ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 450 คำพูดดั่งประกาศิต
สำหรับคนธรรมดาและชาวบ้านทั่วไปในโลกลอยน้ำ อาจจะไม่รู้สึกอันใด
แต่ว่าสำหรับจอมยุทธ์ในโลกลอยน้ำ ต่างรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้
ผู้ที่อยู่สุงสุดมิใช่สามปีศาจสี่สำนักอีกต่อไปแล้ว
สำนักเพลิงโหม สำนักอัสนีคำรน และสำนักเมฆาโลหิตถูกทำลาย นอกจากเจ้าสำนักอัสนีคำรนแล้ว เจ้าสำนักเมฆาโลหิต และเจ้าสำนักเพลิงโหมต่างถูกสังหาร ปัจจัยพื้นฐานของสองสำนักถูกทำลาย
ปีศาจปักษา เซ่าเฟิงถิง หนึ่งในสามปีศาจเสียชีวิตที่แดนตะวันตก
ไม่ทันไร ปีศาจอัสนีที่ได้รับการขนามนามเคียงคู่เซ่าเฟิงถิง ก็เสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนคนเดียวกัน
สี่สำนักเหลือลมหายใจรวยริน ส่วนสามปีศาจกลายเป็นประวัติศาสตร์โดยสมบูรณ์
คนที่ทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดนี้ เป็นคนหนุ่มที่โดดเด่นเหนือใคร ไม่มีใครเทียบติด ‘เยี่ยนจ้าวเกอ’
ก่อนหน้านี้ไม่มีข่าวคราวของเยี่ยนจ้าวเกอในโลกลอยน้ำเลย
แต่ต่อจากนั้น ชายหนุ่มก็สะเทือนเลือนลั่นในโลกลอยน้ำประดุจอัสนีบาต
ไม่มีใครทราบถึงประวัติของเขา เพียงรู้ว่า หากตอนนี้คิดจะหาคนที่ใช้การได้มากที่สุด และมีคำพูดดุจประกาศิษย์บนโลกลอยน้ำ เช่นนั้นไม่มีใครนอกจากเขา
เยี่ยนจ้าวเกอบอกว่าต้องการแกนศิลาวิญญาณชั้นยอด ทั่วทั้งใต้หล้าล้วนรวบรวมให้เขา
แกนศิลาวิญญาณชั้นยอดในตอนนี้ถูกเก็บรวบรวมและถูกส่งไปที่ภูเขาหิมะสะพานหยก แร่ถูกขุดอย่างบ้าคลั่ง หินถูกหลอมอย่างเร่งรีบ
ปีศาจราชสีห์ คนสุดท้ายในสามปีศาจ ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในปัจจุบันแห่งจอมยุทธ์ครึ่งปีศาจ หลังจากทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ชั่วคราว ก็สั่งให้จอมยุทธ์ครึ่งปีศาจที่อยู่ในอาณาเขตของตัวเอง รวบรวมแกนศิลาวิญญาณชั้นยอด ส่งมอบให้เยี่ยนจ้าวเกอด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มถามพญาปักษาชิงเหนี่ยว สัตว์ปีศาจระดับสูงสุดบนโลกลอยน้ำว่า อยากจะกรองสายเลือดเพื่อกลายเป็นร่างของหงส์วิเศษเช่นบรรพบุรุษอีกครั้งหรือไม่ พญาปักษาชิงเหนี่ยวเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ก็ผละจากสำนักเมฆาโลหิต มุ่งหน้าไปยังแดนตะวันตก
ไม่มีใครสงสัยว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีความสามารถทำได้หรือไม่ คล้ายกับขอแค่เขาเอ่ยปาก ก็ทำให้ทุกคนเชื่อก่อนแล้ว
เยี่ยนจ้าวเกอบอกว่าต้องการพบเหออิ่ง ลูกศิษย์หญิงของสำนักเมฆาโลหิต
