ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1630 เวลาร้อยปี
จอมยุทธ์ระดับเซียนเข้าฌานฝึกฝน เวลาส่วนใหญ่อาจยาวอาจสั้น สั้นไม่เกินหลายปี แต่ถ้ายาวกลับอาจเป็นร้อยปีพันปี ถึงขั้นที่นานกว่า
สำหรับพวกเขาแล้ว การเข้าฌานครั้งหนึ่ง อาจเป็นเวลาตั้งแต่ถือกำเนิดจนลงสู่พสุธาของคนหลายคน
ยิ่งใกล้มรรคายิ่งยากลำบาก ระดับพลังฝึกปรือยิ่งสูง ความยากในการยกระดับขึ้นสู่ด้านบน ความพยายามที่ต้องจ่าย ทรัพยากรที่ต้องใช้ เวลาที่ต้องเปลืองก็มีมากขึ้นเท่านั้น
เซียนกำเนิด เซียนลี้ลับ ไปจนถึงเซียนจริงแท้ หยุดอยู่ในระดับเดียวกันพันปีไปจนถึงหลายพันปี เป็นเรื่องปรกติ
เหมือนจ้าวสวรรค์สำนักเต๋า นักบวชศาสนาพุทธ อนุเทวะเผ่าปีศาจ พญามารนพยมโลก เลื่อนสู่ระดับสุญญตา ห้าปราณมุ่งสู่ต้นกำเนิดตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อนหน้านี้แล้ว
ทว่าจนถึงตอนนี้ ยังคงติดอยู่ที่นี้ เงยหน้ามองมหาชาล
สำนักเต๋าสายหลักชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนมาได้ ในที่สุดก็ได้เจอกับโอกาสในการพัฒนาอย่างมั่นคง
นับตั้งแต่นั้น เวลาก็ผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
พริบตาเดียวก็เป็นร้อยปี
ในเวลาร้อยปี เจ้าแม่อู๋ตังและนางเซียนอวิ๋นเซียวผู้ยิ่งใหญ่สายเหนือพิสุทธิ์สำนักเต๋า บุกเบิกจักรวาลสองแห่งติดต่อกัน ตั้งเรียงกับสวรรค์ของสำนักเต๋า กลายเป็นแดนเซียนที่งดงาม
หลังผ่านการใช้ชีวิตเติบโตขึ้นของคนแต่ละรุ่นในโลกคนธรรมดา จักรวาลสองแห่งนั้นกับโลกจำนวนมากที่อยู่ด้านใน ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
สำนักเต๋าทั้งหมดปรากฏสภาพรุ่งเรือง
นอกจากสำนักเต๋าแล้ว หลายปีมานี้แดนสุขาวดีตะวันตกกับเขาดาราทะเลดวงดาวของเผ่าปีสาจ ก็ไม่ได้รบรากันดุเดือดเหมือนเช่นก่อนหน้าอีก
ถึงแม้จะมิได้เก็บตัวเหมือนตอนแรก ทว่าศาสนาพุทธสายหลักกับเผ่าปีสาจก็สงบลงมาก ยึดถือการพัฒนาตัวเองเป็นหลัก
โถงเซียนกับแดนสุขาวดีบัวขาวหลีกเลี่ยงกันไม่พ้น ยังคงกระทบกระทั่งกันไม่หยุด เกิดความขัดแย้งขึ้นตลอดเวลา
เรื่องทำนองนี้มีส่วนช่วยต่อการเสริมความศรัทธาของสองฝ่าย ดังนั้นการต่อสู้จึงอยู่ในการควบคุมที่ตั้งใจของสองฝ่าย
เป็นเพราะการผงาดขึ้นอย่างแข็งแกร่งของสำนักเต๋าสายหลัก ทำให้สองฝ่ายกดข่มกันมากกว่าเดิม
ทว่าหลังจากกาลเวลาร้อยปีผ่านไป ความขัดแย้งของสองฝ่ายในที่สุดก็เริ่มรุนแรงขึ้น มีเค้าลางว่าจะเกิดสงครามขนาดใหญ่ขึ้นอีกครั้งแล้ว
แดนสุขาวดีตะวันตกกับเขาดาราทะเลดวงดาวค่อนข้างสงบนิ่ง ผู้สืบทอดสามพิสุทธิ์สำนักเต๋า ก็มีลักษณะเหมือนเรื่องราวไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
แต่ว่าการหยั่งเชิงและการเคลื่อนไหวต่อสำนักเต๋าสายหลักก็มิได้หายไปไหน หนำซ้ำยิ่งมายิ่งถี่
แตกต่างกับตอนที่สำนักเต๋าสายหลักต้องการอาศัยการเริ่มสงครามของอีกฝ่าย ค่อยมีพื้นที่มากกว่าเดิม ฉวยโอกาสเคลื่อนไหว
สถานการณ์ในปัจจุบันกลับเป็นเส้นทางนอกรีตสองเส้นทางต้องเกรงกลัวท่าทีของสำนักเต๋าสายหลัก จึงค่อยยืนยันว่าจะตัดสินดำเนินสงครามทุกด้านหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกผู้สืบอดสามพิสุทธิ์ตีชิงตามไฟ
“ดังนั้นผลลัพธ์คือเทวกษัตริย์ไร้ประมาณกับพระศรีอาริย์เจ้ามรรคาผู้ยิ่งใหญ่สองคนครั้งนี้ต้องการกดทัพเอาไว้ไม่เคลื่อนไหว สนามรบมอบให้ตัวตนต่ำกว่าระดับมรรคา?”
