ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 240 หลินโจวผู้อยากกระอักเลือด
เยี่ยนจ้าวเกอโถมกายเข้าใส่ปีกเซียนกระเรียน ระหว่างเรือนกายหยุดชะงักนั้นเอง ก็เปิดโอกาสให้แก่คู่ต่อสู้
คมกระบี่ทลายเสื้อเกราะภูผาวิญญาณ ฉีกเสื้อของเยี่ยนจ้าวเกอออกจนถึงหน้าอก ในชั่วขณะนี้เอง เขาพลันรู้สึกถึงความหนาวเหน็บถึงขั้วหัวใจ
ทว่าสีหน้าท่าทางเยี่ยนจ้าวเกอเฉกยังคงเหมือนเช่นปกติ จดจ้องคู่ต่อสู้เบื้องหน้า ไม่เห็นความลุกลี้ลุกลนแม้แต่น้อย
ผิวหนังร่างกายเขา พลันทอประกายแสงสีทอง!
แสงสีทองส่องสว่างนี้ทำให้ทั้งร่างเยี่ยนจ้าวเกอราวกับถูกชุบทองคำชั้นหนึ่ง ประหนึ่งรูปปั้นคนสีทองก็ไม่ปาน!
บริเวณลิ้นปี่ของเขาปรากฏมีอักขระยันต์หนึ่งที่เรียบง่ายแต่กลับเร้นลับ สกัดกั้นคมกระบี่ของศัตรูไว้!
ในดวงตาทั้งสองที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองของมหาปรมาจารย์ที่ปกปิดใบหน้าผู้นั้น แสงโลหิตโชติช่วงชัชวาล ลำแสงสุกสกาวอันคร่ำเครอะ พลันเจิดจ้าแยงตาอย่างไม่เคยมีมาก่อน
กระบี่ยาวในมือเขาออกแรงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ประกายกระบี่อันมืดสลัวปะทุออกมาในชั่วขณะนี้ในทันใด แสงรุ่งโรจน์ดุเดือดรุนแรงอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ กวาดส่องไปทั่วทั้งห้อง กระเทือนกระท่อมที่ปกป้องปีกเซียนกระเรียนไว้จนจะถล่มแหล่มิถล่มแหล่!
เยี่ยนจ้าวเกออ้าปาก ท่องอาคมอันเก่าแก่อีกทั้งตะกุกตะกักออกมาบทหนึ่ง
ในบริเวณนั้นไม่มีผู้ใดฟังความหมายเฉพาะเข้าใจ มีเพียงหลินโจวที่มีจากตำหนักอัสนีสวรรค์เท่านั้น ที่รู้สึกได้อย่างคลุมเครือว่าภาษาอันแปลกพิลึกที่เยี่ยนจ้าวเกอพลันพร่ำท่องออกมา เหมือนกับภาษาถิ่นที่พบเห็นได้น้อยนักด้านเหนือสุดของเกาะจินแห่งอัสนีพิภพ
กระนั้นหลินโจวเองก็ไม่เข้าใจความหมายในนั้น มีเพียงเรื่องเดียวที่เขาให้ความสนใจในขณะนี้
แสงสุกใสสีทองบนร่างเยี่ยนจ้าวเกอทวีความหนักแน่นยิ่งขึ้น อีกทั้งอักขระยันต์บริเวณลิ้นปี่ก็ยิ่งทวีความมหัศจรรย์และแจ่มชัดขึ้น ตามการรำพันท่องอาคมอันเก่าแก่บทนั้น
แสงสีทองจำนวนมากตลบไปทั่วท้องฟ้า พาให้ประกายกระบี่ของศัตรูถูกตัดขาดอยู่ภายนอก
หลินโจวมุ่นคิ้วเป็นปมแน่น “แม้จริงแล้วนี่คืออะไรกันแน่?!”
ทั้งร่างกายเยี่ยนจ้าวเกออยู่ภายในเสื้อคลุมขนกระเรียน โดยใช้พลังของเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้ายึดมั่นตัวเสื้อคลุมไว้ชั่วคราว
จากนั้นชายหนุ่มก็เหยียดยื่นมือทั้งสองออก ห่อสวมเสื้อคลุมขนกระเรียนไว้บนร่าง แล้วจึงออกหมัด!
