ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 449 อารมณ์ของข้าคือชะตาชีวิตของพวกเจ้า
โซ่กระดูกมังกรเป็นของวิเศษของสำนักเขามังกรเขียว ถูกจัดเป็นเส้นชีวิตของสำนักเขามังกรเขียว เคียงคู่สายเลือดมังกรไร้เขาชิงชือ
และในตอนนี้ เยี่ยนจ้าวเกอคิดจะขยับเส้นชีวิตของสำนักเขามังกรเขียว
ถ้าไม่ขยับตรงนี้ อีกฝ่ายคงไม่ทราบว่าความเจ็บปวดคืออะไร
ถ้าหากบอกว่าสำนักเขามังกรเขียวปฏิเสธ เยี่ยนจ้าวเกอกลับต้องประเมินพวกเขาใหม่
แน่นอนว่านี่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ไม่ได้อยู่ดี เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้คิดทำลายสำนักเขามังกรเขียวทิ้ง เหลือไว้เพียงแต่เฉินหรงและสามีเท่านั้น
ถูกต้อง ในสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ หลัวจิ่งฮ่าวมีสถานะหนึ่งด้วย นั่นก็คือพ่อตาของเฉินหรง ส่วนตำแหน่งเจ้าสำนักเขามังกรเขียว ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
หลัวจิ่งฮ่าวสัมผัสได้ถึงสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ รู้สึกหายใจไม่ออกโดยพลัน เหมือนภูเขาไท่ซานกดทับศีรษะ
เขายิ้มอย่างขื่นขมในใจ ‘เห็นแก่ซูอวิ๋นสองแม่ลูก อย่างน้อยก็ยังไว้หน้าให้อยู่’
เมื่อมอบโซ่กระดูกมังกรให้เฉินหรงแล้ว อย่างน้อยก็ยังถือว่าอยู่ที่สำนักเขามังกรเขียวอยู่
ถึงแม้จะไม่ได้แต่งตามสามี เพราะเฉินหรงเคารพซูอวิ๋นผู้เป็นมารดามากกว่า แต่นางกับสามีรักกันดี ปกติขอแค่สำนักเขามังกรเขียวและสำนักกระเรียนหิมะไม่เกิดความขัดแย้งกัน นางจะถือว่าตนเป็นคนในสำนักเขามังกรเขียว
โดยเฉพาะเมื่อครู่เยี่ยนจ้าวเกอยังพูดด้วยว่า วันหน้าหรงเอ๋อร์สามารถมอบโซ่กระดูกมังกรให้แก่บุตรของตนได้
บุตรของนางก็คือหลานสาวและหลานชายของหลัวจิ่งฮ่าว หากรับช่วงต่อโซ่กระดูกมังกรได้ เขาย่อมยินดี
ความจริงนี่กลับเป็นเรื่องดีสำหรับหลัวจิ่งฮ่าวและตระกูลหลัว
ขอแค่บุตรของเฉินหรงอย่าไม่เอาอ่าวเกินไป ตระกูลหลัวก็แทบจะถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะอยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนักไปอีกทั้งชาติ
ต่อให้จะอยู่ในมือของเฉินหรง แต่ถ้าเขามังกรเขียวเกิดความขัดแย้งขึ้นกับขุมกำลังนอกจากเยี่ยนจ้าวเกอและสำนักกระเรียนหิมะ นางจะต้องนำโซ่กระดูกมังกรเข้าต่อสู้แน่
หางตาของหลัวจิ่งฮ่าวกวาดมองเจ้าสำนักอัสนีคำรน
สามสำนักล้วนเสียหายอย่างหนัก พื้นฐานถูกทำลายสิ้น เกรงว่าต่อจากนี้สามสำนักต้องรวมพลังกันเท่านั้น ถึงจะต่อกรสำนักเขามังการเขียวได้
ต่อจากนี้ถ้าหากสำนักเขามังกรเขียวคว้าโอกาสเพิ่มพลังได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสปกครองโลกลอยน้ำเพียงผู้เดียว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลัวจิ่งฮ่าวพลันจิตใจสั่นไหว อดมองเยี่ยนจ้าวเกอและซูอวิ๋นไม่ได้
ถ้าหากบอกว่าสำนักเขามังกรเขียวไม่อาจยึดครองโลกลอยน้ำเองได้ ปัญหาเดียวก็คือสำนักกระเรียนหิมะ
สำนักเขามังกรเขียวที่สูญเสียโซ่กระดูกมังกรไป ไม่อาจกดดันสำนักกระเรียนหิมะที่ได้รับโซ่กระดูกมังกรได้อีก!
