ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 279 คนที่กลับมาจากนรก
จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าต่างก็ประสบกับการกดขี่และทรมาน เฉกเช่นจางเหยา เยี่ยฉงโจว และคนอื่นๆ ที่ถูกหลิวเซิงเฟิงจับตัวไว้ในตอนนั้นเช่นกัน
อีกฝ่ายตั้งใจบีบเค้นพวกเขาให้จมอยู่ในห้วงความสิ้นหวัง เกลียดชัง หวาดผวา และเดือดดาล ยากจะถอนตัว สุดท้ายสภาพจิตใจเสียการควบคุม ด้วยผลกระทบจากพลังปราณนพยมโลก จึงก่อเกิดความคิดมารลุกลามอย่างรวดเร็ว ถึงขั้นกลายเป็นมาร
ซึ่งจอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตเหล่านั้น ระดับพลังฝึกปรือมีทั้งต่ำทั้งสูง หากแต่มีห้าคนในนั้นทำให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอสนใจเป็นพิเศษ
ขณะห้าคนนั้นหายใจ ลมปราณของพวกเขาดุจสายฟ้า จุดลมปราณสั่นไหวราวกับมีจิตใจ ปราณจิตราเปี่ยมล้นสติปัญญาหากกลับฟื้นคืนสู่สามัญ แจ่มชัดว่าแต่ละคนคือมหาปรมาจารย์
จอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ทั้งห้าคน ระดับพลังฝึกปรือก็มีทั้งสูงทั้งต่ำเช่นกัน ผู้เฒ่าผมขาวหนึ่งในนั้น เยี่ยนจ้าวเกอและสวีเฟยต่างรู้จักดี เพราะเขาเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตระยะท้าย ฐานะเดิมสำนักเขากว่างเฉิงท่านหนึ่ง
เพียงแต่นัยน์ตาทั้งสองของผู้เฒ่าท่านนี้ออกสีเหลือง ดวงตาฉายแสงสีโลหิต แจ่มแจ้งว่ากลายเป็นมารโดยสิ้นเชิงแล้วเช่นกัน
กระนั้น คนที่ดึงสายตาเยี่ยนจ้าวเกอกับสวีเฟยยิ่งกว่า ยังคงเป็นคนผู้นั้นที่อยู่ข้างกายผู้เฒ่าผมขาวตลอดเวลา
บุรุษพรางใบหน้าซึ่งเคยประมือกับพวกเขามาก่อนผู้นั้น
เส้นสายตาของมหาปรมาจารย์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตคนอื่นอีกหลายคนล้วนจดจ้องเยี่ยนจ้าวเกอ สวีเฟย และอาหู่เช่นกัน
มีเพียงคนที่ทั่วสรรพางค์กายคลุมอยู่ใต้ชุดสีดำผู้นั้น ยามนี้แหงนหน้าขึ้นฉับพลัน ประกายตาสว่างพร่างพราว แลมองสือเถี่ยที่ประมืออยู่กับซือหม่าฉุยบนเจดีย์สูงสีทอง
ทั่วดวงหน้าเขาล้วนเร้นอยู่ภายใต้หน้ากาก มีเพียงนัยน์ตาสีออกเหลืองสองดวง ปล่อยแสงสีโลหิตแสบตาออกมา
สือเถี่ยที่อยู่บนเจดีย์สูง ถึงแม้จะยับยั้งเจดีย์สูงสีทองไปพลาง ประมือกับซือหม่าฉุยไปพลาง ทว่าดวงตาก็สอดส่อง หูก็ฟังทั่วสารทิศอยู่ตลอดเวลา
การมาถึงของกลุ่มคนหนึ่งเบื้องล่าง รอดพ้นสายตาเขาไปไม่ได้
เขาเห็นจอมยุทธ์ปิดบังใบหน้าผู้นั้น จึงเพ่งมองดวงตาที่ราวกับกำลังลุกไหม้ของอีกฝ่ายนั้น สือเถี่ยยังคงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เสมอต้นเสอปลาย มีเพียงแววตาอันสงบเงียบที่ทอประกายฉับพลันครู่หนึ่ง
ทางฝั่งภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขต ผู้เฒ่าผมขาวคนนั้น กลับมองทางกลุ่มคนเยี่ยนจ้าวเกอ
จอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตคนอื่นๆ ล้วนจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอ สวีเฟย และอาหู่อย่างเตรียมพร้อมเช่นกัน
บรรดาจอมยุทธ์กว่างเฉิงที่ถูกจับไว้แลมองเยี่ยนจ้าวเกอ สือเถี่ยและคนอื่นๆ บนดวงหน้าเปล่งประกายราศีขึ้นอีกครั้ง
หลังเยี่ยนจ้าวเกอมองผู้เฒ่าผมขาวแล้วแวบหนึ่ง เส้นสายตาก็ตกไปบนร่างของคนที่สวมหน้ากากอยู่ผู้นั้นอีกหน
เยี่ยนจ้าวเกอจ้องมองอีกฝ่าย เอ่ยเชื่องช้าว่า “เปลี่ยนหน้ากากใหม่แล้ว?”