เลือดลมและท่วงทำนองวิถีวรยุทธ์บนร่างกายเยี่ยนจ้าวเกอ โลดแล่นฉับพลันในชั่วขณะนี้ เริ่มทดลองเชื่อมประสานแลกเปลี่ยนกับของวิเศษล้ำค่านามว่าปีกเซียนกระเรียนชิ้นนี้
ชาวกระเรียนล่องลอยได้สูญสิ้นชีวิตไปหลายปีแล้ว ปีกเซียนกระเรียนถูกทิ้งไว้ภายในมิติต่างแดนนี้ตลอดมา แม้จะมีสติปัญญา หากแต่ได้ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นของที่ไร้ซึ่งเจ้าของแล้ว
พิทักษ์รักษากระท่อม คือการปฏิบัติตามปณิธานสุดท้ายของเจ้าของคนก่อน และเป็นการตอบโต้ที่ใกล้เคียงกับสัญชาตญาณ
ทว่าตัวปีกเซียนกระเรียนเองไม่ได้ต่อต้านขัดขืนผู้ที่มาหลอมกลายสภาพมันอีกคนแต่อย่างใด
เยี่ยนจ้าวเกอสวมปีกเซียนกระเรียนฝึกหมัด หลอมรวมเจตจำนงหมัดของตนเข้าสู่ภายในของวิเศษชิ้นนี้ พาให้ขนนกกระเรียนแต่ละขนบนเสื้อสั่นสะเทือนพลิ้วไหว
เงาแสงกระเรียนสีขาวสายหนึ่งค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาอยู่เบื้องหลังเยี่ยนจ้าวเกอ พร้อมทั้งผสานเข้าสู่ภายในฟ้าดินลวงตาที่กลายสภาพมาจากปราณจิตราเจตจำนงหมัดของเขา กลายเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
ประกายตาเยี่ยนจ้าวเกอมลังเมลือง สบสายตามหาปรมาจารย์ปกปิดใบหน้าที่อยู่ตรงหน้า
หากไม่มีความมั่นใจมากพอ เขาจะกล้าเสี่ยง จงใจเผยจุดสำคัญในร่างกายตนใต้กระบี่อีกฝ่ายได้อย่างไร?
ถึงแม้ว่าดวงตาราชันสายฟ้าจะถูกตรึงไว้ ถึงแม้ว่าเสื้อเกราะภูผาวิญญาณจะถูกทลาย กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ยังมีวิชาร่างคาถาอักขระทองอยู่!
การเปลี่ยนแปลงที่ทะเลสาบปิดนภา สังหารเสียจื่ออี้ผู้กลายเป็นมาร ยันต์ทองที่ได้รับมา เสียจื่ออี้เจ้าของเดิมไม่ได้ทำให้กระจ่างชัดว่าควรพลิกแพลงใช้อย่างไรมาโดยตลอด แต่เยี่ยนจ้าวเกอถอดความมันได้สำเร็จแล้ว!
วิชาลับหาได้ยากอันมีต้นกำเนิดมาจากเขตพื้นที่เหนือสุดวิชานี้ หลอมยันต์ทองแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณ หลังจอมยุทธ์สูดรับเข้าไปจะได้รับกระดูกโลหะและกายทอง โดยปกติแล้วทำให้พลังป้องกันยกระดับขึ้น
ครั้นยามประสบการโจมตีที่อันตรายอย่างมาก ยิ่งสามารถใช้ปราณของยันต์ทอง ปรากฏร่างอาคมยันต์ทองปกป้องตนเอง
ยิ่งรับการโจมตีหนักหน่วง พลังขับเคลื่อนร่างอาคมยันต์ทองยิ่งแกร่ง การผลาญใช้ปราณยันต์ทองยิ่งรุนแรง สุดท้ายก็มีวันที่ใช้จนหมดสิ้น
กระนั้นพลังป้องกันของมัน กลับพอดูอย่างยิ่ง
ขณะนี้มันช่วยเยี่ยนจ้าวเกอต้านทานมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะแรกผู้หนึ่ง ขับเคลื่อนพลังทั้งหมดของอาวุธวิญญาณระดับล่างชิ้นหนึ่งแทงสังหาร!
