอยได้ตามใจ สามารถตั้งรับและโจมตี เปลี่ยนจากถูกกระทำเป็นฝ่ายกระทำ
รุกสามารถวางแผนด้วยตัวเอง ถอยสามารถเร้นกายเก็บตัว ค่อยๆ วางแผนพัฒนาต่อไป
ไม่เหมือนกับโถงเซียนและแดนสุขาวดีบัวขาว คิดจะหาความก้าวหน้า ต้องขยับขยายดินแดน เพิ่มจำนวนประชากร รวบรวมพลังศรัทธา ไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับขุมกำลังอื่นๆ
เป็นเพราะเดินบนเส้นทางที่คล้ายกัน ระหว่างพวกเขาเป็นทั้งคู่แข่งโดยตรง และเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดของอีกฝ่าย
สงครามสร้างเสริมและรวบรวมความศรัทธาได้เช่นกัน
ในมุมมองหนึ่ง สงครามขนาดใหญ่ที่ทุกๆ ร้อยปีโดยประมาณจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่งระหว่างเส้นทางนอกรีตสองฝ่าย ต่อให้กลัวว่าจะแบ่งผลแพ้ชนะสุดท้ายไม่ได้ แต่ก็ต้องกระทำ เพราะมีความจำเป็นต่อการดำรงอยู่
เป็นเพราะสาเหตุหลายอย่าง ถ้าสงครามระหว่างโถงเซียนกับแดนสุขาวดีบัวขาวต่างเข้าสู่ช่วงตัดสินชัยชนะจริงๆ แดนสุขาวดีตะวันตกกับเผ่าปีศาจยากจะนั่งมองอยู่เฉยๆ
สำนักเต๋าสายหลักซึ่งก่อนหน้านี้แทรกอยู่ตรงกลางคอยมองหาโอกาสรอด หลังจากครอบครองค่ายกลลงทัณฑ์เซียน ก็สามารถนั่งอยู่บนแท่นตกปลา คอยมองดูเสือสู้กันได้แล้ว
เทียบกับแดนสุขาวดีตะวันตกกับเผ่าปีศาจแล้ว สำนักเต๋าสายหลักในปัจจุบันย่อมมีอิสระกว่ามาก
“ก้าวหนึ่งผิด ก้าวต่อมาก็ผิด” วัชรอภิณฑ์พุทธะกล่าวอย่างแช่มช้า “ก่อนหน้านี้มองข้ามผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์เกินไป ตอนนี้เหมือนหางใหญ่ส่ายไม่ได้[1] ต่อให้คิดจะร่วมมือกับเผ่าปีศาจจัดการพวกเขาก่อน ก็คล้ายเลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้แล้ว”
ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ สำนักเต๋าสายหลักในปัจจุบันก็เป็นขุมกำลังยิ่งใหญ่ระดับเดียวกับแดนสุขาวดีตะวันตก และเขาดาราทะเลดวงดาวในระดับหนึ่ง
ต่อให้หลายฝ่ายร่วมมือกัน การทำลายขุมกำลังยิ่งใหญ่แบบนี้ ราคาบางอย่างก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องจ่าย
ปัญหาอยู่ที่ ผู้ใดจะแบกรับราคานี้?
ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างรับฝั่งเดียวไม่ได้
ถึงแม้ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ตกตายพร้อมกับสำนักเต๋าสายหลัก ปราณกำเนิดได้รับความเสียหายใหญ่หลวง ต่อจากนี้ยามเผชิญหน้ากับขุมกำลังอื่นๆ ก็ยากจะต้านทาน หลีกเลี่ยงความล้มเหลวไม่ได้
พูดถึงที่สุด ระหว่างพวกเขามีความเกี่ยวข้องเป็นคู่ต่อสู้กัน
“เป็นอาตมาโลภมาก คิดช่วงชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนสมบูรณ์ กลายเป็นว่าเลี้ยงเสือขึ้นเป็นภัย” ทีปังกรพุทธะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “อารมณ์โลภโกรธหลง อาตมายังทำลายไม่ได้”
วัชรอภิณฑ์พุทธะส่ายหน้า “อดีตพุทธะกล่าวหนักไปแล้ว เพียงแต่ต่อจากนี้ต้องควบคุมความขัดแย้งระหว่างโถงเซียนกับบัวขาวนอกรีต ไม่อย่างน้อยมีแต่จะมอบโอกาสให้ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์ได้ฉกฉวยมากกว่าเดิม พวกเรารอคอยภัยพิบัตินพยมโลกก่อน จากนั้นค่อยตัดสินแพ้ชนะกับเผ่าปีศาจ และกำจัดพวกเดียรถีเส้นทางนอกรีต”
