ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 214 ก้าวสู่ขั้นเคียงนภาระยะท้าย!
ปราณจิตราดุจมังกรทั้งกายเยี่ยนจ้าวเกอ ปลดปล่อยเจริญงอกงาม เพลิงและน้ำแข็งหลอมรวม หยินหยางก่อเกิดสมดุล
ปราณจิตราอันทรงพลังค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่าง ไม่ปรากฏความร้อนแผดเผาหรือความเย็นยะเยือกอีกต่อไป แต่ค่อยๆ ขมุกขมัวทั้งผืน เหมือนกับกลุ่มธาตุปราณในจุดตันเถียนของเยี่ยนจ้าวเกออย่างช้าๆ
ราวกับสามารถจุสรรพสิ่งเอาไว้ได้ เปลี่ยนแปลงก่อเกิดสรรพสิ่ง และดับสลายสรรพสิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอสำรวจภายในร่างกายตนเอง มุมปากค่อยๆ เผยเห็นรอยยิ้ม
ปราณจิตราบริสุทธิ์ภายในร่างสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไปตามการขับเคลื่อนความคิด ชั่วขณะเผลอไผลก็เกาะตัวรวมเป็นจุดเดียว
ปราณจิตราเคลื่อนย้ายอยู่ภายในร่างกายตามอำเภอใจ เคลื่อนที่ไม่หยุดยั้ง หมุนโคจรสมใจ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความคิดความอ่านของเขาโดยสิ้นเชิง
ชั่วขณะนี้ ปราณจิตราชั้นในร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอ เหมือนเช่นส่วนขยายของร่างกายและเลือดเนื้อของเขาอย่างไรอย่างนั้น บังคับบัญชาได้ตามประสงค์ รวมตัวหรือกระจายได้ตามใจนึก
นิ่งเงียบประดุจสมุทรลึก เคลื่อนไหวประดุจอสนีบาต
ฝึกฝนปราณจิตรามาถึงขั้นนี้ นั่นก็คือสัญลักษณ์แสดงระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลาง ย่างก้าวสู่ระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะท้าย!
ความคิดเยี่ยนจ้าวเกอไหววูบ ปราณจิตราที่คล้ายกับบริสุทธิ์เปลี่ยนรูปแบบฉับพลัน กลายเป็นเพลิงบรรลัยกัลป์ เหมือนกับกำลังเพลิงคุโชนก็ไม่ปานอย่างฉับไว
ชั่วเสี้ยวขณะถัดมา ปราณจิตราได้กลายสภาพเป็นน้ำแข็งเย็นเยียบเรียบร้อยแล้ว ปรากฏหิมะและน้ำแข็งแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งผืน
ปราณจิตราน้ำแข็งเย็นเยียบแบ่งออกเป็นสองสาย สายหนึ่งคงไว้ไม่เปลี่ยน อีกสายหนึ่งกลายสภาพเป็นรูปเพลิงใหม่อีกครั้ง
จากนั้นปราณจิตราทั้งสองสายเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน เปลี่ยนเป็นปราณสะอาดสุดลูกหูลูกตา กว้างใหญ่ดุจท้องนภา ไพศาลไร้ซึ่งขอบเขต นั่นก็คือพลังปราณของวิชาเอกพิสุทธิ์ วิชาสืบทอดของสำนักเขากว่างเฉิง
ปราณสะอาดหลากสายกว้างใหญ่อีกทั้งยังทรงพลัง ทว่าไม่นานนัก ปราณสะอาดสายหนึ่งในนั้น พลันเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวทันใด จากนั้นก็จมลงไป
ปราณขุ่นมัวโคจรอยู่ภายในหลอดเลือดดำของเยี่ยนจ้าวเกออย่างไหลลื่น ทว่าคล้ายกับพื้นปฐพีอันหนาหนักอย่างไรอย่างนั้น ตรงกันข้ามกับปราณสะอาดที่อยู่ข้างบนอย่างยิ่ง
เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะช้าๆ “สมมติฐานในตอนแรกนั้น ถูกต้อง”
ขณะที่ครุ่นคิดไปพลาง ปราณจิตราทั้งสองสาย สายหนึ่งสะอาดสายหนึ่งขุ่นมัว กลับมาเป็นหนึ่งเดียวใหม่อีกครั้ง เปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์