ในยามที่อาศัยร่างร่างคาถาอักขระทองต่อสู้เพื่อตนเอง เยี่ยนจ้าวเกอเริ่มทุ่มพลังทั้งหมดหลอมกลายสภาพปีกเซียนกระเรียน เพื่อให้ตนได้ใช้ของวิเศษชิ้นนี้!
ถึงแม้ว่าเข้ามาในมิติต่างแดนครานี้ จุดมุ่งหมายแต่เดิมคือศิลาเซียนส่องชะตาก็ตาม ขอเพียงได้ศิลามา ก็นับว่าการเดินทางหนนี้ไม่สูญเปล่า
หากแต่หลังเยี่ยนจ้าวเกอสังเกตปีกเซียนกระเรียนอย่างละเอียดแล้ว ก็ยืนยันได้ว่านี่คือของวิเศษที่ยากจะได้รับอย่างยิ่งชิ้นหนึ่ง
แม้จะไม่เข้าขั้นการแบ่งระดับอาวุธเฉกเช่นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ อาวุธวิญญาณ และอาวุธวิเศษนี้ ทว่าก็พลิกแพลงใช้ได้อย่างไร้ที่สิ้นสุดเช่นกัน
ดังนั้นเยี่ยนจ้าวเกอย่อมรับมาอย่างไม่เกรงใจ นำมันหลอมกลายสภาพ
ชายหนุ่มใคร่ครวญท่วงทำนองพลังและรูปแบบการไหลเวียนปราณวิญญาณที่แฝงอยู่ในปีกเซียนกระเรียนไปพลาง จดจ้องมหาปรมาจารย์ปกปิดใบหน้าที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเยือกเย็นไปพลาง
อีกฝ่ายก็กำลังจ้องเขอย่างไม่วางตาเช่นกัน ในลูกตาดำที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทั้งสองดวง เปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกอันเย็นยะเยือก
ความรู้สึกเย็นเยียบนั้นดูเหมือนไม่ได้พุ่งเป้าไปยังเยี่ยนจ้าวเกอคนเดียว หากแต่พุ่งเป้าไปยังจอมยุทธ์กว่างเฉิงทุกคน
แววตาของเยี่ยนจ้าวเกอก็เยือกเย็นเช่นเดียวกัน ฉับพลันนั้นเขาเปล่งเสียงร้องคำรามลากยาว ราวกับเสียงร้องของนกกระเรียนอันใสกังวาน
ทันใดนั้น ไหล่ทั้งสองข้างของเยี่ยนจ้าวเกอก็สั่นเทิ้ม ปีกเซียนกระเรียนที่พาดอยู่บนร่างเขาพลันยกขึ้น ประหนึ่งเซียนกระเรียนกางปีกออก
บริเวณขอบเสื้อคลุมเปล่งแสงผ่องแผ้วจ้าตาฉับพลัน จากนั้นกลายเป็นขนแต่ละเส้นที่แผ่แสง ชี้ตรงไปยังมหาปรมาจารย์ปกปิดใบหน้าที่อยู่เบื้องหน้า
ต่อมาธารแสงของขนกระเรียนประหนึ่งฝนเทกระหน่ำ ยิงไปทางมหาปรมาจารย์ผู้นั้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ขนกระเรียนแต่ละเส้นมีรูปดั่งคมดาบก็ไม่ปาน!
มหาปรมาจารย์ปกปิดใบหน้าที่กลายเป็นมารผู้นั้นเปล่งเสียงฮึดฮัดครั้งหนึ่ง ในที่สุดก็เก็บกระบี่แล้วตั้งรับ ประกายกระบี่หลีกหนี แปรสภาพเป็นลูกแสงลูกหนึ่ง ต้านทานการโจมตีประหนึ่งฝนกระหน่ำ ขณะเดียวกันนั้นร่างกายก็เหินถอยไปด้านหลัง!
เขาจำเป็นต้องถอนกำลังแล้ว การที่ปีกเซียนกระเรียนถูกเยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ หลอมกลายสภาพนั้น นั่นหมายความว่าในที่สุดเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าของชายหนุ่มก็หลุมออกจากการตรึงกำลังแล้วเช่นกัน
ถ้าหากยังไม่หนีไปอีก คนที่ต้องหยุดอยู่ที่นี่ในวันนี้ เป็นไปอย่างยิ่งว่าจะเป็นเขา ไม่ใช่เยี่ยนจ้าวเกอ!
