ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 235 เจ้าร้องเพิ่งจบข้าก็ขึ้นเวทีแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอมองดูประมุขจวนภูเขาวายุอำพันที่มาเยือนประตูหลังเหลียนฉงอี้จากไปอย่างที่คิดไว้ ความรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกในใจยิ่งเด่นชัดขึ้น
สำหรับพฤติกรรมเจ้าเพิ่งร้องจบข้าก็ขึ้นเวที[1]แล้วของทั้งสองคน เยี่ยนจ้าวเกอยังคงมีสีหน้าน่าเกรงขามดังเดิม
คว้าโอกาสไว้แน่น กระตือรือร้นแสวงหาความก้าวหน้า ช่วงชิงการสนับสนุนที่อาจจะช่วงชิงได้มาบ้าง เพิ่มแต้มต่อให้ตนเองตลอดเวลา
เรื่องประเภทนี้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด ไม่ว่าจะผู้อาวุโสไป๋หรือผู้อาวุโสหง เขาล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีความโน้มเอียงใดทั้งสิ้น ฉะนั้นในเมื่อพบตัวแทนของฝ่ายหนึ่งแล้ว กระนั้นก็ย่อมให้โอกาสอย่างเท่าเทียมกับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นธรรมดา
หาไม่แล้วข่าวคราวสะพัดออกไป เยี่ยนจ้าวเกอพบเหลียนฉงอี้แล้ว กลับปิดประตูไม่ต้อนรับใส่ประมุขจวนหวง เช่นนั้นเท่ากับว่าบอกผู้อื่นว่าตนเองสนับสนุนผู้อาวุโสหง
ประมุขจวนหวงรำลึกถึงผู้อาวุโสหลี่ที่จากไปพร้อมกับเยี่ยนจ้าวเกอก่อน แล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสนทนาเรื่อยเปื่อย
หลังจากพูดคุยเล็กน้อยไม่กี่ประโยคแล้ว ประมุขจวนหวงไม่กล้าถ่วงเวลาต่อไปอีก ทั้งนี้จะได้ไม่ยึดใช้เวลาเยี่ยนจ้าวเกอมากเกินไปจนก่อเกิดความเอือมระอา
เขาหยิบกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งออกมา ยิ้มตาหยีพลางเอ่ย “ได้ยินว่าคุณชายชอบวัตถุโบราณ ยังศึกษาอักษรโบราณแต่ละชนิดมากมายอีก ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ข้าเพิ่งได้รับของล้ำค่ายุคสมัยแต่นานมาชิ้นหนึ่ง ตัวข้าครุ่นคิดไม่ได้สาระสำคัญ ใคร่ขอคุณชายเยี่ยนชี้แนะสักหน่อย”
เยี่ยนจ้าวเกอเพ่งมองเขาเปิดกล่องผ้าไหมออก อดตกใจอยู่หน่อยๆ ไม่ได้
ในกล่องผ้าไหมมีเครื่องหยกก้อนหนึ่งวางเอาไว้นิ่งๆ ทว่ามีเพียงแค่ครึ่งเดียว ปรากฏให้เห็นเป็นรูปร่างครึ่งวงกลม พื้นผิวมีริ้วลวดลายที่มีท่วงทำนองโบราณและเรียบง่าย
ชัดเจนว่าเป็นเครื่องหยกอีกครึ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอสั่งอาหู่ให้ไปตามหาก่อนหน้านี้
หลังเยี่ยนจ้าวเกอได้รับเครื่องหยกครึ่งก้อนจากเหยาซาน บุคคลผู้เหลือรอดจากสำนักเขานิมิตทมิฬนั่น เนื่องจากด้านที่เครื่องหยกแตกออกยังดูใหม่เอี่ยม เห็นได้ชัดว่าแตกไปได้ไม่นาน ฉะนั้นเกินกว่าครึ่งเครื่องหยกอีกครึ่งก้อนก็ยังคงอยู่ที่เกาะทราย