ชายหนุ่มผุดกายลุกขึ้น ก่อนจะพ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาคำหนึ่ง จุดลมปราณทั่วร่างสั่นไหวพร้อมกัน ราวกับมีสิ่งใดแข็งแกร่งยิ่งใหญ่เหลือคณานับอยู่ ส่งเสียงกู่ร้องคำรามอยู่ในนั้นพร้อมกัน
“พายุนิมิตทมิฬอ่อนกำลังลงแล้ว ถึงเวลามุ่งหน้าสู่มหาทะเลทรายแดนตะวันตกแล้ว”
ระหว่างที่เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิด เขาออกจากที่พำนักไปแล้ว ก่อนจะเห็นอาหู่กำลังไพล่มือทั้งสองไว้ข้างหลัง ยืนหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์
คนทั่วไปมองไป คล้ายกับอาหู่กำลังว่าง ตากแดดด้วยความเบื่อหน่ายอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอกลับมองออกว่า ศีรษะอาหู่ กำลังขยับเปลี่ยนองศาด้วยความเร็วจนแทบจะไม่อาจสังเกตเห็น เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่อยู่กับร่องกับรอย และด้วยขอบเขตเล็กน้อยยิ่ง
เขารักษาท่าทาง ให้หว่างคิ้วของตนเองตรงข้ามกับดวงอาทิตย์พอดีอยู่ตลอด จนถึงขั้นที่ราวกับมีเส้นไร้รูปร่างเส้นหนึ่ง เชื่อมดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเข้ากับหว่างคิ้วของเขา ทะลุเข้าสู่สมองโดยตรง
ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ากำลังเคลื่อนที่อยู่ระหว่างขอบฟ้า ตำแหน่งไม่เปลี่ยนแปลงทุกวินาที อยู่เพียงแค่เฉพาะชั่วเสี้ยวขณะหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผู้คนมองไปแล้วเหมือนว่าไม่ขยับเขยื้อนอย่างไรอย่างนั้น มีเพียงองศาที่เปลี่ยนไปน้อยนิด
กระนั้นเอาหู่กลับสามารถรับรู้ระยะทางที่เปลี่ยนแปลงในนั้นได้อย่างว่องไวอีกทั้งยังแม่นยำ พร้อมทั้งปรับองศาในการแหงนศีรษะของตนเองอีกด้วย
ครั้นเห็นเยี่ยนจ้าวเกอออกมา อาหู่ก็ก้มศีรษะลง ยิ้มซื่อบื้อพลางกล่าว “คุณชาย ครานี้ท่านเพิ่งจะเข้าฌานไม่กี่วันเองนะขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกล่าว “มีผลสัมฤทธิ์แล้ว ใช้เวลาต่อไปอีกก็สิ้นเปลืองเปล่าๆ”
นัยน์ตาอาหู่ทอประกาย “คุณชาย ท่านเลื่อนระดับเป็นปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะท้ายแล้ว?”
ชายหนุ่มอมยิ้มผงกศีรษะ อาหู่พลันจุ๊ปากกล่าวชื่นชม “ช่างรวดเร็วเสียนี่กระไร เทียบกับคุณชายแล้ว คนอื่นๆ อย่างพวกข้าล้วนกลายเป็นลาโง่เสียแล้ว”
“ถึงคุณชายจะยังไม่แน่นัก ว่าจะทำลายสถิติมหาปรมาจารย์ประมุขตระกูลที่อ่อนเยาว์ที่สุดได้ทัน แต่ในระดับปรมาจารย์ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเร็วในการพัฒนาของท่านจะเร็วกว่าท่านประมุขแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มน้อยๆ “ถึงแม้ว่าข้าเองก็พอใจกับความเร็วในการพัฒนาของตัวเองอย่างมากเช่นกัน เพียงแต่ทั้งหมดทั้งมวลรอให้ข้าถึงระดับมหาปรมาจารย์ก่อนค่อยว่ากันดีกว่า”
เขามองอาหู่ “ว่าแต่เจ้าเถอะ มั่นใจที่จะบรรลุระดับมหาปรมาจารย์แล้ว?”