คู่ต่อสู้ต้องการถอยออกไป เยี่ยนจ้าวเกอกลับจะไม่ยอมวางมือ เขาพลิกข้อมือพลางส่งเสียงตะโกน กระบี่วิญญาณมังกรมรกตออกจากฝักทอสายฟ้าแลบ กลายเป็นแสงมรกตฟาดฟันตรงไปยังเบื้องหน้าศัตรู!
เสียงทุ้มต่ำดังกังวานเสียงหนึ่ง แสงโลหิตสายหนึ่งแตกซ่านกลางอากาศ
มหาปรมาจารย์ที่กลายเป็นมารผู้นั้น ถูกเยี่ยนจ้าวเกอตัดหน้ากากออกไปครึ่งหนึ่ง บนดวงหน้ามีรอยแผลรอยหนึ่ง โลหิตสดไหลพราก
คนผู้นี้ไม่ส่งเสียงสักแอะ ยกแขนเสื้อขึ้นบังโฉมหน้าไว้ แล้วหันกายหนีออกไปโดยไม่หันศีรษะกลับมา
เยี่ยนจ้าวเกอยังไม่สามารถหลอมกลายสภาพปีกเซียนกระเรียนได้ทั้งหมด ร่างกายหยุดอยู่กับที่ไม่สะดวกเคลื่อนย้าย กระนั้นในดวงตาทั้งสองกลับฉายรัศมีอันน่าตื่นตะลึงออกมา “ถึงแม้จะมีเพียงแค่โฉมหน้าไม่ถึงครึ่งดวง แต่มองแล้วคลับคล้ายว่าคุ้นหน้าอยู่บ้าง…”
เขาขมวดคิ้ว ยืนอยู่ในกระท่อม หันศีรษะทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อครู่รู้สึกว่าคนที่เข้าใกล้ที่นี่หายไปไม่พบแล้ว
ด้านนอกกระท่อม หลินโจวไม่ได้ลังเลสักนิด หนีออกไปไกลอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นร่างร่างคาถาอักขระทองของเยี่ยนจ้าวเกอต้านการแทงสังหารของมหาปรมาจารย์ผู้นั้นไว้ได้ อีกทั้งเริ่มหลอมกลายสภาพปีกเซียนกระเรียนได้ยิน หลินโจวก็ไม่มีความคิดที่จะลงมือทั้งสิ้น
ฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์ นอกเหนือจากเยี่ยนจ้าวเกอที่หลอมกลายสภาพปีกเซียนกระเรียนแล้ว หลินโจวคือผู้ที่เข้าใจของล้ำค่านี้แจ่มชัดมากที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า
ทว่าก็เนื่องด้วยสาเหตุนี้เช่นกัน บัดนี้เขารู้สึกได้เพียงว่าในใจตนเองกำลังมีโลหิตไหลหยด!
หลังจากเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ นี่เป็นหนที่สองที่เขาต้องมองดูของวิเศษที่ตนเองปรารถนาตกไปอยู่ในมือเยี่ยนจ้าวเกอโดยที่ทำอะไรไม่ได้!
ในชั่วพริบตาเช่นนี้ หลินโจวอยากจะโหม่งศีรษะชนไม้ใหญ่ระฟ้าที่อยู่ข้างตนอย่างอัดอั้นตันใจ
เขาเห็นเยี่ยนจ้าวเกอขับเคลื่อนเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าหยุดปีกเซียนกระเรียนไว้ ทั้งยังเห็นชายหนุ่มหลอมกลายสภาพปีกเซียนกระเรียนไปอีกแล้วเช่นกัน ก่อนจะบีบบังคับยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์ซึ่งสง่างามน่าเกรงขามให้ถอยออกไปอย่างองอาจ
ส่วนตนเองกลับทำได้เพียงปลีกหนีด้วยความเร็วสูงสุด…
หลินโจวคับข้องอยู่ภายในใจ จนอยากจะกระอักเลือด
—————————–