ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1650 กินนอนยาว
ธงเหลืองโบ่วกี้ อาจต้านทานความร้ายกาจของมหาวิทยราชมยุรีได้
แต่ว่าได้แต่ถูกกระทำจึงจะปกป้องฝ่ายหนึ่งให้ปลอดภัยได้เท่านั้น มหาวิทยราชมยุรีย่อมยังคงยึดครองฝ่ายบุกที่ได้เปรียบมากอยู่
ทว่าสำหรับสำนักเต๋าสายหลักแล้ว ของล้ำค่าชิ้นนี้ยังคงมีความหมายสำคัญ
ถึงอย่างไรต่อให้ไม่มีมหาเทวะเสมอฟ้า พวกเขาก็ยังมีพวกหยางเจี่ยน สั่วหมิงจาง และเฟิงอวิ๋นเซิง
หลายปีมานี้ผู่ยิ่งใหญ่สำนักเต่าอย่างพวกหยางเจี่ยนและจักรพรรดิอายุวัฒนาหนานจี๋ ต่างทดลองค้นหาของวิเศษชิ้นนี้มาโดยตลอด
พวกเฟิงอวิ๋นเซิง จักรพรรดิโกวเฉิน ยังมีคนอื่นๆ ในสำนักเต๋า ก็ออกไปค้นหาเป็นประจำ น่าเสียดายจนถึงวันนี้ยังไร้ผลลัพธ์
“ข้าควบคุมค่ายกลลงทัณฑ์เซียน ถอนตัวไม่ได้ เรื่องแดนสุขาวดีตะวันตกได้แต่ไหว้วานพวกเจ้าแล้ว” เจ้าแม่อู๋ตังว่า “ถ้าอามิตาภพุทธเจ้ามีการเคลื่อนไหว ข้าจะลองรับมือดู”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “นี่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง รบกวนเจ้าแม่อู๋ตังด้วย”
“จริงด้วย พวกเจ้าทดลองสอดมือเข้าไปในเรื่องสารีริกธาตุศากยมุณี จำเป็นต้องระวังอีกฝ่ายปิดฟ้าข้ามทะเล วางแผนการอื่นไว้ด้วย” เจ้าแม่อู๋ตังพูดเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าเข้าใจ ขอบคุณเจ้าแม่อู๋ตังกล่าวเตือน” เยี่ยนจ้าวเกอประสานมือให้ประกายกระบี่สีเขียวมรกตที่ค่อยๆ ถดถอยไป
ในการชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนสงครามเมื่อร้อยปีก่อน เยี่ยนจ้าวเกอกับคนในสำนักเต๋าใช้ความสมบูรณ์ในความว่างเปล่า ใช้ความว่างเปล่าในความสมบูรณ์[1] ในสถานการณ์ที่ได้รับธงหกวิญญาณจากวังดุสิต ยังสร้างภาพลวงด้วยการตามหาธงหกวิญญาณ เพื่ออำพรางเจตนาในการชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียน กลับทำให้อีกฝ่ายประมาทเลินเล่อ
ผลคือในช่วงสุดท้าย นางเซียนอวิ๋นเซียวกราบบูชาธงหกวิญญาณ ขัดขวางเหล่าเจ้ามรรคาในพริบตาหนึ่ง ทำให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอล่าถอยได้อย่างปลอดภัยหลังจากชิงค่ายกลลงทัณฑ์เซียนแล้ว
ค่ายกลลงทัณฑ์เซียนสุดท้ายตกมาอยู่ในการควบคุมของสำนักเต๋า เปลี่ยนสถานการณ์ยากลำบากตั้งแต่มหาภัยพิบัติด้วยมือเดียว
วิธีการเช่นนี้ สำนักเต๋าสายหลักทำได้ ขุมกำลังอื่นๆ อย่างแดนสุขาวดีตะวันตกย่อมทำได้เช่นกัน
การค้นหาแผนการที่แท้จริงของอีกฝ่าย อำพรางแผนการที่แท้จริงของตัวเอง เดิมทีเป็นเรื่องสำคัญในการวางหมากของทุกฝ่าย
พวกเยี่ยนจ้าวเกอนึกเชื่อมโยงถึงพระอานนท์ และสารีริกธาตุศากยมุณีและมหาวิทยราชมยุรี เพราะพระสันนวสะเถระ
แต่ก็ใช่ว่านี่ไม่อาจเป็นกระสุนหมอกควันนที่แดนสุขาวดีตะวันตกปาออกมา เพื่อล่อลวงเยี่ยนจ้าวเกอกับสำนักเต๋า หรือเผ่าปีศาจ และนพยมโลก
