ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 448 โลกลอยน้ำมีของวิเศษสามชิ้น
พวกหลัวจิ่งฮ่าวเผลอมองซูอวิ๋นที่อยู่ข้างเยี่ยนจ้าวเกอ
“ลักษณะนับว่าเหมาะสมดี” ซูอวิ๋นมองรูปสตรีที่อยู่กลางอากาศพลางจุ๊ปากชมเชย “ไม่ทราบว่าพรสวรรค์ พลังฝึกปรือ และนิสัยเป็นอย่างไร”
พวกหลัวจิ่งฮ่าวพลันกุมขมับ
ความรู้สึกหลอนที่เหมือนหญิงรับใช้ชราในวังเลือกสตรีโดดเด่นให้องค์ราชา ทำให้ทุกคนพูดไม่ออก
เฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ สวีเฟย และอิงหลงถูมองหน้ากัน ใบหน้าปรากฏความตกใจ
สตรีที่เยี่ยนจ้าวเกอวาดขึ้น พวกเขาล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ถึงแม้จะสวมชุดของจอมยุทธ์สำนักเมฆาโลหิตแห่งโลกลอยน้ำ แต่รูปร่างหน้าตาเหมือนกับซือคงจิง ศิษย์ร่วมสำนักของพวกเขาไม่มีผิด
สวีเฟยกับอิงหลงถูยังพอทำเนา แต่เฟิงอวิ๋นเซิงกับซือคงจิงกราบอาจารย์คนเดียวกัน ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน และได้ร่ำเรียนด้วยกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง อีกทั้งยังสนทนากันไม่รู้กี่ครั้ง
เฟิงอวิ๋นเซิงคิดว่าต่อให้ตาพร่ามัวอย่างไร ก็ไม่อาจดูรูปร่างภายนอกของซือคงจิงผิดแน่
เยี่ยนจ้าวเกอที่คล้ายกับรับรู้ได้ถึงความตกใจของพวกซือคงจิง จึงยิ้มเล็กน้อย พูดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “นี่มิใช่ศิษย์น้องซือคง”
สวีเฟยขมวดคิ้ว “ฝาแฝดหรือ? แต่ไม่น่าจะพลัดหลงกันในโลกที่แตกต่างกันสองใบกระมัง”
ชายหนุ่มอธิบาย “หากต้องพูดจริงๆ นางกับศิษย์น้องซือคงมิใช่สายเลือดเดียวกัน”
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไร” สวีเฟยถาม “ถ้าหากไม่ใช่คนร่วมสายเลือดกัน ก็ยากจะจินตนาการจริงๆ ว่าจะเหมือนกันถึงขั้นนี้ได้ ถึงจะเคยได้ยินมาก่อนว่าบนโลกมีคนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่กลับมีใบหน้าเหมือนกัน กระนั้นนี่กลับเหมือนกันจนเกินไป เหมือนกับศิษย์น้องซือคงแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “เกี่ยวข้องกับความลับที่ใหญ่กว่า แต่เป็นเรื่องอะไร ตอนนี้ยังบอกไม่ได้”
“เรื่องนี้ในสำนักมีคนน้อยนักที่รู้ ตามเหตุผลแล้ว ในพวกท่านสามคน มีแค่ศิษย์พี่สวีเฟยเท่านั้นที่มีสิทธิ์รู้ แต่ว่าตอนนี้พวกเราอยู่ในโลกลอยน้ำ เวลากระชั้นเข้ามาแล้ว อีกทั้งยังเป็นสถานการณ์พิเศษ ข้าได้แต่ต้องยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ”
อิงหลงถูกเพียงมองสตรีในเงาแสงอย่างประหลาดใจ ส่วนเฟิงอวิ๋นเซิงกล่าวว่า “สำนักมีกฎ จะสร้างความลำบากให้แก่ศิษย์พี่เยี่ยนท่านไม่ได้ เดี๋ยวข้ากับหลงเอ๋อร์จะออกไปก่อน”
เมื่อได้ยินดังนั้น เยี่ยนจ้าวพลันเกอโบกมือ “ถึงแม้จะบอกพวกเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องออกไป”
“ทว่าต่อจากนี้ หากพวกเจ้าสองคนเดินทาง และได้พบเรื่องที่คล้ายๆ กันนี้…” เยี่ยนจ้าวเกอมองภาพเงาแสงที่ลอยอยู่ “…ได้เจอคนที่เหมือนกับศิษย์น้องซือคง หรือคนที่เหมือนกับศิษย์น้องซือคงทุกประการ ต้องหาวิธีพาคนผู้นั้นกลับสำนักให้ได้”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวต่อ “ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ต้องหาวิธีพากลับมา เรื่องนี้สำคัญมาก”
เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้า อิงหลงถูกได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเช่นกัน
“ถ้าหากตอนนั้นสถานการณ์ทำให้พวกเจ้าไม่อาจพาคนกลับมาได้ เช่นนั้นก็ให้รายงานสำนักทันที” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างแข็งขัน
สวีเฟยซึ่งกำลังมองเงาแสง ถามพลางครุ่นคิด “จ้าวเกอ ความหมายของเจ้าก็คือ ก่อนหน้านี้ที่โลกแปดพิภพก็มีเหตุการณ์คล้ายกันหรือ”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ยืนยันแล้วว่ามีสามคน”
สวีเฟยถอนใจเบาๆ “ที่โลกแปดพิภพและโลกลอยน้ำต่างก็มี…ไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าพวกผู้อาวุโสในสำนักถึงได้ให้ความสำคัญเช่นนี้”
พวกหลัวจิ่งฮ่าวได้สติ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย หลัวจิ่งฮ่าวก็เอ่ยปากอย่างเชื่องช้า “เรื่องนี้เกรงว่าจะสะกิดขีดจำกัดล่างของสำนักเมฆาโลหิตเข้า”
ถึงแม้จะสังหารหลู่หมิงกับจอมยุทธ์สำนักเมฆาโลหิตไปเป็นจำนวนมาก พูดได้ว่าทั้งสองฝ่ายมีความแค้นกันล้ำลึกดุจทะเล
แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอแสดงฝีมือในสงครามครั้งนี้โดดเด่นเกินไป ทำลายสำนักเมฆาโลหิต สำนักอัสนีคำรน และสำนักเพลิงโหมด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งยังฆ่าเจ้าสำนักของทั้งสองสำนัก และสังหารปีศาจปักษา เซ่าเฟิงถิงในชั่วพริบตา นับว่าเป็นการสั่นสะเทือนโลกลอยน้ำโดยแท้
ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้สำนักเมฆาโลหิตมีความแค้นมากมาย ก็ได้แต่เลือกลืมเลือนและกบดานก่อน
เยี่ยนจ้าวเกอต้องการแกนศิลาวิญญาณชั้นยอด ไม่เพียงแต่สำนักเขามังกรเขียวและสำนักอัสนีคำรนเท่านั้น แม้แต่สำนักเมฆาโลหิตและสำนักเพลิงโหมก็ได้แต่ต้องยอมทำตาม
ไม่เพียงสี่สำนักเท่านั้น แม้แต่พวกปีศาจอัสนีและปีศาจราชสีห์ ก็ไม่แน่ว่าจะกล้าแตะต้องประกายคมอันกริบของเยี่ยนจ้าวเกอ
ทว่าการแย่งชิงลูกศิษย์หญิงผู้เลอโฉม กลับทำให้สำนักเมฆาโลหิตยากจะรับได้
ถ้าหากสำนักเมฆาโลหิตยอมทำตามเรื่องนี้แต่โดยดี ความน่าเกรงขามของสำนักทั้งสำนักจะถูกทำลายในทันที มีความเป็นไปได้ว่าความสามัคคีและความศรัทธาของสำนักจะพังทลายลง
อีกฝ่ายอาจจะกลายเป็นสุนัขจนตรอก
ถึงอย่างไร สำนักเมฆาโลหิตก็ยังมีพญาปักษาชิงเหนี่ยวคอยคุ้มครองสำนัก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อว่าจะใช้พญาปักษาชิงเหนี่ยวหยุดฝีเท้าของเยี่ยนจ้าวเกอได้ก็ตาม
หลัวจิ่งฮ่าวย่อมไม่กังวลแทนสำนักเมฆาโลหิต ความจริงเขาอยากจะให้สำนักเมฆาโลหิตปฏิเสธใจจะขาด จากนั้นเยีjยนจ้าวเกอจะได้ทำลายสำนักเมฆาโลหิตทิ้งทั้งหมด
แต่เยี่ยนจ้าวเกอซึ่งกำลังมองเขาอย่างสงบ พลันยิ้มแฉ่งขึ้น “จริงสิ จำได้ว่าบุตรของเจ้าสำนักหลัวแต่งงานกับหรงเอ๋อร์ น้องสาวของข้าใชหรือไม่”
หลัวจิ่งฮ่าวตอบด้วยรอยยิ้มบาง “หรงเอ๋อร์เป็นสตรีมากพรสวรรค์ บุตรชายไร้ปัญญาของข้าช่างโชคดียิ่งนัก”
พูดถึงตรงนี้ ทุกคนในสำนักเขามังกรเขียวล้วนมีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า
แต่เจ้าสำนักอัสนีคำรนและศิษย์ในสำนักต่างมีสีหน้าขื่นขม
