ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 350 ช่างโชคดีนัก
ด้ามไม้ไผ่สีเขียวเข้มในมือเยี่ยนจ้าวเกอเปล่งแสงสีม่วง เขาชูมันขึ้นอย่างสบายๆ ก่อนจะฟาดลง
ทว่าขณะที่เงาสีเขียวเข้มสว่างวาบขึ้น เจิ้งซั่วกลับถูกฟาดจนเห็นดาว
เยี่ยนจ้าวเกอพลันหยิบอาวุธวิญญาณระดับสูงชิ้นหนึ่งออกมา เจิ้งซั่วถูกเล่นงงานจนรับมือไม่ทัน
เมื่อมองด้ามไม้ไผ่สีเขียวเข้มนั้นให้ถี่ถ้วน นอกจากผิวของมันจะมีแสงสีม่วงจางๆ ปกคลุมอยู่แล้ว ที่เหลือล้วนไม่มีจุดใดน่าประหลาด
ตอนที่มันแสดงอานุภาพ ฟาดดาบเทพมารทมิฬจนแตก ทำลายอาวุธวิญญาณระดับล่างของเจิ้งซั่วทิ้ง มันก็ยังคงมีลักษณะเป็นปกติไร้พิษสง เขาไม่รู้สึกถึงพลังน่าตกใจใดๆ เลย
เหมือนกับว่าเยี่ยนจ้าวเกอใช้ไม้ไผ่ธรรมดาเท่านั้น
ครั้นเจิ้งซั่วฝืนยกดาบขึ้นป้องกัน ไม้ไผ่สีเขียวเข้มก็ฟาดใส่ดาบเทพมารทมิฬอีกครั้ง
คมดาบของดาบเทพมารทมิฬที่เป็นอาวุธวิญญาณระดับกลางเกิดรอยบิ่นอีกครา
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้สนใจหลินโจวที่หนีไป สายตาจ้องมองน้ำพุข้ามชั่วยามที่กำลังได้รับผลกระทบจนโหมซัดอย่างรุนแรงอยู่เบื้องล่าง จากนั้นก็มองเจิ้งซั่วที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
ชายหนุ่มควงด้ามไม้ไผ่สีเขียวเข้มเป็นรัศมีวงกลม ทำให้เจิ้งซั่วได้แต่ฝืนยกดาบขึ้นป้องกัน
เจิ้งซั่วถูกเล่นงานอย่างทนทุกข์ คิดจะเสี่ยงชีวิตเพื่อโจมตีเยี่ยนจ้าวเกอกลับบ้าง แต่อีกฝ่ายพลันยกเตากลืนดินในมือซ้ายขึ้นป้องกัน
ขณะเดียวกัน เยี่ยนจ้าวเกอก็กระหน่ำฟาดไม้ไผ่ในมือดั่งห่าฝน
ครู่ต่อมา เจิ้งซั่วพลันรู้สึกว่าดาบเทพมารทมิฬในมือของตนเองสั่นไหวอย่างรุนแรง อึดใจต่อมา คมดาบที่เต็มไปด้วยรอยบิ่น ในที่สุดก็ทนทานไม่ไหว แตกร้าวเป็นชิ้นๆ!
อาวุธวิญญาณระดับกลางถูกเยี่ยนจ้าวเกอใช้ไม้ไผ่สีเขียวขี้ม้าฟาดจนแหลก!