ภายใต้การอำพรางของภาพลวง ไม่แน่ว่าแผนการที่แท้จริงของศาสนาพุทธสายหลักจะเป็นภาพอีกแบบหนึ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอถึงขั้นสงสัยว่า นี่จะเป็นหลุมพรางที่แดนสุขาวดีตะวันตกวางไว้แต่แรกอยู่แล้ว รอให้คนเหยียบโดน
‘ต้องคิดหาวิธีเผยข่าวให้แก่มหาวิทยราชมยุรีหรือไม่?’ เยี่ยนจ้าวเกอขบคิด
การปล่อยข่าวให้แก่มหาวิทยราชมยุรี สะดวกในการยืนยันความจริงของเรื่องนี้ ขณะเดียวกันก็ทำให้แดนสุขาวดีตะวันตกปวดศีรษะได้
กระนั้นก็ไม่ใช่ไม่มีข้อเสีย
ระดับมรรคาไม่ออกมา ความแข็งแกร่งของมหาวิทยราชมยุรีก็ไม่มีอะไรต้องสงสัย ถ้าหากว่ามีสารีริกธาตุศากยมุณีจริงๆ ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่สุดท้ายจะตกไปอยู่ในมือของท่าน
สารีริกธาตุศากยมุณีในมือมหาวิทยราชมยุรีค่อยๆ เพิ่มขึ้น หมายถึงท่านเข้าใกล้ระดับมรรคามากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ยังไม่ยืนยันเงื่อนไขอย่างเป็นรูปธรรมในการทะลวงสู่ระดับมรรคาของมหาวิทยราชมยุรี แต่ว่าคู่แข่งแบบนี้ ไม่เพียงแต่ทีปังกรพุทธะกับลู่ยาเต้าจวินไม่อยากจะเห็น พระอาจารย์เสวียนตูกับสำนักเต๋าสายหลักก็ไม่ต้องการเห็นเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญ แขนเสื้อเขาพลันขยับ
หัวน้อยๆ ที่มีวงตาดำยื่นออกมาจากในแขนเสื้อ
“นอนพอแล้ว?” เยี่ยนจ้าวเกอถาม
สิ่งที่หมอบอยู่ในแขนเสื้อเขาย่อมเป็นพ่านพ่าน ก่อนหน้านี้สหายตัวน้อยแสดงกายทองมหาเทวะ ควบคุมกระบองสารพัดนึก หลังจากคืนร่างเดิมก็หลับปุ๋ยเหมือนที่แล้วมา
กระนั้นหลายปีมานี้พ่านพ่านก็กำลังรับผลกระทบในที่ลับกับที่แจ้ง เหมือนอย่างที่ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกของเยี่ยนจ้าวเกอกับสวีเฟยรับการตอบแทนและผลกระทบจากกายทองมหาเทวะเสมอฟ้าต่อตัวพวกเขาเช่นกัน
ตอนนี้ถ้าหากบอกว่านางเป็นจอมปีศาจที่ขึ้นสู่ตำแหน่งอนุเทวระดับสุญญตา ความจริงก็ไม่เกินเลย
หลังแสดงกายทองมหาเทวะยังคงหลับปุ๋ย ก่อนหน้านี้บอกได้ว่าสิ้นเปลืองมากเกินไป ไม่อาจไม่พักฟื้น ตอนนี้ต่อให้พักฟื้น ความจริงก็ไม่ต้องทำอย่างนี้ จริงๆ แล้วเป็นความเคยชิน และนิสัยเกียจคร้านขี้เซามากกว่า
“หลับพอแล้ว” พ่านพ่านตอบเบาๆ จากนั้นก็พูดทันทีว่า “แต่ว่า หิวแล้ว!”
เยี่ยนจ้าวเกอหิ้วนางออกมาจากในแขนเสื้อ รองไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นวางลงตรงหน้า จ้องมองนางอย่างหงุดหงิด “มีคำกล่าวว่ากินนอนยาว[2] เจ้าตะกละขี้เซาแบบนี้ต่อไป ตอนนี้ทั้งยาวทั้งอ้วนแล้ว”
พ่านพ่านกะพริบตา ยื่นสองขาหน้าออกมากุมหน้าใบหน้า “ไม่อยากอ้วน อ้วนไม่ได้ ไม่สวย!”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าอย่างพอใจ “รู้ก็ดีแล้ว”
“…แต่ ยังคงหิว” พ่านพ่านถามอย่างน่าสงสาร และกระวนกระวาย “สามารถกินของร่อย แต่ไม่อ้วนได้หรือไม่?”
