ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 183 นัยน์ตาขวาร้องคำราม
ประกายกระบี่หม่นมัว คดเคี้ยวยาวเหยียด คล้ายกับผสานเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับเขตไอมารอันมืดมิด ไม่แบ่งแยกออกจากกัน
ตัวของประกายกระบี่เสมือนมีชีวิตจิตใจ มันแทงมาทางด้านหลังศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ ไร้สุ้มเสียงราวกับอสรพิษอย่างไรอย่างนั้น
พ่านพ่านที่อยู่ข้างกายเยี่ยนจ้าวเกอ ในฐานะที่มันเป็นสัตว์วิเศษ ความสามารถในการรับรู้สัมผัสภัยอันตรายจึงดีกว่ามนุษย์ ทว่าบัดนี้มันกลับไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีระกายกระบี่จู่โจมมา
แม้แต่อาวุธวิญญาณมากมายที่เยี่ยนจ้าวเกอพกติดตัว ไม่ต้องพูดถึงอาวุธที่ยึดมาจากศัตรูเช่นดาบอัสนีบิน หรือกระบี่อัสนีทองคำม่วง
กระบี่วิญญาณมังกรมรกตที่ใช้บ่อยที่สุด และดาบคลื่นแสง อาวุธวิญญาณระดับกลางซึ่งมีสติปัญญาแก่กล้าติดกายเยี่ยนจ้าวเกอมาโดยตลอด จิตใจเชื่อมโยงถึงกัน ก็ไม่สังเกตเห็นกระบี่นี้ด้วยเช่นกัน
กระบี่หนึ่งที่ไร้สุ้มเสียง แต่กลับน่าหวาดหวั่นหาที่เปรียบไม่ได้!
ยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ สำหรับจอมยุทธ์ปรมาจารย์แล้ว ระยะห่างของพลังและความสามารถเดิมทีแล้วก็มีคลองหงโกวมหึมาขวางกั้นอยู่
ทว่าหากมหาปรมาจารย์ผู้นี้มุ่งมั่นไม่ประมาทแม้แต่น้อย และยังสามารถปล่อยวางทิฐิ ทั้งยังสามารถอดทนดักซุ่มได้ การที่ลอบจู่โจมสังหารจอมยุทธ์ปรมาจารย์คนหนึ่ง เก้าในสิบส่วน ผู้ที่เป็นเป้าหมายล้วนยากจะหลีกหนีชะตาถึงฆาตได้!
พลังความสามารถเยี่ยนจ้าวเกอเหนือชั้นกว่าปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาทั่วไป ถึงอย่างนั้นตอนที่ภัยอันตรายมาถึง ก็รู้สึกตัวช้าเต็มที
ตอนที่รู้สึกตัวว่าท้ายทอยเย็นวาบพักหนึ่ง เจ็บแปลบเล็กน้อย ประกายกระบี่ของอีกฝ่ายได้เข้ามาใกล้แล้ว!
ตั้งแต่เยี่ยนจ้าวเกอมาถึงโลกแปดพิภพ ในครั้งนี้เขาใกล้เข้าสู่ความเป็นความตายมากที่สุด!
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของพานป๋อไท่แห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ มู่กวงจวิน หรือจะเป็นพวกหานเซิ่ง เฒ่ามารหัวขวาน หัวหน้าค่ายชื่อหลิง
พลังฝึกปรือของทุกๆ คน ล้วนสูงกว่าผู้ลอบจู่โจมคนนี้ในตอนนี้
ถึงอย่างนั้นอาจจะมีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า หรืออาจจะหวั่นเกรงที่จะปะทะซึ่งๆ หน้า เยี่ยนจ้าวเกอล้วนดูเหมือนตกอยู่ในอันตราย แต่แท้จริงแล้วมั่นคงดุจภูผา
มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น ที่เยี่ยนจ้าวเกอสามารถรู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่า ในใจตนเองค่อยๆ ถูกปกคลุมไปด้วยเงามืดแห่งความตายชั้นหนึ่ง
ความเร็วกระบี่นี้ของอีกฝ่ายไม่ได้ว่องไวอะไร พลังไม่ได้แก่กล้าอะไร ทว่าอำพรางได้มากจริงๆ
รอจนเยี่ยนจ้าวเกอค้นพบ ปลายกระบี่ก็แทบจะแทงลงไปบนผิวของเขาเสียแล้ว
ต่อให้ชายหนุ่มว่องไวขนาดไหน ก็หลบหลีกไม่ทันเสียแล้ว
แม้ว่าจะมีเกราะ อาวุธวิญญาณที่ใช้ป้องกันบนร่างชิ้นนี้ ทว่าต่อให้อาวุธวิญญาณพยายามป้องกัน ก็ช้าไปเสี้ยววินาทีหนึ่งเช่นกัน
เสี้ยวเวลานี้เอง ที่กั้นความเป็นความตายจากกันไว้!
