ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 342 สุสานที่เยี่ยนจ้าวเกอสร้างขึ้น
คลื่นความเย็นอันบ้าคลั่งพุ่งขึ้นมาจากก้นโพรงน้ำแข็ง!
แสงสีฟ้าน่าพรั่นพรึง ม้วนจากด้านล่างโพรงน้ำแข็งขึ้นมาด้านบนในชั่วพริบตา แช่แข็งทุกสิ่งที่มันสัมผัส
แกนน้ำแข็งใยดินที่เยี่ยนจ้าวเกอก่อกวนก่อนหน้านี้ ในตอนที่หลินโจวเข้าจู่โจม เขาพลันเก็บเตากลืนดิน เพื่อให้มันหยุดลงกลางคัน
ไอเย็นจากแกนน้ำแข็งที่ก่อนหน้านี้ถูกเตากลืนดินดูดกลืนเข้าไปตลอดเวลา ก่อเกิดความสมดุลไม่ชัดเจนนัก เวลานี้เสียทางระบายออกไปอย่างกะทันหัน หลังจากสะสมแรงดันชั่วขณะ ก็ระเบิดออกมารุนแรงยิ่งกว่าเดิมดังสนั่นหวั่นไหว
มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ผู้นั้นที่พยายามลงไปยังก้นโพรงน้ำแข็ง เพื่อเก็บเครื่องหยกสีฟ้าน้ำแข็งที่เยี่ยนจ้าวเกอโยนลงไป เจอเข้ากับการปะทุพ่นคลื่นความเย็นออกมาพอดี
ราวกับเผชิญหน้ากับน้ำป่าไหลทะลักที่มาถึงโดยฉับพลัน มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณผู้นั้นไม่อาจหลีกหนีได้ทันกาล จึงถูกธารแสงสีฟ้ากลืนจนมิดในชั่วเสี้ยววินาที!
เขาอยากจะร้องตะโกนด้วยความตกใจ อยากจะแผดเสียงด้วยความโกรธกริ้ว แต่กลับค้นพบว่าตัวเองกลับส่งเสียงไม่ออกโดยสิ้นเชิง
ปราณดั้งเดิมทั่วกายโหมซัดสาด หมดหนทางโคจรเช่นกัน จมลงสู่ความเงียบสงัด
ร่างกายไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด มีเพียงความรู้สึกชา เสียประสาทสัมผัสไป
ความคิดความอ่านค่อยๆ หยุดนิ่ง ไม่อาจครุ่นคิดต่อไปได้อีก จิตวิญญาณเปลี่ยนเป็นเคลิบเคลิ้ม
มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณทั้งสามคนของตำหนักอัสนีสวรรค์ที่มาในครั้งนี้ นอกจากเขากับผู้อาวุโสเจินแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง บัดนี้เห็นสถานการณ์เข้า ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี
มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณคนที่สามผู้นี้ สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวที่แกนน้ำแข็งใยดินระเบิดออกมา จึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้จึงสะบัดมือครั้งหนึ่ง ก่อนจะมีโซ่สีม่วงเส้นหนึ่งลอยออกไปหาศิษย์ร่วมสำนัก
โซ่สีม่วงพันรอบมหาปรมาจารย์ที่ถูกแช่แข็งคนนั้นไว้ พยายามลากเขาออกมา
ทว่าชั่วพริบตาเดียวโซ่ก็รั้งจนตรงแน่ว ด้วยแรงดึงครั้งหนึ่งของมหาปรมาจารย์คนที่สาม ไม่อาจลากขึ้นมาได้เลย เขารู้สึกกระทั่งว่าโซ่สีม่วงก็ถูกแช่แข็งไว้เช่นกัน
เกล็ดน้ำแข็งสีน้ำเงินค่อยๆ ยื่นขยายไปตามสายโซ่สีม่วง พุ่งขึ้นไปบนมือของผู้ควบคุมอย่างรวดเร็ว!