ในฟ้าเหนือฟ้า บนเขากว่างเฉิง เมิ่งหวานที่มาเป็นแขกกล่าวอย่างใคร่ครวญ
เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ตรงข้ามนางพยักหน้า “มิผิด ถึงแม้ไม่ได้ทุ่มเทกำลังทั้งหมด แต่การศึกของสองฝ่ายยังคงโหดร้ายรุนแรง ศึกใหญ่ในทุกๆ ด้านของเส้นทางนอกรีต ร้อยปีเกิดรอบหนึ่ง ปัจจุบันถึงเวลาแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่ารอบนี้จะกินเวลานานขนาดไหน”
“สมควรไม่ดำเนินต่อกันไปร้อยปีเหมือนคราวก่อน” เมิ่งหวานพูด
การสนทนาหลายประโยคนี้ของพวกนาง ล้วนเป็นการถ่ายทอดกระแสเสียง
เป็นเพราะว่าตรงหน้ายังนั่งไว้ด้วยกวนอวี่ลั่วที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ยังไม่บรรลุถึงระดับประมุข
ถึงแม้ไม่ทราบเนื้อหาการสนทนาของพวกเฟิงอวิ๋นเซิง แต่ว่ากวนอวี่ลั่วเห็นสีหน้าของพวกนาง ก็พอจะทายออกคร่าวๆ
เมื่อมาถึงระดับในตอนนี้ของนาง ถึงแม้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับเส้นทางนอกรีตยังมีข้อห้ามมากมาย ทว่าก็พอจะทราบเรื่องราวส่วนหนึ่งคร่าวๆ เข้าใจว่าเฟิงอวิ๋นเซิงกับเมิ่งหวานคิดถึงตัวนาง
“พี่อวิ๋นเซิง ธงเหลืองโบ่วกี้มีข่าวแล้วจริงๆ หรือ?” กวนอวี่ลั่วไม่สอบถามเรื่องราวเส้นทางนอกรีต เปลี่ยนไปพูดอีกเรื่องหนึ่ง
“มีข่าวแล้ว แต่ใช่ว่าจะถูกต้อง” เฟิงอวิ๋นเซิงตอบ “ตอนนี้พวกพี่ร่วมเส้นทางหนานจี๋ก็ยังแค่ทดลองดู”
เมิ่งหวานกับกวนอวี่ลั่วได้ยินคำเรียกหาจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ในตอนนี้ของเฟิงอวิ๋นเซิง สีหน้าล้วนไม่เปลี่ยนแปลง คุ้นชินมานานแล้ว
คิดถึงตอนที่เฟิงอวิ๋นเซิงเพิ่งกลับมาจากนพยมโลก ก็อยู่ในระดับเซียนกำเนิดแล้ว ทำให้คนจำนวนมากยากปรับตัวอยู่ชั่วขณะ
อุตส่าห์ค่อยๆ ชินขึ้นมา ภายหลังนางเหยียบทำลายภัยพิบัติฟ้ากำเนิด ขึ้นสู่มหาชาล สร้างความตื่นตระหนกกว่าเดิม
ถึงปกติเฟิงอวิ๋นเซิงจะเก็บงำกลิ่นอายเพราะเหตุผลส่วนตัว แสดงร่างที่คนทั่วไปเห็นได้ ทว่าทุกคนไม่เคยลืมเรื่องหนึ่ง
จนถึงเดี๋ยวนี้ นอกจากมหาเทวะเสมอฟ้าที่มีสถานการณ์พิเศษแล้ว นางเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสวรรค์จู๋ลั่วหวงเจียในความเป็นจริง และเป็นเซียนสวรรค์มหาชาลสำนักเต๋าที่ควบคุมจักรวาลแห่งนี้
พอมาถึงระดับของนาง นอกจากผู้อาวุโสและญาติมิตรที่เกี่ยวข้องกันโดยตรงแล้ว ทั่วทั่งการสืบทอดทุกวิถีซึ่งเป็นผู้สืบทอดสำนักเต๋า คนที่ไม่ถึงระดับมหาชาล ตามมรรยาทแล้ว หากพบนางต้องเรียกเทวกษัตริย์หุบเหวหรือเทวกษัตริย์ปัจฉิมธรรม ชื่อเต็มคือเทวกษัตริย์โกลาหลปัจฉิมธรรมราหูกลืนอาทิตย์เลิศวิถีแห่งหุบเหวสูงส่ง
เพียงแต่ว่าปกติเฟิงอวิ๋นเซิงไม่สนใจเรื่องนี้ ดังนั้นจึงมิได้เข้มงวดกับคนใกล้ชิดขนาดนั้น