อาหู่เกาศีรษะ “รู้สึกว่า ยังขาดความหมายอีกเพียงน้อยนิด”
“ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเจ้าเลื่อนขั้นฝ่านภา ก็เพิ่งจะเป็นเวลาแค่ปีเดียว แต่ด้วยพรสวรรค์และศักยภาพของเจ้า น่าจะถึงระดับก้าวสุดท้ายใกล้ประตูแล้ว ตีฝ่าด่านขวางกั้นในตอนนี้ให้ได้ ก็จะเป็นฟ้าดินผืนใหม่เอี่ยม” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว
ชายร่างใหญ่หัวเราะร่าพลางกล่าว “ข้าก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน ไม่นานนักก็จะไล่ตามพวกพี่เฟยได้”
เหล่าบรรดาผู้มีความสามารถโดดเด่นวัยเยาว์ของแต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าร่วมการประชุมผ่านภา ต่างก็ได้รับสิ่งต่างๆ ไปไม่น้อย หลังจากหายนะนพยมโลกบังเกิด ยิ่งยากที่จะฝึกประสบการณ์
หลังจากการประชุมฝ่านภา ณ ทะเลสาบปิดนภา ในช่วงเวลาครึ่งปีนี้ที่เยี่ยนจ้าวเกอกักตัวฝึกฝน คนอื่นๆ ต่างก็กำลังตั้งอกตั้งใจฝึกฝนเช่นกัน
สวีเฟย ถังหย่งฮ่าว และซ่งเฉา ทั้งสามล้วนมีพลังฝึกปรือในขั้นฝ่านภานานแล้ว ปัจจุบันทยอยตีฝ่าด่านขวางกั้นอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุระดับมหาปรมาจารย์
จากยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ขั้นฝ่านภา เข้าสู่ระดับมหาปรมาจารย์ แน่นอนว่าก่อนหน้าพวกเขายังมียอดฝีมือมหาปรมาจารย์อีกจำนวนมาก
ในระดับขั้นนี้ เหล่ายอดฝีมือเฉกเช่นสวีเฟย ก็กลายเป็นดรุณเช่นกัน
ทว่าการที่ก้าวข้ามด่านขวางกั้นจากปรมาจารย์สู่มหาปรมาจารย์มาได้ สายตาที่ผู้คนทั่วหล้ามองพวกเขา ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเช่นกัน ไม่ใช่สายตาที่มองศิษย์อ่อนอาวุโสเช่นนั้นในอดีตอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น เปรียบเทียบอายุของพวกเขา กับพลังความสามารถและพรสวรรค์ที่แสดงออกมาในระดับชั้นเดียวกัน คาดได้ว่ากลุ่มของสวีเฟยยังมีอนาคตอีกยาวไกล
สำหรับพวกเขาแล้ว มหาปรมาจารย์ก้าวแรก เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นใหม่อีกจุดหนึ่งเท่านั้น ซึ่งดูมีอนาคตสดใส
ก็เหมือนเช่นด่านขวางกั้นระดับหลอมกายสู่ระดับปรมาจารย์ ทำให้ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนติดแหงกจนเสียเวลาแรมเดือนแรมปีไปเปล่าประโยชน์
จากระดับปรมาจารย์สู่ระดับมหาปรมาจารย์ เป็นด่านขวางกั้นเช่นเดียวกัน จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์มากมายหยุดอยู่ที่ขั้นเคียงนภาระยะท้าย หรือไม่ก็ขั้นฝ่านภา ด้วยเพราะยากจะก้าวข้ามไปได้ จึงต้องผ่านครึ่งชีวิตที่เหลืออย่างโง่เขลาเบาปัญญาเช่นนี้
ในฐานะผู้โดดเด่นท่ามกลางศิษย์สืบทอดหลักของแต่ละดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ แน่นอนว่ากลุ่มของสวีเฟยไม่ถึงขั้นรวมอยู่ในขั้นนั้น แต่ถึงอย่างไรการที่อายุสามสิบปีต้นๆ แล้วสามารถบรรลุระดับมหาปรมาจารย์ได้ ยังคงเป็นเรื่องยาก ขอเพียงแค่ไม่เกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย อนาคตอันไร้ที่สิ้นสุดได้ถูกลิขิตไว้แล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอตบไหล่อาหู่ “ไปกันเถิด พวกเราเคลื่อนกายมุ่งหน้าไปยังวายุพิภพ บัดนี้ภัยพิบัติแต่ละอย่างของมหาทะเลทรายแดนตะวันตก อยู่ในฤดูกาลที่ค่อนข้างอ่อนกำลังพอดี”