แสงสายฟ้าสีม่วงบนพื้นผิวสายสีโซ่ม่วงล้วนดับมอดหมดสิ้น อาวุธวิญญาณระดับกลางชิ้นหนึ่งดับสลายไปเช่นนี้
ผู้ควบคุมอาวุธวิญญาณสีหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างหนักอีกครั้ง พลันปล่อยมือในบัดดล ปล่อยอาวุธวิญญาณของตนทิ้งไป
แทบจะในชั่วเสี้ยวขณะที่เขาปล่อยมือ ภายใต้การยื่นขยายของเกล็ดน้ำแข็ง เกาะตัวเป็นน้ำแข็งไปทั่วทั้งสายโซ่สีม่วง
ผู้ควบคุมปล่อยมือ ปลายสายโซ่อีกฝั่งหนึ่งโยงติดอยู่บนแกนน้ำแข็งใยดิน ทว่าสายโซ่หาได้ห้อยลงไปตามน้ำหนักไม่ หากแต่ถูกแช่แข็งจนกลายเป็นเส้นตรงดิ่งสายหนึ่ง
ธารแสงสีฟ้าน้ำแข็งอันโหดเหี้ยมระห่ำลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่วมและแช่แข็งทุดสิ่งเบื้องหน้าจนมิด
พายุและสายฟ้าที่ชั่วขณะก่อนหน้ายังคงโหดเหี้ยมป่าเถื่อนอยู่ภายในโพรงน้ำแข็ง ยามนี้ล้วนถูกธารแสงสีฟ้าน้ำแข็งกลืนหมดสิ้น
พายุและสายฟ้าถูกแช่แข็งผนึกไว้ในชั้นน้ำแข็งเช่นนี้ โดยที่ยังคงมีรูปร่างดังเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังคงเป็นงูสายฟ้าและเกลียวลมหลายสาย เพียงแต่เป็นภาพที่พิลึกพิลั่นอีกทั้งผิดปกติ เสมือนกับภาพบนม้วนภาพวาดก็ไม่ปาน มองดูแล้วพาให้รู้สึกพรั่นพรึงเป็นทวีคูณ
สิ่งที่เข้าใกล้ก้นโพรงน้ำแข็งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสิ่งของ หรือจะเป็นปราณจิตราและปราณดั้งเดิม ล้วนถูกคลื่นความเย็นที่ปะทุออกมาแช่แข็งในทันทีทันใด
มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณแห่งตำหนักอัสนีสวรรค์ที่พยายามขว้างโซ่สีม่วงออกมาช่วยเหลือคนก่อนหน้านี้ แม้จะระมัดระวังอย่างยิ่ง เงื่อนไขแรกในการช่วยเหลือคนคือต้องปกป้องตนเองก่อน ทว่าการเผชิญหน้ากับการทะลักอันน่าหวาดผวาของแกนน้ำแข็งบนพื้นดิน ก็ไม่สามารถออกแรงสู้เช่นกัน
เมื่อแลเห็นว่าไม่อาจต่อกร เขาจึงผละอาวุธวิญญาณระดับกลางของตนทิ้งไปทันที ต้องการมุ่งปลีกตัวออกไปก่อน
กระนั้นเนื่องจากความยุ่งเหยิงของโซ่สีม่วงกับคลื่นความเย็นก่อนหน้านี้ ทำให้ตอนนี้เขาคิดวิ่งหนีออกไปอีก แต่กลับไม่ทันกาลเสียแล้ว
ธารแสงสีฟ้าน้ำแข็งที่ซัดสาดไหลเชี่ยว ว่องไวยิ่งกว่าเขา
แต่ไรจอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์ทะนงในความเร็วของตนเอง และมีต้นทุนที่สามารถมองจอมยุทธ์ระดับขั้นเดียวกันในโลกแปดพิภพด้วยความโอหัง
ทว่าบัดนี้ประจันหน้ากับพลังอำนาจอันน่าพรั่นพรึงที่สรรค์สร้างอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากธรรมชาติ กลับยังคงช้าเกินไป
มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณผู้นี้รู้สึกชาขาข้างหนึ่ง พลันรู้แก่ใจว่าไม่ปกติทันที