ถึงแม้จะเคยได้ยินมาว่ากระเรียนหยก ซูอวิ๋นมีอาจารย์ยอดฝีมือผู้หนึ่ง แต่ถึงอย่างไรในอดีตก็ไม่เคยเคลื่อนไหวอันใด อีกทั้งยังหายสาปสูญไปตั้งหลายปี ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ
กลับไม่เคยคิดเลยว่า จะเป็นขาที่ใหญ่[1]ขนาดนี้
สำนักเขามังกรเขียวครั้งนี้ชนใส่มหาโชค เหมือนกับขนมตกจากฟ้า[2]
เยี่ยนจ้าวเกอมองหลัวจิ่งฮ่าว รอยยิ้มไม่หุบลง “ในเมื่อเจ้าสำนักหลัวให้ความสำคัญกับหรงเอ๋อร์ขนาดนี้ เช่นนั้นสมควรแสดงออกบ้างกระมัง”
หลัวจิ่งฮ่าวสะดุ้งโหยง ได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเรียบๆ ว่า “ได้ยินว่าสำนักท่านมีของวิเศษที่ไม่เลวอยู่ชิ้นหนึ่ง ชื่อว่าโซ่กระดูกมังกร เอาให้หรงเอ๋อร์รักษาสิ ต่อจากนี้จะได้มอบให้บุตรได้”
คนในสำนักเขามังกรเขียวแทบจะอุทานขึ้นมา
มีคนที่ไร้ความอดทนเพิ่งจะเปิดปาก กลับถูกคนข้างหน้าใช้ศอกตอกใส่ทรวงอก หันไปส่งสายตาเคร่งเครียด เพื่อให้เขาหุบปาก
ชายหนุ่มเห็นทุกอย่าง แต่ไม่สนใจ ใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะเบาๆ เงยหน้ามองเพดานห้อง “ข้าได้ยินมาว่าโลกลอยน้ำมีของวิเศษสามชิ้น โซ่กระดูกมังกรเป็นหนึ่งในนั้น ไม่ทราบว่าอีกสองชิ้นอยู่ที่ใด”
สีหน้าของพวกผู้อาวุโสฉีและผู้อาวุโสถงพลันซีดขาวในชั่วพริบตา
อีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งคือน้ำเต้าเมฆาโลหิต อีกชิ้นคือจารึกซ่อนอัสนี ล้วนถูกทำลายด้วยมือของเยี่ยนจ้าวเกอ
หลัวจิ่งฮ่าวรู้สึกว่าขมับของตนเองเต้นตุบๆ อย่างบ้าคลั่ง
ในวินาทีนี้ เขารู้สึกจริงๆ ว่าเงาของเยี่ยนจ้าวเกอครอบคลุมผืนนภาของโลกลอยน้ำ เหมือนความมืดไร้สิ้นสุด
ถึงแม้บนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอจะประดับด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย แต่ว่าสายตาเคร่งขรึมยิ่ง ไม่มีแววยิ้มแม้แต่น้อย เพียงมองคนในสำนักเขามังกรเขียวอย่างเฉยชา
ซูอวิ๋นย่อมรู้สึกเช่นเดียวกับนายน้อยของตน สำนักเขามังกรเขียวเคยวางแผนอะไรไว้ เยี่ยนจ้าวเกอทราบดี
มิอาจไม่ยอมรับว่า ไม่ว่าจะเป็นเพราะคิดสั้น หรือเพราะตัดสินใจพลาด หากมองในมุมมองของสำนักเขามังกรเขียวแล้ว ที่พวกลั่วจิ่งฮ่าวคิดแย่งชิงผลประโยชน์ให้แก่สำนัก มิใช่เรื่องไร้เหตุผล
แต่นั่นเกี่ยวอันใดกับเยี่ยนจ้าวเกอด้วยเล่า?
บังอาจคิดเล่นงานตน นั่นเป็นเตรียมตัวรับผลกรรมไว้ด้วย
ไหนเลยจะมีเรื่องง่ายๆ อย่างการเลียแข้งเลียขา หลังจากเห็นว่าทิศทางของลมไม่ถูกต้องด้วย?
ถ้ามิใช่เพราะสำนักกระเรียนหิมะและสำนักเขามังกรเขียวเกี่ยวดองกัน เยี่ยนจ้าวเกอคงจะกวาดล้างสำนักเขามังกรเขียวเหมือนกวาดล้างทั้งสามสำนักที่เหลือไปแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้กล่าวอันใดอีก เพียงแต่มองพวกหลัวจิ่งฮ่าวอย่างเรียบเฉยเช่นนี้
จอมยุทธ์สำนักเขามังกรเขียวทุกคนพลันรู้สึกว่าแผ่นหลังเปียกชื้นในชั่วพริบตา
กำลังสมน้ำหน้าสำนักเมฆาโลหิตที่เจอความยากลำบากได้ไม่ทันไร พริบตาเดียวตัวเองก็ตกที่นั่งลำบากแล้ว
……………………………………….
[1] ขาใหญ่ เป็นการเปรียบเทียบว่า มีผลประโยชน์มาก
[2] ขนมตกจากฟ้า สุภาษิตจีน หมายถึง โชคดีมาก ได้รับโชคขนาดใหญ่