“เพียงแต่ตอนนี้โถงเซียนเผชิญกับบัวขาวเส้นทางนอกรีต กลับอ่อนแอลงส่วนหนึ่งแล้ว…”
นักบวชศาสนาพุทธต่างพนมมือ เปล่งคำสรรเสริญคุณ
ทีปังกรพุทธะถอนใจยิ้มขึ้นเช่นกัน “เริ่มต้นช้าไปแล้ว ที่มีสถานการณ์ในตอนนี้ ก็หายากมากพอแล้ว”
“ทางเมตไตรยได้เก็บสารีริกธาตุชิ้นหนึ่งของพระศรีศากยมุณีพุทธเจ้าไว้เช่นกัน ถ้าหากว่าเกลี้ยกล่อมมหาวิทยราชมยุรีได้ โถงเซียนก็อันตรายแล้ว” เวลานี้พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า “ในที่สุดพวกเรายังมีธงวิเศษบัวเขียว สามารถต้านทานมหาวิทยราชมยุรีได้ แต่ยังคงต้องระวังตัว หากมีช่องโหว่วนิดเดียว สถานการณ์อาจพังพินาศโดยสมบูรณ์”
ธงวิเศษบัวเขียวเหมือนกับธงเหลืองโบ่วกี้ สามารถป้องกันแสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีของมหาวิทยราชมยุรีได้
แต่ว่าในด้านการป้องกัน กลับสูญเสียการรุกโดยธรรมชาติ
รับมือคนอื่นยังใช้ไม่เปลี่ยนแปลงรับมือหมื่นเปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่าการรับมือยอดฝีมืออย่างมหาวิทยราชมยุรี ถ้าไม่ระวังนิดเดียว สถานการณ์อาจจะกลายเป็นน้ำไหลพันลี้[2] ในระยะเวลาที่สั้นสุดขีด ไม่มอบโอกาสให้คนเปลี่ยนแปลง
“เมื่อพวกเรามีธงวิเศษบัวเขียว มหาวิทยราชมยุรีก็ทำอะไรไม่ได้ บัวขาวเส้นทางนอกรีตไม่มีทางใช้โอกาสเปลืองง่ายๆ อย่างนั้น” ทีปังกรพุทธะเอ่ย “โถงเซียนเผชิญกับบัวขาวเส้นทางนอกรีต แม้นสภาวะอ่อนแอ แต่ถ้าหากตั้งรับหนักแน่นมั่นคง เสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง เมตไตรยคิดหาโอกาสกลับไม่ง่าย”
“แต่ทางด้านผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์กลับจำเป็นต้องคอยจับตาเผื่อว่าพวกเขามีแผนการ ก่อกวนลมฝนต่อ”
ทีปังกรพุทธะหันมองนักบวชศาสนาพุทธตรงหน้า “ร่างที่แท้จริงของมหาเทวะเสมอฟ้ายากจะปรากฏขึ้นมาอีกในช่วงสั้นๆ ทว่าทิศทางของพวกหยางเจี่ยน สั่วหมิงจาง เฟิงอวิ๋นเซิง จำต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด”
หยางเจี่ยนไม่ต้องกล่าวมากความ
หากไม่นับคำนวณมหาเทวะเสมอฟ้าที่มีสถานการณ์พิเศษ หยางเอ้อร์หลางเป็นเซียนสวรรค์มหาชาลที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเต๋าในปัจจุบัน แม้นว่าเขาจะมิได้อยู่ใกล้ระดับมรรคาเท่าพระอาจารย์เสวียนตู แต่มีพลังส่วนตัวเหนือกว่า ยามเผชิญมหาวิทยราชมยุรี ผลการรบยังเป็นที่กังขา
สำหรับยอดฝีมือที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ เขา มหาเทวะเสมอฟ้า และมหาวิทยราชมยุรีโดยพื้นฐานแล้วสามารถเรียกว่าเป็นสามยอดฝีมือรองจากระดับมรรคาในปัจจุบัน
สั่วหมิงจาง ในสงครามช่วงชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนก่อนหน้านี้ ได้ปะทะกับทีปังกรพุทธะที่มีมุกค้ำทะเลเทพธรรมบาลยี่สิบสี่องค์ในมือ สร้างชื่อสั่นสะเทือนใต้หล้าอีกครั้ง
เวลานี้วันนี้ เขาเลื่อนขึ้นสู่มหาชาลเพียงร้อยกว่าปีเท่านั้น