เขาเองก็นับว่าเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดคนหนึ่งเช่นกัน จึงฟันฝ่ามือหนึ่งลงไป ตัดขาที่รู้สึกชาของตนข้างนั้นโดยพลัน เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะถูกไอเย็นขยายรุกรานไปทั่วกาย
หากแต่ก็ยังคงช้าไปอีกก้าว ไม่นานนัก เขาก็มีความรู้สึกเหมือนเช่นศิษย์ร่วมสำนักก่อนหน้านี้
ร่างกายสูญเสียประสาทสัมผัสไป ปราณดั้งเดิมหยุดการโคจรนิ่ง จิตวิญญาณเคลิบเคลิ้มเฉื่อยชา
แต่ในช่วงเวลาพริบตาเดียว ก็มีมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณอีกคนหนึ่ง ถูกธารแสงสีฟ้าน้ำแข็งที่ระเบิดปะทุกลืนเข้าไปจนมิด
มหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณคนอื่นที่อยู่ภายในโพรงน้ำแข็ง และยังไม่ได้เป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว
จอมยุทธ์ตำหนักอัสนีสวรรค์ถูกธารแสงสีฟ้าน้ำแข็งกลืนจนมิดคนแล้วคนเล่า
ร่างของพวกเขาตกลงไปในแกนน้ำแข็งใยดิน ไม่นานนักก็ถูกแช่แข็งผนึกเอาไว้ เสมือนกับยังมีชีวิตอยู่เช่นเดิม ราวกับยุงที่ถูกปิดผนึกอยู่ภายในอำพัน
ทว่าชั่วเสี้ยวขณะถัดมา ร่างศพก็เริ่มค่อยๆ แหลกสลาย ภายใต้ผลของพลังอันเย็นสุดขั้ว กลายเป็นธุลีไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งไม่เหลือร่องรอย
เนื่องจากผู้อาวุโสเจินกับเจิ้งซั่วไล่ตามเยี่ยนจ้าวเกอไป เวลานี้จึงห่างออกจากธารแสงสีฟ้าค่อนข้างไกล
บัดนี้เห็นคลื่นความเย็นอันน่าหวาดหวั่นเหล่านั้นระเบิดปะทุ แสงสีฟ้าสะท้อนฉาบสีหน้าพวกเขาแลดูซีดเซียวอยู่ในที
แต่ในเวลานี้พวกเขาก็ไม่สนใจเยี่ยนจ้าวเกอกับกระสวยเบิกดินแดนอีกต่อไปแล้ว ทำอย่างไรจึงจะรอดชีวิตจากการปะทุของคลื่นความเย็นอันน่าพรั่นพรึงนี้ได้ต่างหาก จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของพวกเขาในตอนนี้
คลื่นความเย็นพุ่งขึ้นแล้วดิ่งลง จากก้นโพรงน้ำแข็งราวกับน้ำพุก็ไม่ปาน
ถึงจะเหินบินขึ้นด้านบน ออกไปจากปากหลุมมหึมา ก็ยังคงหนีคลื่นความเย็นที่ระเบิดออกมาไม่พ้น
ผู้อาวุโสเจินกับเจิ้นซั่วต่างตัดสินใจเด็ดขาดฉับพลัน แยกกันโจมตีชั้นน้ำแข็งที่ใกล้ตนเองที่สุดออกไป
ไม่จำเป็นต้องหนีเข้าไปในชั้นน้ำแข็งด้วยวิธีแปลกประหลาดเช่นกระสวยเบิกดินแดน พลังของมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณ สามารถกะเทาะชั้นน้ำแข็งให้แหลก แล้วพุ่งพรวดเข้าไปภายในนั้นได้
ชั่วพริบตาที่พวกเขาเกือบจะชนเข้าไปในชั้นน้ำแข็ง คลื่นความเย็นอันน่าหวาดผวาก็พวยพุ่งขึ้นมา ผ่านด้านหลังไป
ไม่ได้ให้โอกาสพวกผู้อาวุโสเจินได้ผ่อนคลาย ก็มีธารแสงสีฟ้าน้ำแข็ง ตามพวกเขาที่ชนทลายชั้นน้ำแข็ง กำลังไล่หลังพวกเขามา