คิดไม่ถึงเลยว่าย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาทั้งสิ้น
ชายหนุ่มสังเกตประมุขจวนหวงอย่างละเอียด อีกฝ่ายมองยังเขาด้วยความรอคอยอยู่บ้างเช่นกัน
เขาแลกเปลี่ยนความนัยในแววตากับอาหู่ชั่วครู่โดยไม่ทิ้งร่องรอย เมื่อเห็นอาหู่ส่ายศีรษะ เป็นการบ่งบอกว่าภารกิจค้นหาเครื่องหยกก่อนหน้านี้เป็นความลับ ถึงแม้หลังจากออกจากมหาทะเลทรายแดนตะวันตกจะค้นหามันอยู่ตลอด ทว่าไม่ได้แพร่งพรายความลับออกไป
อย่างน้อยที่สุด ข่าวสารน่าจะแพร่สะพัดไปไม่ถึงหูประมุขจวนหวง
ประมุขจวนหวงไม่รู้จริงๆ ว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีเครื่องหยกครึ่งก้อนอยู่ในมือเช่นกัน แต่เขาเคยหาคนมาวิเคราะห์ดูแล้ว เครื่องหยกครึ่งก้อนในมือเขานี้เก่าแก่อย่างยิ่งยวด อีกทั้งยังเป็นของจริงแท้ หาใช่สร้างลอกเลียนในยุคนี้ไม่
เหตุที่ยามเผชิญหน้าเหลียนฉงอี้มั่นใจเต็มขั้น เป็นเพราะว่าประมุขจวนหวงไม่ได้หน้ามืดตามัวแต่อย่างใด และคิดว่าธนูที่ตนเองจะปล่อยออกไปเป็นผลดีกับเยี่ยนจ้าวเกอ เกินกว่าครึ่งสิ่งของที่ตนมีเข้าตาชายหนุ่มมากกว่า
นิ้วมือเยี่ยนจ้าวเกอลูบไล้เครื่องหยก หลังจากนั้นครู่ใหญ่ถึงค่อยยิ้มน้อยๆ “เป็นวัตถุโบราณยุคสมัยเก่าแก่แท้จริงไม่ผิด แวบแรกข้าเองก็มองพื้นเพของมันไม่ออก”
“แต่ก็มีแนวคิดอยู่บ้าง หากประมุขหวงไม่ถือสาล่ะก็ ข้านำไว้ศึกษาสักสองสามวันได้หรือไม่?”
บนดวงหน้าประมุขจวนหวงเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น “แน่นอนว่าได้ มีคุณชายเยี่ยนอยู่ ของสิ่งนี้ค่อยไม่ถึงกับเป็นอัญมณีใสเปรอะฝุ่น”
แม้ต่อจากนี้ประมุขจวนหวงคิดจะชักนำหัวข้อสนทนาไปยังเรื่องเกี่ยวกับผู้อาวุโสไป๋ ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่รับทั้งสิ้น ทำให้ประมุขจวนหวงเสียใจอีกอยู่บ้าง ทว่าโดยภาพรวมแล้ว ตอนที่เขาไปยังคงอารมณ์ดีไม่เลว
ครั้นส่งประมุขจวนหวงไปแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็เคาะนิ้วลงบนหน้าโต๊ะอย่างแผ่วเบา เอ่ยว่า “อาหู่ เลือกของจากในบรรดาทรัพย์สินของข้า ส่งของกำนัลกลับให้พวกเขาทั้งสองคนสักหน่อย”
เขาเคาะนิ้วบนกล่องผ้าไหมที่บรรจุเครื่องหยกไว้ “ของชิ้นนี้ ประเมินแล้วมูลค่าสูงกว่าอยู่บ้าง เพราะส่วนตัวข้านิยมไปทางวัตถุโบราณ”
อาหู่กะพริบตาปริบๆ “คุณชาย พวกเขาล้วนมอบของแสดงความเคารพท่านเอง ไม่ใช่ภายใต้สำนักเขากว่างเฉิง ทั้งยังไม่ใช่ท่านขู่เข็ญรีดไถอีก อันที่จริงท่านจะเก็บไว้ก็หาเป็นอะไรไม่ แม้เรื่องเรื่องนี้ถึงหูสำนักเรา ก็จะไม่เป็นเรื่องเช่นกัน”