ถึงแม้ว่าพลังโดยรวมของสำนักกระเรียนหิมะ โดยเฉพาะพลังของลูกศิษย์รุ่นหลังยังรอถูกยกระดับอยู่ แต่เจ้าสำนักซูอวิ๋นกลับโด่งดังอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ไม่กี่สิบปี
ปกติถึงหลัวจิ่งฮ่าวจะไม่พูด แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเร็วในการพัฒนาตนของซูอวิ๋น
สำนักสามสำนักที่เหลือพิการหมดแล้ว โซ่กระดูกมังกรของสำนักเขามังกรเขียวตกไปอยู่ในมือของสำนักกระเรียนหิมะ หลัวจิ่งฮ่าวเชื่อว่าปีศาจราชสีห์กับปีสาจอัสนี รวมถึงสัตว์ปีศาจที่แข็งแกร่ง เยี่ยนจ้าวเกอสามารถจัดการได้มากกว่าครึ่ง
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ลงมือ ก็ไม่มีใครทำอะไรสำนักกระเรียนหิมะได้
ถึงแม้ว่าวันหน้าเฉินหรงจะมอบโซ่กระดูกมังกรให้แก่บุตรของตน บุตรก็จะตามบิดาและผู้เป็นปู่ มีใจเข้าหาสำนักเขามังกรเขียว ทำให้สำนักได้รับโซ่กระดูกมังกรกลับมาอีกครั้ง แต่ว่าตัวซูอวิ๋นและตัวสำนักกระเรียนหิมะตะได้รับเวลาในการพัฒนาอันมีค่าที่สุด จนกระทั่งต่อให้อาศัยพลังของตัวเอง ก็ไม่มีใครควบคุมได้
ต่อให้ซูอวิ๋นและสำนักกระเรียนหิมะไม่คิดปกครองโลกลอยน้ำ แต่ขุมกำลังอื่นก็ไม่อาจสั่นสะเทือนพวกนางได้
คิดจะครอบงำโลกลอยน้ำ หรือว่าโลกใบอื่น มีตัวตนในตำนาน ทั้งหมดอาศัยความปรารถนาของซูอวิ๋นเพียงผู้เดียว
ขณะที่ความคิดของหลัวจิ่งฮ่าวเคลื่นอนไหวดุจสายฟ้า รู้สึกได้ว่าแผ่นหลังเย็นเยียบเล็กน้อย ดวงตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
เยี่ยนจ้าวเกอไม่คิดจะให้มีการควบคุมกันและกัน ครั้งนี้เพียงอาศัยพลังของตัวเองบดขยี้เท่านั้น
กระนั้นในเมื่อไว้ชีวิตสำนักเขามังกรเขียวเพราะเห็นแก่หน้าเฉินหรง เยี่ยนจ้าวเกอกลับปูเส้นทางแห่งการผุดขึ้นในภายภาคหน้าให้แก่สำนักกระเรียนหิมะด้วย
ถึงแม้ว่าตนจะไปโดยไม่เหลือของวิเศษใดให้ซูอวิ๋นไว้คอยควบคุมสนาการณ์ อาศัยแค่ทรัพยากรของโลกลอยน้ำ ก็ทำให้เฉินหรงกับสำนักกระเรียนหิมะหลับไม่ต้องระแวงได้แล้ว
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจโซ่กระดูกมังกร การมอบให้ซูอวิ๋นและเฉินหรงเหมาะสมยิ่งกว่า ในขณะเดียวกันก็เป็นการเอาคืนสำนักเขามังกรเขียวด้วย
เมื่อเห็นในดวงตาของหลัวจิ่งฮ่าวคล้ายเข้าใจแล้ว เยี่ยนจ้าวเกออดยิ้มอย่างเย็นชาไม่ได้
‘จริงๆ เลย ไม่ใช่คนหนุ่มธรรมดาจริงๆ ด้วย ไม่ได้มีแค่พลังฝึกปรือที่แข็งแกร่งเท่านั้น’ หลัวจิ่งฮ่าวถอนใจเงียบๆ ‘การเคลื่อนไหวราวกับบังฝนพลิกเมฆ อยู่ที่เขาคิดจะทำหรือไม่ทำเท่านั้น’
พอคิดถึงที่สำนักเมฆาโลหิต สำนักอัสนีคำรน และสำนักเพลิงโหมเรียกเขาว่าเป็นมหันตภัยของโลกลอยน้ำ ถึงแม้จะทราบว่านั่นเป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการร่วมมือกันเดินทัพมาทางตะวันตกของสามสำนัก กระนั้นหลัวจิ่งฮ่าวในตอนนี้ก็รู้สึกว่า พวกหลู่หมิงมิได้กล่าวผิดจริงๆ
เขาสลัดความคิด บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนขึ้นอีกครั้ง “ในอดีต ข้ารู้สึกมาตลอดว่าสินสอดน้อยเกินไป ไม่อาจแสดงความจริงใจได้ ทุกครั้งที่คิดขึ้นข้อนี้ก็รู้สึกเสียใจ วันนี้ถึงเวลาชดเชยแล้ว”
พูดจบ เขาก็นำโซ่กระดูกมังกรมอบให้เฉินหรงอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังถ่ายทอดวิธีบูชาให้นางด้วย