ขณะมองภาพนี้ เจิ้งซั่วรู้สึกใบหน้าแข็งทื่อ ตกตะลึงจนขยับไม่ได้
ที่ทำให้เขาเป็นห่วงก็คือ ตนเองบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังเสียดาบเทพมารทมิฬ บัดนี้เขามิใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยนจ้าวเกออีกต่อไป
เป็นอย่างที่คาด เยี่ยนจ้าวเกอฟาดไม้ไผ่สีเขียวเข้มลงมาอีกครั้ง ส่งผลให้เจิ้งซั่วตกลงสู่ด้านล่าง จมลงในน้ำพุข้ามชั่วยามที่อยู่ข้างใต้
อาหู่เห็นดังนั้นคิดขัดขวาง แต่เยี่ยนจ้าวเกอส่งส่ายตา เขาจึงไม่ได้เคลื่อนไหว ยังคงนั่งอยู่เหนือแสงตะเกียงสีทองเงียบๆ
เยี่ยนจ้าวเกอไล่จู่โจมต่อ ประกายดาบอันยิ่งใหญ่สว่างขึ้น พุ่งผ่านน้ำพุ แทงทะลุร่างของเจิ้งซั่ว
มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณถูกเยี่ยนจ้าวเกอสังหารทิ้งในน้ำพุข้ามชั่วยาม
ในวินาทีที่เจิ้งซั่วพบกับความตาย ร่างของเจิ้งซั่วได้ตายลง พิธีกรรมที่เยี่ยนจ้าวเกอทำในน้ำพุข้ามชั่วยามก็เกิดการเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด เปลี่ยนปราณความตายปริมาณมากเป็นพลังชีวิต
พลังชีวิตเหล่านี้ไม่ส่งผลต่อเจิ้งซั่ว แต่กลับช่วยค้ำจุนอิ๋งอวี่เจินและสือจวินสองแม่ลูก ภายใต้การกระตุ้นจากพิธีกรรม
เจิ้งซั่วเบิกตาค้าง ตายตาไม่หลับ จ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอที่บัดนี้อยู่ในน้ำพุข้ามกาลเวลาเช่นกัน
ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้สนใจเขาอีกแล้ว เพียงแต่ตั้งใจทำพิธีกรรม ขณะเดียวกันก็สังเกตสองแม่ลูกไปด้วย
เลือดของเจิ้งซั่วไหลเข้าไปในน้ำพุ ร่างกายของปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณจะแข็งแกร่งสักเพียงใดเชียว
น้ำพุที่กระเพื่อมขึ้นลงอยู่แล้ว พลันเดือดพล่านขึ้นในวินาทีนี้
เลือดของเจิ้งซั่วสลายไปในน้ำพุข้ามชั่วยาม ก่อให้เกิดแสงสีน้ำเงินส่องสว่างอีกหนหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นสีแดงเลือดอย่างรวดเร็ว
พลังชีวิตถูกส่งไปในร่างของสองแม่ลูกไม่ขาดสาย
ถึงแม้คนทั้งสองจะยังไม่รู้สึกตัว เหมือนหลับสนิท แต่ใบหน้าซีดขาว ค่อยๆ ปรากฏสีแดงระเรื่อมากขึ้นเรื่อยๆ
สือจวินดูดีกว่าเดิมมาก เค้าความอิดโรยบนใบหน้าหายไปโดยสิ้นเชิง ดูไปเหมือนรูปสลักหยกที่คล้ายกำลังหลับอยู่จริงๆ
ทว่าอิ๋งอวี่เจินผู้เป็นมารดาของเขา ยังไม่ได้ดีขึ้นถึงเพียงนั้น แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปมากจากก่อนหน้านี้
ตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเห็นนางนอนในโลงศพน้ำแข็งเป็นครั้งแรก ก็ยากจะเรียกว่าเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่แล้ว
หากพูดจากบางมุมมอง นางเหมือนคนตายมากกว่า
ทว่าบัดนี้เขามั่นใจแล้ว ว่าในที่สุดอิ๋งอวี่เจินก็กลับมาจากเส้นทางมรณะ
ถึงแม้จะยังห่างไกลกับคำว่าฟื้นคืนชีพ มีเส้นทางอีกยางไกลที่ต้องเดิน จะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ และฟื้นขึ้นมาเมื่อไร เยี่ยนจ้าวเกอก็บอกไม่ได้เช่นกัน แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็มีหวังแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอมองสือจวินกับอิ๋งอวี่เจิน ก่อนจะผุดยิ้มจริงใจบนใบหน้า
เขาระบายลมหายใจยาว มาถึงตอนนี้ ความตึงเครียดค่อยผ่อนคลายลง
ขณะที่สีแดงในน้ำพุค่อยๆ จางลงและหายไป แสงตะเกียงบนเสาสองต้นก็ดับลงเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอยื่นมือไปเก็บเสาสองต้นนั้น จากนั้นก็ใช้ปราณจิตราม้วนเอาสือจวินและอิ๋งอวี่เจินขึ้นมาจากในน้ำพุ