“คนหนึ่งหัวใส อาศัยในนามการขอโทษย้อมแมว อีกคนหนึ่งก็ติดป้ายอาลัยผู้อาวุโสหลี่มา ล้วนทำให้ข้าไม่มีความรู้สึกดีเด่อะไร” เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ “หากเป็นของเช่นแก่นน้ำพุมรกตนี้ก็แล้วไป ไม่แน่ว่าข้าอาจจะกินของร้านก่อนหน้าหมดกินของร้านต่อไปต่อ กินของทั้งสองร้านพร้อมกันจนหมดเกลี้ยง”
“แต่ว่าเครื่องหยกครึ่งก้อนนี้กลับเป็นของที่ข้าเสาะหาอยู่พอดี หากเขาไม่ส่งมาให้ถึงประตู พวกเรายังต้องลงเวลาไปหา เพราะฉะนั้นย่อมต้องมอบของกำนัลกลับให้เขา”
เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ “หากมอบของกำนัลคืนตระกูลเดียว จากมุมมองคนนอกแล้ว ข้ายังคงยืนอยู่ระหว่างผู้อาวุโสไป๋กับผู้อาวุโสหง ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมอบของกำนัลกลับทั้งสองตระกูล”
“ส่วนเรื่องของพรรคกระบี่วายุคำราม นอกเสียจากท่านอาขวินจะแสดงท่าที ไม่เช่นนั้นพวกเราก็อย่าได้ยุ่งเกี่ยว”
อาหู่ยิ้มทึ่มทื่อ “ขอรับ คุณชาย”
ชายหนุ่มหยิบเครื่องหยกครึ่งก้อนนั่นของตนออกมา ประกบกับเครื่องหยกครึ่งก้อนในกล่องผ้าไหม
เครื่องหยกทั้งสองชิ้นรวมเข้าด้วยกัน เข้าคู่พอดิบพอดี พลันปรากฏเครื่องหยกอันสมบูรณ์ก้อนหนึ่งอีกครั้ง มันสาดแสงเรืองรองจางๆ
นิ้วมือเยี่ยนจ้าวเกอวาดตามริ้วลายบนผิวเครื่องหยก คาดคะเนการโคจรของค่ายกลวิญญาณนี้ช้าๆ ในใจ
เนื่องจากตัวเครื่องหยกแตกร้าว ค่ายกลที่แกะสลักอยู่ด้านบนจึงเปลี่ยนเป็นขาดหายไปไม่ครบถ้วน แม้อักขระค่ายกลจะฟื้นฟูจนสมบูรณ์ แต่การโคจรปราณวิญญาณภายในนั้นอยากจะกลับมาประสานกัน ยังจำต้องให้เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดแก้ปัญหา
วันคืนเลยผ่านไปทีละวัน ในที่สุดสวีเฟย จอมยุทธ์สำนักเขากว่างเฉิงที่รับตำแหน่งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจเมืองซู่โจวใหม่ก็มาถึง
เยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิง และอาหู่ออกไปต้อนรับพร้อมกัน เห็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้า เขาห้าวหาญเยี่ยงชายชาติเสือ ซึ่งก็คือสวีเฟย ‘วิหคเวหา’ นั่นเอง
สวีเฟยสืบเท้ามาถึงเบื้องหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ ยกกำปั้นทุบไหล่เขา ก่อนจะยิ้มเปิดเผยพลางเอ่ย “หนนี้ข้ามาเป็นลูกมือเจ้าแล้ว”
ชายหนุ่มเองก็ยิ้มเช่นกัน “ส่งท่านมาเป็นผู้ตัดสินยังเมืองซู่โจว เอาคนเก่งมาทำเรื่องง่ายๆ โดยแท้”
อีกฝ่ายปลดถุงหนังบริเวณเอวลง แล้วกรอกสุราคำใหญ่ดังอึกๆ จากนั้นค่อยเช็ดมุมปาก ไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิง “สำนักมีคำสั่ง มีหรือข้าจะไม่ปฏิบัติตาม ท่านอาจารย์ปู่ กับท่านอาจารย์ต้องมีการพิจารณาแล้วเป็นแน่แท้”