แม้ว่าความเร็วจะช้ากว่าการพ่นปะทุขึ้นมาไม่น้อย ทว่ายังคงตามประชิดหลังผู้อาวุโสเจินและเจิ้งซั่วราวกับน้ำป่าไหลหลากอย่างไรอย่างนั้น
มหาปรมาจารย์ทั้งสองคนไม่กล้าหยุดก้าวเท้าแม้แต่น้อย ได้แต่รุดหน้าต่อไปด้วยความเร็ว อาศัยพลังของตัวเองขุดทางเข้าไปซึ่งหน้า ห้อตะบึงไปข้างหน้าตลอดทาง หลบหลีกธารแสงสีฟ้าน้ำแข็งที่ไล่หลังเหมือนเงา
หลินโจวยืนอยู่ด้านบนสุดบริเวณรอบนอกที่สุด ห่างจากก้นโพรงที่ปะทุคลื่นความเย็นออกมาไกลที่สุด ไม่ได้รับพิธีชำระล้างของเภทภัยธรรมชาติอันน่าหวาดผวานี้ในทันที
ทว่าแลเห็นผู้อาวุโสร่วมสำนักประสบภัย ยังคงทำให้เขาสั่นระริกแม้จะไม่หนาว
หลินโจวมิกล้าลังเลแม้แต่น้อย ผละหนีออกไปทันทีเช่นกัน
หากไม่รุดขึ้นด้านบนเช่นเดียวกัน นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตาย พวกผู้อาวุโสเจินยังไม่มีความมั่นใจว่าจะเร็วได้กว่าคลื่นความเย็น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหลินโจว
ครั้นเขายกมือข้างหนึ่งขึ้น ก็พลันมีพลังปราณสายฟ้าอันแกร่งกล้าส่งออกมาจากร่าง
ภายในความมืดมิดอย่างถึงที่สุด พลันมีสายฟ้าแลบพิลึกพิลั่นสีขาวเงินส่องสว่างขึ้นมา จากนั้นโจมตีไปบนชั้นน้ำแข็งตรงหน้าหลินโจว ทำให้ชั้นน้ำแข็งทลายออกมา
หลินโจวพุ่งเข้าไปในนั้นโดยไม่ลังเล
ชั่วขณะสุดท้าย หลินโจวมองไปทางตำแหน่งที่เยี่ยนจ้าวเกออยู่ก่อนหน้านี้ด้วยความไม่ยินยอมอยู่บ้าง ก่อนจะแลเห็นว่าอีกฝ่ายกับกระสวยเบิกดินแดน ถูกข่ายอาคมกลุ่มหยินหยางกลับด้านทำให้สัญจรเชื่องช้าอยู่บ้าง ยามนี้ยังไม่อาจเข้าไปในชั้นน้ำแข็งได้สิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการโจมตีบุกของพวกผู้อาวุโสเจินกับเจิ้นซั่วแล้ว ทว่าธารแสงสีฟ้ากลับไล่ตามเยี่ยนจ้าวเกอมาแล้ว!
“พวกเจ้าเองก็มีวันนี้เหมือนกันหรือ?” แววตาหลินโจวมืดครึ้มเยียบเย็น ฉายประกายฮึกเหิมผ่านไป
ภายในกระสวยเบิกดินแดน เยี่ยนจ้าวเกอรับรู้และสัมผัสได้ จึงหันหน้ากลับไปมอง สบสายตาเข้ากับหลินโจวพอดี
เยี่ยนจ้าวเกอมองอารมณ์ที่เผยออกมาจากในแววตาของหลินโจวออกรางๆ ก่อนจะยิ้มจาง แล้วค่อยหยิบเตากลืนดินออกมาอีกครั้งอย่างไม่ชักช้าและไม่รีบร้อน
จากนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็ใช้เตากลืนดินขัดขวางคลื่นความเย็นที่ไล่ดูดกลืนตามขึ้นมา ภายใต้การเพ่งมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อของหลินโจว จากนั้นหนีเข้าไปในชั้นน้ำแข็งอย่างไม่สะทกสะท้าน
ชั่วขณะถัดมา คลื่นความเย็นก็พรั่งพรูพุ่งขึ้นมาบนพื้นดินอย่างบ้าคลั่ง ฝังคนที่หนีออกมาไม่ทันไว้ภายในโพรงน้ำแข็งทั้งหมด
ประหนึ่งสุสานที่เย็นเฉียบ ซึ่งมีโลงน้ำแข็งขนาดมหึมาโลงหนึ่งอยู่
…………