คนในสำนักเขามังกรเขียวมีสีหน้าซับซ้อนและถมึงทึง แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเสียงถอนใจพร้อมกัน
มีบางคนมองหลัวจิ่งฮ่าว พร้อมกับมีความคิดว่า ‘มีความเป็นไปได้ว่าตระกูลหลัวจะอยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนักไปทั้งชาติ ยากจะโทษที่ท่านตอบรับอย่างไม่ลังเล’
ถึงแม้จะทราบว่านี่อาจเป็นเหตุการณ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอหวังจะได้เห็น กระนั้นคนจำนวนมากก็อดเกิดความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้
หลัวจิ่งฮ่าวรู้ดี อีกทั้งยังรู้สึกได้ จึงถอนใจอย่างอดไม่ได้
เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มใส่เงาแสงของสตรีที่ยังอยู่ในอากาศ “จริงสิ เรื่องนี้ข้ามอบให้เจ้าสำนักหลัวแล้วกัน เชื่อว่าเจ้าสำนักหลัวจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
คนในสำนักเขามังกรเขียวตั้งแต่หลัวจิ่งฮ่าวลงไปเกือบจะกระอักเลือดออกมา
เพิ่งจะโดนปลดโซ่กระดูกมังกรไป ตอนนี้ยังให้พวกเขาไปสู้กับสำนักเมฆาโลหิต ที่มีพญาปักษาชิงเหนี่ยวคุ้มครองอยู่อีก นี่คิดจะฆ่าสำนักเขามังกรเขียวโดยที่ไม่ลงมือหรือ
หลัวจิ่งฮ่าวริมฝีปากสั่นไหว เยี่ยนจ้าวเกอยกมือขึ้นห้ามเขา กล่าวเรียบๆ ว่า “ข้าขี้คร้านจะไปแดนใต้แล้ว ส่วนพญาปักษาชิงเหนี่ยวตัวนั้น ให้ถามมันว่า อยากจะกรองสายเลือดของตัวเองให้กลายเป็นหงส์วิเศษเช่นบรรพบุรุษของมันหรือไม่ ถ้าหากมันต้องการ ให้มาที่ภูเขาหิมะสะพานหยกเอง”
ไม่ว่าจะเป็นคนในสำนักเขามังกรเขียว หรือคนในสำนักอัสนีคำรน ลมหายใจล้วนชะงักลง
ถ้าหากกรองสายเลือดของพญาปักษาชิงเหนี่ยวให้กลายเป็นหงส์วิเศษได้ เช่นนั้นมังกรไร้เขาชิงชือกับราชสีห์วิเศษซวนหนีของตนก็…
หลัวจิ่งฮ่าวตอบรับด้วยรอยยิ้มจริงใจแทบจะในชั่วพริบตา “ข้าน้อยจะไม่ทำให้ผิดหวัง”
ล้อเล่นหรือ ที่พญาปักษาชิงเหนี่ยวยอมอยู่ที่สำนักเมฆาโลหิต อย่างน้อยส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะมีน้ำเต้าเมฆาโลหิตคอยเลี้ยงดู จึงทำให้พลังแห่งสายเลือดของมันเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า
ปัจจุบันน้ำเต้าเมฆาโลหิตได้ถูกทำลายแล้ว ถ้าหากเยี่ยนจ้าวเกอมีความามารถกรองสายเลือดของสัตว์ปีศาจเลือดผสมจริงๆ เช่นนั้นพญาปักษาชิงเหนี่ยวก็สมควรรีบมาที่แดนตะวันตกทันที
…ถ้าหากตนสามารถทำหน้าที่ได้ดี ไม่แน่ว่าสายเลือดมังกรไร้เขาชิงชือของตนจะมีหวังก้าวหน้าขึ้นหนึ่งก้าวเช่นกัน
สำนักเขามังกรเขียวที่อารมณ์ขุ่นข้องหมองมัวเพราะเสียโซ่กระดูกมังกรไป พลันเกิดความรู้สึกว่ามีแสงอาทิตย์ส่องสว่างงดงามอีกครั้ง
ถึงแม้จะได้อย่างเสียอย่าง อย่างหนึ่งเพิ่มอย่างหนึ่งลด พลังของสำนักเขามังกรเขียวก็ใช่ว่าจะไม่เพิ่มขึ้น
ความรู้สึกสูญเสียแต่กับได้รับกลับช่างงดงามถึงเพียงนี้
ถึงตอนนี้จะเป็นแค่ความคิด ไม่ได้กลายเป็นความจริง แต่ทั่วทั้งสำนักเขามังกรเขียวก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นแล้ว
หลัวจิ่งฮ่าวมองเยี่ยนจ้าวเกอ พร้อมกับรู้สึกว่าเงาร่างของชายหนุ่มค่อยๆ รางเลือนขึ้นทีละน้อย
คนที่กดดันโลกลอยน้ำ ได้เริ่มเปลี่ยนจากสภาวะดุดันในตอนสู้กับสามสำนักด้วยตัวคนเดียวก่อนหน้า กลายเป็นยิ่งใหญ่ไม่อาจสั่นสะเทือนแล้ว
ค่อยๆ เปลี่ยนจากจอมทำลายล้างเป็นผู้ปกครองที่ไม่อาจสั่นไหวและสูงส่ง ทุกคนได้แต่ยอมทำตาม
อารมณ์ของเขาคือชะตาชีวิตของทุกคน