เมื่อก้มหน้ามองไป น้ำพุไม่มีไอร้อนอยู่แล้ว อุณหภูมิลดต่ำลง
น้ำพุข้ามชั่วยามแห่งนี้ได้ใช้ปราณวิญญาณไปจนหมดสิ้นแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอตรวจสอบสภาพร่างกายของสองแม่ลูกอย่างละเอียด สภาพของเสี่ยวสือจวินยอดเยี่ยมยิ่ง คล้ายกับสามารถฟื้นขึ้นมาได้ตลอดเวลา
อิ๋งอวี่เจินมารดาของเขาแม้อาการจะยังแย่ ทว่าอย่างน้อยเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ต้องกังวลว่านางจะเสียชีวิตอีก
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็สามารถคิดหาวิธีอื่นๆ มาช่วยรักษาได้แล้ว
ชายหนุ่มมองดูใบหน้าที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าทั้งสอง ก่อนจะทอดถอนใจเสียงเบาๆ เขาเปิดโลงศพน้ำแข็งอีกครั้ง แล้ววางร่างของคนทั้งสองลงไป
โลงศพน้ำแข็งไม่เพียงแต่ช่วยปิดผนึกเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ช่วยบำรุงพละกำลังด้วย
เขานำร่างของอิ๋งอวี่เจินไว้ด้านในเพื่อให้ฟื้นพลังต่อ รอหลังจากนี้ค่อยจัดการต่อ
ส่วนการใส่ร่างสือจวินในโลงศพน้ำแข็งไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ตอนที่สือจวินฟื้นขึ้นมา เยี่ยนจ้าวเกอที่เก็บโลงศพน้ำแข็งไว้ย่อมรู้สึกได้เอง
ก่อนหน้านั้น ถึงแม้สือจวินจะไม่รู้สึกตัว ก็จะได้รับการหล่อเลี้ยงจากโลงศพน้ำแข็งอยู่ดี
หลังจากปิดฝาโลงเสร็จแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ใช้มือลูบผิวโลงศพน้ำแข็ง พร้อมจุ๊ปาก ‘สำเร็จจนได้ ดีกว่าที่คาดไว้นัก’
ตอนแรกเนื่องจากมีพลังวิญญาณในน้ำพุข้ามชั่วยามไม่พอ จึงคาดว่าจะรักษาได้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ในตอนที่เจิ้งซั่วกับหลินโจวลอบโจมตี เยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดความคิดยอดเยี่ยมขึ้น
สุดท้ายเขาสามารถโต้กลับ อีกทั้งยังช่วยสือจวินกับอิ๋งอวี่เจินได้ สำหรับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว เป็นความยินดีที่เหนือความคาดหมายจริงๆ
เขามองเจิ้งซั่วที่สิ้นชีวิตไปแล้วในตาน้ำพุ เยี่ยนจ้าวเกอส่ายหน้าเล็กน้อย กระทืบเท้าคราวหนึ่ง ดินเหนือตาน้ำพุพลันถล่มลงมากลบตาน้ำไว้อีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง อาหู่ไปเก็บมังกรเขียงในกระบี่วิญญาณมังกรกลับมา
เยี่ยนจ้าวเกอเก็บโลงศพน้ำแข็งทั้งสองโลง ก่อนจะมายังข้างกายอาหู่ ครั้บเก็บมังกรเขียวในกระบี่วิญญาณของตนเองกลับมาแล้ว เขาก็ทอดสายตามองที่ราบหิมะตรงหน้า
ที่นั่นมีแสงสีม่วงส่องสว่าง ถึงแม้จะจะสลัวลงไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงเจิดจ้าอยู่ดี
ธนูสีม่วงคันหนึ่งร่วงอยู่บนพื้น เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง ธนูนภาพอลหม่าน
ในปัจจุบันนี้ทุกคนในโลกแปดพิภพล้วนทราบว่า ธนูล้ำค่าที่เลิศล้ำที่สุดก็คือธนูยิงตะวันของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ กับธนูนภาอลหม่านของตำหนักอัสนีสวรรค์
ก่อนสงครามเขากว่างเฉิง เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่วางแผนหาธนูล้ำค่า ต้องการธนูยิงตะวันและธนูนภาอลหม่าน แต่น่าเสียดายที่นำมาไม่ได้
ตอนนี้ธนูนภาอลหม่านได้มาอยู่เบื้องหน้าตนแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอลูบคาง “สิ่งของที่ได้รับในครั้งนี้น่าประหลาดใจจริงๆ”
อาหู่ลูบคางตนเองเลียนแบบ “คุณชายช่างโชคดีนัก เช่นนั้น เราจะเก็บอาวุธวิญญาณระดับสูงชิ้นนี้อย่างไรดี?”
………..