“แต่ก็ไร้ความหมาย ที่ควรเห็นในมิติต่างแดนแห่งนั้น ข้าก็เห็นหมดแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจครั้งหนึ่ง “ใช่ศิษย์พี่สือ สือซงเทากระมัง? แม้จะหวังให้ท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าจะด้วยวิธีนี้”
จอมยุทธ์ผู้สวมหน้ากากคนนั้น ในที่สุดยามนี้ก็ละสายตาที่จดจ้องสือเถี่ย กลับมามองเยี่ยนจ้าวเกอ นิ่งเงียบไม่พูดจา
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ “ท่านคิดว่าข้ากำลังหลอกถามท่านหรือ? ต่อให้ก่อนหน้าไม่แน่ใจ แต่สายตาที่ท่านเพ่งมองท่านอาจารย์ลุงใหญ่เมื่อสักครู่ ก็อธิบายทุกอย่างกระจ่างชัดแล้วเช่นกัน”
สวีเฟยที่อยู่ข้างๆ มองหน้ากากบนดวงหน้าอีกฝ่าย ในแววตาอดเผยประกายโศกเศร้าออกมาไม่ได้
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวนิ่งสงบ “หากข้าทายไม่ผิดล่ะก็ ท่านไม่ใช้วิชาวรยุทธ์เดิม แท้จริงแล้วไม่ใช่กังวลว่าพวกข้าจะมองฐานะของท่านออก หากแต่เป็นเพราะท่านระอาเขากว่างเฉิง เอือมวิชาวรยุทธ์ที่ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ถ่ายทอดให้ท่าน จึงจงใจละทิ้งไม่ใช้”
“ท่านใช้หน้ากากปิดบังใบหน้า แม้จะไม่อยากให้ผู้ใดจำได้ก็ตาม แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อยากให้คนอื่นเอ่ยขึ้นมาอีก ว่าท่านเคยเป็นศิษย์กว่างเฉิง เป็นลูกชายของท่านอาจารย์ลุงใหญ่”
น้ำเสียงเยี่ยนจ้าวเกอซับซ้อน “ท่านสะอิดสะเอียนที่จะถูกผู้คนเอ่ยถึงทั้งมวลในกาลก่อน หากแต่ไม่ใช่อับอายหรือขายหน้า”
บรรดาจอมยุทธ์ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตในเหตุการณ์ ในเวลานี้ได้ยินแล้วต่างก็มีสีหน้าต่างกันไป ในแววตาเผยเห็นประกายตื่นตะลึงอันแจ่มชัดออกมา
ผู้เฒ่าผมขาวคนนั้นหันศีรษะมองคนที่อยู่ข้างกายตน สีหน้าอารมณ์พิลึกอยู่บ้างเช่นกัน “เจ้า…เจ้าคือซงเทา บุตรของสือเถี่ย? ตอนนั้นเจ้าไม่ใช่…”
จอมยุทธ์ปิดหน้าผู้นั้นยังคงนิ่งเงียบ ทว่าเส้นสายตาที่มองเยี่ยนจ้าวเกอ ยิ่งปรากฏความขัดเคืองออกมามากขึ้นอีกหลายส่วน
เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจ “ในเมื่อฐานะถูกเปิดเผยแล้ว ไฉนเลยต้องสวมหน้ากากอยู่อีกเล่า? ในใจท่าน ก็หาได้ประดักประเดิดจะพบคนไม่”
ในที่สุดคนผู้นั้นก็ถอดหน้ากากสีดำออก เผยดวงหน้าที่ทำให้กลุ่มพวกเยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกคุ้นเคย ทว่าก็แปลกหน้าอยู่ในที
นั่นเป็นชายหนุ่มที่ดูเหมือนอายุสามสิบต้นๆ คนหนึ่ง
องคาพยพทั้งห้าคล้ายคลึงสือเถี่ยอยู่เก้าส่วน ราวกับถอดแบบออกมา
สวีเฟยรู้สึกฝาดขมไปทั่วปาก แทบจะรีดสามคำออกมาจากซอกฟัน “ศิษย์ พี่ สือ!”
มหาปรมาจารย์ที่เกือบลอบสังหารสวีเฟย ในมหาค่ายกลแดนมารทะเลสาบปิดนภาคนนี้ ปรากฏว่าเป็นบุตรของสือเถี่ยที่หายตัวไปหลายปีแล้ว อัจฉริยบุคคลผู้สืบทอดสำนักเขากว่างเฉิงในอดีต สือซงเทานั่นเอง!