แม้ว่าเกราะเขาสูงจะปรากฏขึ้น แต่คนกลับได้ประสบกับกระบี่ไปก่อนแล้ว!
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อความเป็นความตาย แม้เยี่ยนจ้าวเกอจะตกใจแต่ก็ไม่ได้ว้าวุ่น
ความคิดยุ่งเหยิงใดๆ ที่ไม่จำเป็น ล้วนหายไปจนหมดสิ้น
เยี่ยนจ้าวเกอรวบรวมสมาธิ ความคิดในใจเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ก่อนจะขับเคลื่อนมันออกไปด้วยความเร็วสูงสุด!
ดวงตาราชันสายฟ้า!
ในขณะเดียวกับที่ประกายกระบี่แทบจะแทงเข้ามาในร่าง นัยน์ตาขวาเยี่ยนจ้าวเกอพลันเจ็บแปลบอย่างรุนแรงช่วงหนึ่ง!
แสงสว่างสีม่วงอมน้ำเงิน เปล่งแสงออกมาจากด้านในดวงตาข้างขวาของเขา
ปราณของเหลวธาตุอัสนีมหาศาล แล่นทั่วร่างเยี่ยนจ้าวเกอศีรษะจรดปลายเท้าในชั่วพริบตา
กระตุ้นจุดลมปราณทุกแห่งทั่วกายเขา!
โครงกระดูกทุกท่อน!
เส้นลมปราณทุกสาย!
เลือดเนื้อทุกส่วน!
ชั่วพริบตาเดียว เยี่ยนจ้าวเกอระเบิดความเร็วเหนือกว่าระดับปกติของตนไปไกล ร่างกายพุ่งออกไปข้างหน้าประดุจกับสายฟ้าแลบ!
ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ประกายกระบี่ที่ลอบจู่โจมอยู่เบื้องหลัง คว้าน้ำเหลว!
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เส้นผมบนท้ายทอยเยี่ยนจ้าวเกอขาดกระจุย ปลิวไหวอยู่ในอากาศ ถึงขั้นที่หยดโลหิตเล็กๆ ไหลซึมออกมาบนผิวหนังอยู่รางเลือน
หลังจากกระบี่ของมหาปรมาจารย์ผู้นั้นล้มเหลว ก็ยังคงไม่ลดละ เขาเพิ่มพละกำลังไล่ตามหลังเยี่ยนจ้าวเกอไปติดๆ กระบี่ยาวในมือแทงออกไปทางชายหนุ่มอีกครั้ง!