หลังรายงานบิดาตนและอาจารย์ปู่หยวนเจิ้งเฟิงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็พาอาหู่และบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งออกจากสำนักทันที
นอกจากพวกอาหู่แล้ว เนื่องด้วยเหตุเข็มแกนน้ำแข็ง เฟิงอวิ๋นเซิงเองก็ร่วมเดินทางไปด้วยเช่นกัน ถึงอย่างไรเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่แน่ใจนักว่าการเดินทางมุ่งไปยังมหาทะเลทรายแดนตะวันตกครั้งนี้ จะไปนานเท่าใด
แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสสำนักจะค่อนข้างเป็นกังวล ว่าเฟิงอวิ๋นออกเดินทางแล้วจะประสบเหตุไม่คาดฝันหรือไม่ แต่พลังฝึกปรือของสตรีแห่งจันทรา ก็ใช่ว่าเก็บตัวอยู่ในเขาลึกมุมานะฝึกฝนแล้วจะสัมฤทธิ์ผล ท้ายที่สุดแล้วจึงอนุญาตให้นางออกเดินทาง
สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอ บัดนี้บรรดายอดฝีมือระดับสูงของเขากว่างเฉิงไว้วางใจเขาอย่างยิ่งยวด
ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดเส้นทางนี้ นอกจากมหาทะเลทรายแดนตะวันตกแล้ว ก็ล้วนอยู่บนเขตพื้นที่ของเขากว่างเฉิง ซึ่งมียอดฝีมือของสำนักรักษาการณ์อยู่
เมื่อออกจากประตูสำนัก พวกเขาออกจากเกาะนภากลาง มุ่งไปทางทิศตะวันตกตลอดทาง ไปยังเกาะนภาตะวันตกอันเป็นหนึ่งในห้าเกาะนภาพิภพ จากนั้นมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกต่อไป ก็จะออกจากเขตนภาพิภพ ถึงเกาะทราย หนึ่งในสี่เกาะของวายุพิภพ
ปัจจุบันเกาะทรายเป็นพื้นที่ควบคุมที่สำนักเขากว่างเฉิงยึดครองเช่นกัน มีผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเกาะทรายรักษาการณ์โดยเฉพาะ
ในทางภูมิประเทศแล้ว เกาะทั้งสี่ของวายุพิภพ เรียงลำดับแนวดิ่งไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ทั้งหมดมีเขตแดนติดกันกับมหาทะเลทรายแดนตะวันตก โดยที่มีอาณาเขตกว้างและยาวประกอบร่วมกับวายุพิภพ
มหาทะเลทรายแดนตะวันตกเกือบจะเป็นเขตต้องห้าม รวมไปถึงเขานิมิตทมิฬ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์วายุพิภพในสมัยก่อน ผู้ใดก็ไม่อาจควบคุมมันได้อย่างสิ้นเชิง
ในตำนานเล่าว่า ที่นั่นคือเศษซากพลังของวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ฉะนั้นจึงเปี่ยมไปด้วยภัยพิบัติ ถึงขั้นที่มีพลังทำลายล้าง เรียกว่าล้างผลาญก็ว่าได้
การแย่งชิงพื้นที่วายุพิภพของสำนักเขากว่างเฉิง สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และสำนักเขาไร้พรมแดน โดยส่วนมากมุ่งเป้าไปที่เกาะทั้งสี่ของวายุพิภพ และขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ ทว่าสำหรับมหาทะเลทรายแดนตะวันตก กลับปลีกหากออกจากมัน
เยี่ยนจ้าวเกอจึงรู้สึกสนใจที่แห่งนี้อย่างมาก
………….