“เจ้ากลับคิดเรื่องความสวยความงามแล้ว” เยี่ยนจ้วเกอทั้งโมโหทั้งขบขัน “โลกนี้ไหนเลยมีเรื่องที่สามารถยึดครองผลประโยชน์ได้หมด”
“ท่านนี่ หยุดล้อนางได้แล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านข้าง ในความว่างเปล่าอันมืดมิดค่อยๆ ปรากฏโครงร่างของเงาคนสายหนึ่งอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ไร้เค้าลางแม้แต่น้อย
หลังจากโครงสร้างแจ่มชัด ก็ปรากฏเงาร่างของเฟิงอวิ๋นเซิง
“เจ้าก็อย่าเอ็นดูนางเกินไป” เยี่ยนจ้าวเกอแยกเขี้ยว
พ่านพ่านเห็นเฟิงอวิ๋นเซิง พลันยื่นอุ้งเท้าหน้าสองข้างออกมา ทำท่าจะกอดนาง ขาหลังสองข้างยันบนฝ่ามือเยี่ยนจ้าวเกอ พุ่งเข้าไปหาเฟิงอวิ๋นเซิง
เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มพลางรับพ่านพ่านไว้ จากนั้นมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “ท่านไม่คิดว่าปี่ภูเขาอ้วนเล็กน้อยกลมเล็กน้อยน่ารักกว่าหรือ?”
เยี่ยนจ้าวเกอย่อมมีความคิดเดียวกัน เมื่อครู่แค่ล้อพ่านพ่านเล่นเท่านั้น ตอนนี้ได้ยินเฟิงอวิ๋นเซิงพูดแบบนี้ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าตามใจจนนางเสียนิสัยแล้ว”
“ได้อย่างไร?” เฟิงอวิ๋นเซิงทางหนึ่งกอดพ่านพ่าน นางหนึ่งหยิบถุงย่ามเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา
เห็นถุงย่ามเล็กๆ ใบนั้น พ่านพ่านพลันร้องอย่างดีใจ ขยับอุ้งเท้าทั้งสี่ ยื่นหัวเข้าไป
เฟิงอวิ๋นเซิงลูบขนสีขาวสลับดำนั้น หันไปมองเยี่ยนจ้าวเกอ “ข้าได้ยินฮานหลงเอ๋อร์เล่าสถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ตอนนี้เป็นอย่างไร?”
“อาจเกี่ยวข้องกับสารีริกธาตุศากยมุณี” เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “แต่ต้องยืนยันเพิ่มอีกขั้นหนึ่ง”
“ท่านคิดทำอย่างไร?” เฟิงอวิ๋นเซิงถาม
เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง “ยังเป็นหาวิธีเปิดเผยข่าวแก่มหาวิทยราชมยุรี ดูปฏิกิริยาของเขาว่าเป็นอย่างไร และดูปฏิกิริยาของแดนสุขาวดีตะวันตกด้วย”
“พวกเราไม่มีช่องทางข่าวสารที่ใช้ติดต่อกับมหาวิทยราชมยุรีโดยตรง” เฟิงอวิ๋นเซิงว่า
มหาวิทยราชมยุรีอยู่ในแดนสุขาวดีตะวันตก แทบไม่สื่อสารกับโลกภายนอก
ท่านย่อมมีอิสระในการเคลื่อนไหว แต่ในความหมายหนึ่งแล้ว นี่ใช่ว่าจะไม่ใช่ผลลัพธ์ที่มีการประนีประนอมกับแดนสุขาวดีตะวันตก หรือบอกว่าเป็นการตกลงกับอามิตาภพุทธเจ้า
“ถึงจะไม่แน่นอนยิ่ง แต่ร่องรอยหลายอย่างก็แสดงให้เห็นว่า มหาวิทยราชมยุรีอย่างน้อยมีสารีริกธาตุศากยุมณีสองชิ้นอยู่ในมือ” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างใคร่ครวญ “เพื่อสารีริธาตุศากยมุณีชิ้นอื่นๆ ที่มากกว่าเดิม เขาค่อยๆ คิดเคลื่อนไหวหลังสงบนิ่งแล้ว”
“ไม่พูดถึงคนอื่น เผิงท่องเมฆหมื่นลี้น้องร่วมครรภ์ของเขา คงจะมีวิธีการติดต่อกับเขา แต่พวกเราไม่สะดวกกับการติดต่อเผิงท่องเมฆหมื่นลี้”
เยี่ยนจ้าวเกอดีดนิ้ว “แต่ข้าคิดว่า พวกเราอาจติดต่อกับคนอื่นเพื่อคิดหาวิธีการได้”
………………..
[1] ความสมบูรณ์ในความว่างเปล่า ใช้ความว่างเปล่าในความสมบูรณ์ เป็นกลยุทธอย่างหนึ่ง คือ สร้างการข่มขวัญในสถานการณ์ที่ตนไม่มีกำลัง และแสร้งทำเป็นอ่อนแอทั้งที่แข็งแกร่ง
[2] กินยาวนอน ตรงนี้เปรียบกับหมู ที่ยิ่งกินตัวยิ่งยาว