“รายงานที่เจ้าให้สำนัก ข้าเองก็อ่านแล้ว ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตกับสำนักเขานิมิตทมิฬก่อกวนอยู่ด้วยกัน เรื่องราวอาจใหญ่หรือเล็ก ไม่อาจประมาทได้”
สวีเฟยส่งต่อถุงหนังให้เยี่ยนจ้าวเกอ เขาก็แหงนหน้ากรอกสุราเข้าปากคำหนึ่งเช่นกัน แล้วจึงกล่าวว่า “พูดขึ้นมาแล้ว อีกสักสองสามวันข้าอาจจะต้องออกไปจากที่นี่สักพักหนึ่ง ถึงตอนนั้นต้องขอให้ศิษย์พี่สวีจับตาดูให้มากหน่อย”
“แค่ไปอย่างวางใจก็พอ” สวีเฟยเอ่ยตอบ
เขาหันศีรษะเหลียวมองเฟิงอวิ๋นเซิง อมยิ้มกล่าว “ศิษย์น้องเฟิงกระมัง? พวกเรายังคงพบหน้ากันคราแรก เป็นเกียรติที่ได้พบ”
เฟิงอวิ๋นเซิงเองก็ระบายยิ้ม “ข้าได้ยินชื่อศิษย์พี่สวีมานานแล้ว”
สวีเฟยยิ้ม พลางเอียงคอมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง “ชื่อเสียงดื่มสุราเป็นนิจ?”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ มองยังเยี่ยนจ้าวเกอคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ได้ยิ้มเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตา ชี้เฟิงอวิ๋นเซิง “เจ้าขายข้ากระมัง!”
ศิษย์พี่สวีหัวเราะพลางตีมือของเขา “เจ้ายังต้องให้คนขายอยู่รึ? เจ้าต่างหากที่อย่าขายข้า”
ทุกคนยิ้มแย้มพูดคุย ไปร่วมพิธีรับช่วงต่อเป็นเพื่อนสวีเฟย
สวีเฟยดูเหมือนเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย แท้จริงแล้วข้างนอกหยาบข้างในละเอียด เป็นคนที่มักจะกระทำการสอดคล้องความเป็นจริและมุมานะคนหนึ่ง
ฝึกยุทธ์ พรสวรรค์ล้ำเลิศ พลังความสามารถเหนือชั้น อีกทั้งประจำการนอกพื้นที่ปฏิบัติหน้าที่สำคัญประจำวัน สุขุมสงบสามารถอดกลั้น เป็นผู้มีฝีมือดีคนหนึ่งเช่นเดียวกัน
ครั้นเขาเข้ารับตำแหน่งผู้อาวุโสปฏิบัติกิจซู่โจว ก็เข้าสู่บทบาทอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเกาะทรายและผู้อาวุโสคุมการณ์วายุคำรามล้วนเอ่ยปากชมไม่ขาดปาก
หลังจากสวีเฟยเข้ารับช่วงต่อแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็พุ่งความสนใจกลับไปที่เครื่องหยกที่ฟื้นฟูสมบูรณ์นั่นใหม่อีกครั้ง
วันหนึ่ง เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิกับพื้น เครื่องหยกก้อนหนึ่งบนพื้นเบื้องหน้าส่องแสงโชติช่วงออกมา ทอดเงาค่ายกลวิญญาณอันสมบูรณ์ออกมาหนึ่งค่ายกล โคจรอย่างเงียบๆ พร้อมกับลอยไปยังกลางอากาศ
เยี่ยนจ้าวเกอมองเข้าไปอย่างละเอียด ก็เห็นว่าศูนย์กลางค่ายกลนั่น คล้ายกับประตูบานหนึ่ง
—————————