ทว่าหลังจากที่หลบหลีกการซุ่มลอบโจมตีของกระบี่แรกที่อันตรายที่สุดและซ่อนเร้นมากที่สุดมาได้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยึดมั่นอยู่กับที่เรียบร้อยแล้ว
ปราณจิตราทั่วกายแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก แสดงกระบวนท่าหมัดวิญญาณสยบคลื่นออกมา
ทั่วทั้งร่างเยี่ยนจ้าวเกอคล้ายกับปรากฎเทพเต่าวับวาบ สรรพสิ่งกลับคืนสู่เหวน้ำลึก เก็บรักษาภายใน ไม่ให้เห็นร่องรอย
จิตของมหาปรมาจารย์มิชัดเจนอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าเยี่ยนจ้าวเกอราวกับอันตรธานไปจากเบื้องหน้าต้นอย่างไรอย่างนั้น
เขารวบรวมสมาธิ ยึดตำแหน่งเยี่ยนจ้าวเกอใหม่อีกครั้ง แล้วแทงกระบี่ยาวออกไปต่อเนื่อง
กระนั้นขณะนี้แสงสว่างไสวสีแดงและสีเหลือง ส่องประกายวาบทั้งสลับกันบนร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ เสื้อเกราะประหนึ่งเขาสูงตระหง่านก็ปรากฎออกมา ต้านทานคมกระบี่ของอีกฝ่ายเอาไว้
หนึ่งนั้นเป็นพลัง สองนั้นเริ่มเสื่อมโทรม สามนั้นสิ้นสุดลง
คมกระบี่ของมหาปรมาจารย์ผู้นั้นได้เสื่อมทรุดดั่งม้าตาย บัดนี้ไม่สามารถตีฝ่าการป้องกันของเกราะเขาสูงได้อีกต่อไปแล้ว
นัยน์ตาขวาของเยี่ยนจ้าวเกอทอประกายสายฟ้าแลบอีกครั้ง เท้าแตะเหยียบพื้นปฐพี ทั้งร่างพลิกหมุน พลิกฝ่ามือโจมตีไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย!
ปราณจิตราทั้งกายที่อัดแน่นราวกับจุน้ำแข็งเย็นเยียบไว้มหาศาลก่อนหน้า ฉับพลันนั้นร้อนแผดเผาดุจเพลิง ระเบิดพลังชวนหวาดหวั่นออกมา ราวกับภูเขาไฟพ่นปะทุพรั่งพรู!
พลังความสามารถของเยี่ยนจ้าวเกอเหนือความคาดหมาย ทำให้อีกฝ่ายก็รับมือไม่ทันอยู่บ้างเช่นกัน
ก่อนลงมือพยายามคาดคะเนเผื่อเอาไว้ก่อนแล้ว กลับคาดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วยังคงตีค่าเยี่ยนจ้าวเกอต่ำไปอยู่ดี
กระบวนท่ากระบี่ของผู้ลอบจู่โจมใช้ไปนานมากแล้ว อีกทั้งความเร็วและแรงระเบิดปะทุของเยี่ยนจ้าวเกอก็แก่กล้ายิ่งนัก ครู่เดียวเยี่ยนจ้าวเกอก็ตามมาประชิดกาย
แต่ไม่ว่าอย่างไรผู้มาเยือนก็คือยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ ไม่มีความลังเลแม้แต่นิด โจมตีแสกศีรษะด้วยฝ่ามือหนึ่งออกไปทางเยี่ยนจ้าวเกอเช่นกัน!
พลังฝ่ามือนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังรุนแรง ชักนำไอมารโหมซัดสาดโดยรอบรวมเข้าด้วยกัน อานุภาพทวีความแข็งแกร่ง ประหนึ่งจอมมารผุดขึ้นบนโลกมนุษย์ก็มิปาน
พลานุภาพที่เกรียงไกร ด้วยพลังฝึกปรือของเยี่ยนจ้าวเกอ มีชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่งที่หายใจติดขัด!
หากแต่ผู้ลอบจู่โจมพลันตื่นตัวระแวดระวัง เมื่อสบสายตาเยือกเย็นของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็พบว่าแสงสายฟ้าสีม่วงอมน้ำเงินในดวงตาข้างขวาเยี่ยนจ้าวเกอแสบตามากขึ้นเรื่อยๆ
มหาปรมาจารย์ผู้นี้ลังเลไปชั่วขณะ
ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือดเช่นนี้ ความลังเลเป็นเรื่องต้องห้ามยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยนจ้าวเกอไม่ใช่จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ทั่วไปจะเทียบเทียมได้
หลังจากผู้ลอบจู่โจมคนนั้นลังเลเล็กน้อย ท้ายที่สุดก็ไม่ได้รื้อกระบวนท่า แต่เลือกที่จะถอยทัพ!