สือเถี่ยต่อยหมัดหนึ่งจนซือหม่าฉุยกระเด็นหวืออยู่กลางอากาศ สายตาตกไปบนร่างสือซงเทา เนิ่นนานไม่อาจย้ายหนี
สือซงเทาที่ถอดหน้ากากออก ก็ไม่สนใจว่าเสียงตนเองจะถูกคนอื่นจำได้ต่อไปอีกเช่นกัน ปริปากพูดในที่สุด “ไม่พบกันนาน สบายดีหรือไม่ ข้ากลับมาจากนรกแล้ว”
คำพูดถามสารทุกข์สุกดิบง่ายๆ หนึ่งประโยค กลับทำให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอมีเหงื่อซึมเยียบเย็นทั่วร่าง
ความอาฆาตแค้นและความเย็นยะเยือกที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงราบเรียบเหล่านั้น ราวกับสลักเข้ากระดูก
สวีเฟยกล่าวด้วยความยากเย็น “ศิษย์พี่สือ หลายปีนี้ท่านล้วนอยู่ที่ภาคีบึงน้ำไร้ขอบเขตหรือ? ตอนนั้น เป็นพวกเขาที่ช่วยท่านไว้?”
สือซงเทาผงกศีรษะเย็นชา “หาไม่แล้ว จะเป็นพวกเจ้า?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองสือเถี่ยที่อยู่บนเจดีย์สูงสีทอง “เป็นเขา?”
สือเถี่ยสืบเท้าอยู่ในอากาศเปล่า ทั่วทั้งร่างประหนึ่งเปลี่ยนเป็นรูปปั้นหิน ตั้งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“ศิษย์น้องสวี เจ้าอยากพูดอะไร? อยากพูดว่าอาจารย์ของเจ้า พ่อของข้า ในตอนนั้นก็ลำบากใจที่จะทำเช่นนั้นเหมือนกันหรือ?” น้ำเสียงสือซงเทาเย็นชาอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นเยียบไปถึงในกระดูก “ความลำบากใจ ผู้ใดต่างก็มี กลับไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะสามารถเข้าใจ สามารถยอมรับได้”
สือซงเทาเงยหน้ามองสือเถี่ย “เขาเลือกรักษาผลประโยชน์ของเขากว่างเฉิง เลือกดูแลคนจำนวนมาก ตัดสินใจเลือกที่จะสละชีวิตข้า”
“สละชีวิตข้า ก็สละเถอะ”
สือซงเทาเอื้อนเอ่ยเย็นชา “หากเพียงแค่ดังนี้ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้เกลียดเขา เขาให้กำเนิดข้า ข้าก็ถือว่าคืนชีวิตนี้ให้กับเขา”
“แต่ว่า ที่ถูกสละชีวิต ไม่ใช่เพียงแค่ข้า!”
น้ำเสียงสือซงเทาผันเปลี่ยนในที่สุด แสงโลหิตในลูกตาดำสีออกเหลืองสาดยิงทั้งสี่ทิศ ราวกับมีเปลวเพลิงลุกไหม้ “ภรรยาของข้า ลูกของข้า ก็ถูกสละชีวิตไปพร้อมกัน!”
“อวี่เจิน ภรรยาของข้า นางไม่ใช่ศิษย์กว่างเฉิง เพราะแต่งงานกับข้า เพราะเป็นลูกสะใภ้ของเจ้าสือเถี่ยหรือ ถึงต้องสละชีวิตให้เขากว่างเฉิง?”
“จวินเอ๋อร์ ปีนั้นเขาเพิ่งจะสามขวบ เด็กน้อยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เขาก็ต้องเสียชีวิตเพื่อสิ่งนี้เช่นกันหรือ?”
สือซงเทาจ้องสือเถี่ยเขม็ง “มีบางคำถาม ข้าอยากถามเจ้ามาโดยตลอด”
“หากคนที่พบเคราะห์สิ้นชีพเป็นศิษย์กว่างเฉิงคนอื่น และขณะเดียวกันที่รักษาผลประโยชน์ของสำนักก็สามารถช่วยพวกข้าได้ เจ้าจะเลือกทางไหน?”
“ถ้าหากทั้งสองคนประสบเคราะห์ ทางหนึ่งคือศิษย์กว่างเฉิงคนอื่น ทางหนึ่งคือครอบครัวพวกข้าทั้งสามคน เจ้าเลือกทางไหน?”
ใบหน้าสือเถี่ยไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก ราวกับรูปปั้นอย่างไรอย่างนั้น ทว่าน้ำเสียงทุ้มต่ำดังก้องในอากาศ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นผู้ใด”
สือซงเทาได้ยินแล้วก็หัวร่อขึ้นมา “ข้าคาดไว้แล้วว่าเจ้าจะตอบเช่นนี้”
“ในใจเจ้า ส่วนรวมสำคัญกว่าส่วนตัว ส่วนมากสำคัญกว่าส่วนน้อย ภาระหน้าที่ต่ออาจารย์สำนัก เหนือความรู้สึกส่วนตัว”
ระหว่างสือซงเทาพูดไปพลาง ก็พลันสืบเท้าก้าวออกมา “เช่นนั้น บัดนี้เจ้าลองเลือกใหม่อีกหนเถอะ”
————————–