ส่วนเฟิงอวิ๋นเซิง เพิ่งเลื่อนสู่มหาชาลไม่เกินห้าสิบปี แต่ก็ไม่เกรงกลัวผู้ยิ่งใหญ่ตั้งแต่อดีตกาลอย่างเผิงท่องเมฆหมื่นลี้และหยวนหง แทบฉายตำนานของสั่วหมิงจางซ้ำ
โดยเฉพาะสิ่งที่ทำให้คนไม่อาจไม่สนใจก็คือ พลังเช่นนี้ของนาง ไม่เพียงแต่เป็นนักฆ่าลอบเร้นซุ่มจู่โจมและลอบสังหารได้เท่านั้น ยังเชี่ยวชาญเส้นทางนี้ยิ่งกว่า
นี่บันดาลให้ในเวลาส่วนใหญ่ การคุกคามของนางทำให้คนส่วนใหญ่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คอยป้องกันด้วยความระวังเพิ่มเป็นเท่าตัว
“นอกจากพวกเขาสามคน เยี่ยนจ้าวเกอพ่อลูกก็ขึ้นสู่ระดับสุญญตาแล้ว” ทีปังกรพุทธะกล่าวอย่างแช่มช้า
เหล่าพุทธแห่งแดนสุขาวดีต่างเอ่ย “อดีตพุทธะไม่ต้องเตือน พวกเราย่อมระวังตัว”
ทีปังกรพุทธะพยักหน้าเงียบๆ
“โถงเซียนจะเสี่ยงอันตรายเล่นงานนพยมโลกหรือไม่?” มหาสถามปราปต์โพธิสัตว์ถามขึ้น
มารร้ายนพยมโลกมีความเป็นไปได้ที่จะถูกชำระล้างอยู่เช่นกัน
พวกทีปังกรพุทธะ ลู่ยาเต้าจวิน พระอาจารย์เสวียนตูมีข้อตกลงส่วนหนึ่งกับนพยมโลก มอบโอกาสให้แก่กัน รอเวลาห้วงสุดท้ายมาถึงอย่างสงบ เพื่อช่วงชิงวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตัดสินความเป็นใหญ่
ทว่าโถงเซียนไม่มีความจำเป็นด้านนี้
“ถึงแม้ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์จะไม่ใช่ลูกพลับนิ่มอีกต่อไป แต่เทียบกันแล้ว นพยมโลกดึงดูดความเกลียดชังมากกว่า กระนั้นถ้าหากคนอื่นๆ เช่นพวกเราไม่ช่วยเหลือ โถงเซียนเผชิญกับนพยมโลกไม่มีความได้เปรียบใด” ทีปังกรพุทธะยิ้ม
“กลับเป็นทางนพยมโลก จำเป็นต้องระวังตัว” วัชรอภิณฑ์พุทธะกล่าว “อดีตพุทธะท่านกับพวกลู่ยาเต้าจวินถึงต่างจะมีการจัดการ แต่ยังจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้นพยมโลกได้โอกาสรุกคืบเพราะความชะล่าใจ ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์เป็นตัวอย่าง”
ทีปังกรพุทธะว่า “กล่าวถูกต้อง อาตมาจะระวัง”
หลังจากเหล่าพุทธปรึกษากันสักพัก ก็บอกลาจากไป
พระโพธิสัตว์กวนอิมใช้สายตาส่งเงาหลังของยุทธวิชัยพุทธะที่เงียบงันมาโดยตลอดจนลาลับ หันไปมองทีปังกพุทธะ อยากพูดอะไรแต่หยุดไว้
“ข้าทราบว่าพระโพธิสัตว์คิดอะไร ถ้าหากไม่อาจทำลายได้ เช่นนั้นทางที่ดีที่สุดอย่ามอบให้ศัตรู” ทีปังกรพุทธะว่า “ถึงแม้ความขัดแย้งระหว่างผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์กับโถงเซียนจะแทบไม่อาจไกล่เกลี่ย แต่ถ้าหากว่าจังหวะเวลาเหมาะสม ก็ใช่ว่าไม่อาจขอให้ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์มาช่วยเหลือพวกเรา อย่างน้อยก็ทดลองแลกเปลี่ยนกัน ให้แต่ละฝ่ายได้ประโยชน์เหมือนกับมหาวิทยราชมยุรี”
ท่านถอนใจอย่างกังวล กลับรำพึงรำพันเหมือนลู่ยาเต้าจวินที่อยู่บนเขาดาราทะเลดวงดาว โดยไม่ได้นัดกันไว้ “สถานการณ์ใหญ่แตกต่างไปจากเดิมแล้ว ไม่อาจสะกดผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์ได้ง่ายเหมือนเดิมอีก วิธีการก็จำเป็นต้องเปลี่ยนด้วย”
………………..
[1] หมายถึง ขุมกำลังใหญ่มากเกินไป ดูแลได้ไม่ทั่วถึง
[2] น้ำไหลพันลี้ หมายถึง สถานการณ์รวดเร็วรุนแรงเกินไปจนรับมือไม่ทัน