ทว่าด้วยสิ่งหนึ่งมลายหายไปสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแทนที่ พลังฝ่ามือของเยี่ยนจ้าวเกอยิ่งทวีความบ้าคลั่ง!
สันฝ่ามือของเขากวาดผ่านหัวไหล่ศัตรูไป เพลิงดุสิตสีแดงอมม่วงลวงตาที่กลายสภาพมาจากปราณจิตราระเบิดออกมา ใช้เสื้อผ้าศัตรูเป็นเชื้อเพลิง แปรสภาพเป็นเปลวเพลิงสัจจะ ลุกโชนไม่ดับไป
มหาปรมาจารย์ผู้นั้นเงียบไม่พูดจา ถอยกายกลับอย่างต่อเนื่อง พาหัวไหล่ที่เพลิงดุสิตสีแดงอมม่วงยังไม่ดับไปด้วย ไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับ เร้นกายสู่ความมืดมนใหม่อีกครั้ง
นัยน์ตาข้างขวาของเยี่ยนจ้าวเกอส่องประกายแสงสายฟ้าเล็กน้อย ชายหนุ่มเงียบสงัดไม่พูดจา จิตสัมผัสของตนพัฒนาถึงขั้นสูงสุด ระแวดระวังทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบอย่างถี่ถ้วน ป้องกันศัตรูลอบโจมตีอีกครั้ง
การประมือของทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นภายในระยะช่วงเวลาสายฟ้าแลบเท่านั้น
ฝีมือต่อสู้ชั่วพริบตา เป็นการต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย
จนกระทั่งมหาปรมาจารย์ผู้นั้นถอยออกไป พ่านพ่านที่อยู่ข้างกายถึงได้แผดคำรามออกมา จ้องมองทิศที่อีกฝ่ายถอยร่นไปมิวางตา
เยี่ยนจ้าวเกอหยุดพ่านพ่านไว้ ยืนหลังชนหลังกับมัน ระแวดระวังเงียบๆ ครู่ใหญ่ หลังจากแน่ใจว่าอีกฝ่ายออกไปแล้ว ถึงได้หยุดพลังหมัดของตนลง
“ตกลงเป็นผู้ใดกันแน่?” รูปร่างลักษณะของอีกฝ่ายแล่นวาบในสมองเยี่ยนจ้าวเกอ
ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนซ่อนเร้นอยู่ภายในชุดคลุมสีดำอำพรางกาย
บนศีรษะไม่เพียงแต่สวมหมวกกันลมเท่านั้น ใบหน้ายังสวมหน้ากากสีดำขลับอีกด้วย ทำให้ยากจะแยกแยะรูปโฉมได้
มีเพียงรูสองรูบนหน้ากากที่ทะลุออกมาเท่านั้น เผยเห็นดวงตาสีเหลืองเข้มคู่หนึ่ง ส่องแสงสีแดงจ้าวับวาบ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่านี่คือผู้ที่ตกเป็นมาร
“ปกปิดตัวตนอย่างนั้นหรือ? คนที่ข้ารู้จัก?” เยี่ยนจ้าวเกอย่นหัวคิ้วขึ้น “แต่ไม่มีความหมายนี่ เป็นเพียงความคิดมารแฝงเร้นในใจแก่กล้าขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ผนึกเข้ากับไอมารทั้งภายในและนอกจนกลายเป็นมารเข้าโดยสิ้นเชิง”
“มารเข้าแทรกโดยสิ้นเชิงแล้วไม่อาจย้อนคืน ความคิดมารภายในใจกับไอมารภายนอกผนึกเชื่อมกันเมื่อใด ก็จะกลายเป็นมารจนสำเร็จ ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะปกปิดซุกซ่อนอีกต่อไปแล้ว เท่ากับว่าเปิดโปงฐานะตัวตนด้วยตนเอง ยังจะอำพรางอันใดอีก?”
………………..