บุคคลภายนอก ต่อให้แข็งแกร่งอย่างเกาหานหรือหลิงชิง ปัจจุบันพอเห็นนาง ขณะเรียกต้องเพิ่มคำว่าราชัน เพื่อแสดงความเคารพ
เฟิงอวิ๋นเซิงเรียกจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋เป็นพี่ร่วมเส้นทาง เป็นเพราะตัวนางถ่อมตน ยึดถืออีกฝ่ายว่าบรรลุมรรควิถีเร็วกกว่า
พูดถึงพลังของสองฝ่าย เกรงว่ายังไม่แน่
“ธงเหลืองโบ่วกี้มีความหมายพิเศษ ถ้าหากว่าหาเจอได้ ย่อมประเสริฐสุด แต่ก่อนจะมีเบาะแสที่ถูกต้อง ยังไม่จำเป็นต้องวุ่นวายเกินไป” เมิ่งหวานปลอบกวนอวี่ลั่ว
กวนอวี่ลั่วพยักหน้า “เป็นเหตุผลนี้ไม่ผิด เพียงแต่ยากจะไม่นึกว่า ถึงอย่างไรมหาวิยราชมยุรีก็แข็งแกร่งอย่างที่พี่อวิ๋นเซิงว่าจริงๆ”
ผู้เข้มแข็งระดับมหาชาล คนที่ทำให้คนในสำนักเต๋ากลัวเกรงที่สุด ยังคงเป็นมหาวิทยราชมยุรี
หลังจากช่วงชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียน คิดจะแสดงร่างที่แท้จริงของมหาเทวะเสมอฟ้าอีกครั้งจำเป็นต้องใช้เวลาที่นานมาก
ถึงสำนักเต๋าจะยังคงมีบุคคลร้ายกาจอย่างหยางเจี่ยน แต่กับมหาวิทยราชมยุรี ยังคงไม่กล้าบอกว่ามีความมั่นใจเต็มร้อย
พระอาจารย์เสวียนตูไม่อาจหยิบยืมธงแสงดินทักษิณจากเหล่าจวิน คนในสำนักเต๋าเวลาเผชิญมหาวิทยราชมยุรีในเวลาส่วนใหญ่ ล้วนรู้สึกตึงมือ
ทุกคนต่างนึกถึงธงเหลืองโบ่วกี้ ของวิเศษด้านการป้องกันแห่งหยกมายาในอดีต และได้รับการขนาดนามเทียบเท่าธงแสงดินทักษิณ และธงวิเศษบัวเขียวโดยอัตโนมัติ
เมื่อมีของวิเศษชิ้นนี้อยู่ในมือ ยามเจอมหาวิทยราชมยุรีอีกก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
ทว่าเผ่าปีศาจกับแดนสุขาวดีบัวขาว ก็นึกถึงของวิเศษชิ้นนี้เช่นกัน
เพียงแต่ว่าทุกคนยังไม่มีเบาะแสของจริง และหาที่อยู่ของธงเหลืองโบ่วกี้ไม่เจอ
“พี่อวิ๋นเซิง ถ้าท่านลอบโจมตีกระทันหัน ก็ทำอะไรมหาวิทยราชมยุรีไม่ได้เหมือนกันหรือ?” กวนอวี่ลั่วถามอย่างไม่ยอมอยู่บ้าง
“ถ้าโจมตีฉับพลัน สิบส่วนมีแปดส่วนที่แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีของท่านตอบสนองทัน” เฟิงอวิ๋นเซิงตอบตามสัตย์จริง “เจอกันซึ่งหน้า ประกายดาบของข้าแม้นทำลายสรรพวิชา แต่ว่ามหาวิทยราชมยุรีมีรากฐาหนาแน่นกว่าข้ามาก แสงศักดิ์สิทธิ์ห้าสีสลายไปก็เกิดตาม ถ้ายื้ดยันกัน ปัจจุบันท่านมีโอกาสชนะมากกว่า”
เมิ่งหวานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ท่านสั่งสมอีกส่วนก็ใช้ได้แล้ว ถึงอย่างไรมหาวิทยราชมยุรีก็กำเนิดขึ้นในยุคบุพกาล เริ่มเดินเร็วกว่าท่านมาก แต่ปัจจุบันมหาวิทยราชยังคงอยู่ที่ขั้นไม้ไผ่ร้อยปล้องยืดให้ยาวขึ้นยากที่สุด ส่วนท่านยังอยู่ในการยกระดับชนิดพุ่งทะยาน”
กวนอวี่ลั่วกังวลอยู่บ้าง “พี่อวิ๋นเซิง ท่านเปลี่ยนจิตดาบมรรคายุทธ์ของตัวเองกลางทาง ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”