หลังจากพญาปักษาจากไป ต่อให้สำนักเมฆาโลหิตไม่ยินยอม เมื่อเชิญหน้ากับเจ้าสำนักเขามังกรเขียวและเจ้าสำนักอัสนีคำรนที่มาด้วยตัวเอง ก็ได้แค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หากยังดันทุรังต่อ สุดท้ายได้แต่ถูกทำลายสำนัก
หลายคนรู้สึกไม่ชิน แต่ก็ต้องยอมรับ โลกลอยน้ำที่ตนอาศัยอยู่มาหลายปีเกิดการเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน
ในขณะที่คลื่นลมมรสุมก่อตัวขึ้นด้านนอก ที่ภูเขาหิมะสะพานหยก ในศาลพบรรบุรุษของสำนักกระเรียนหิมะ เยี่ยนจ้าวเกอนั่งขัดสมาธิอยู่ในมิติต่างพบขนาดเล็ก
ใจกลางภูเขาขนาดยักษ์ตรงหน้า มีกระจกทรงกลมครึ่งใบติดอยู่ในร่องที่ว่างอยู่ครึ่งหนึ่ง บัดนี้ในตำแหน่งที่ว่างอยู่ครึ่งหนึ่งนั้น มีกระแสน้ำไหลเข้าไปสะสมอย่างต่อเนื่อง ใกล้จะเต็มแล้ว
แสงของน้ำนั้นคล้ายกับกระจก รวมตัวกับกรระจกทรงกลมครึ่งบาน ปรากฏภาพภาพหนึ่งขึ้นมา
ภาพเลือนราง ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
เยี่ยนจ้าวเกอหลับตานั่งตัวตรง กำหนดลมหายใจอย่างเชื่องช้า ในอากาศรอบๆ ตัว ลอยไว้ด้วยหยกสีขาวบริสุทธ์มากมาย
หยกขาวเหล่านี้มีแสงจางสว่างวาบ แล้วค่อยๆ กลายเป็นละอองแสงชั้นหนึ่ง ครอบคลุมเยี่ยนจ้าเกอเอาไว้
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองละอองแสงเบื้องหน้าด้วยดวงตาเป็นประกาย
ในความเลือนราง ลายแสงหลายสายสว่างขึ้นอีกครั้ง เกาะเกี่ยวกันกลายเป็นภาพประหลาดมากมาย ดูเหมือนพิลึกกึกกือ แต่กลับคล้ายกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน
‘เลิศล้ำจริงๆ แกนศิลาวิญญาณชั้นยอดบรรจุกฎเกณฑ์ของฟ้าดินไว้มากมาย’ เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย ในม่านตาทั้งสองข้างคล้ายมีแสงหลายสายสว่างวาบขึ้นสะท้อนกับภาพตรงหน้า
แสงวิญญาณอันเจิดจ้าปรากฏเหนือศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นปรากฏการณ์ของจริง
ในความโกลาหลก่อเกิดเมล็ดกฎเกณฑ์อันลี้ลับออกมา เมล็ดยืดรากและแตกหน่อ เติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้นกล้าต้นนั้นค่อยๆ งอกใบอ่อนออกมา
หนึ่งใบ สองใบ สามใบ…จนกระทั่งถึงเก้าใบ
บนใบวิญญาณเก้าใบ มีลวดลายแตกต่างกัน และแฝงกฎเกณฑ์อันลี้ลับอันหลากหลาย ทำให้คนชมดูอย่างเพลิดเพลิน
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเบาๆ สีหน้าสงบและผ่อนคลาย
ใบอ่อนสั่นไหวครั้งหนึ่ง ม้วนความโกลาหลที่คล้ายกับดินปลูกเบื้องล่างขึ้นมา ทำให้มิติรอบๆ เกิดการบิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่อง
ด้านล่างปั่นป่วนชนิดฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ แต่ใบวิญญาณเก้าใบที่อยู่ข้างบนกลับสงบและไม่สั่นไหว ใบอ่อนใบที่สิบงอกออกมาแล้ว
หลังจากใบวิญญาณใบที่สิบงออกออกมา ความโกลาหลเบื้องล่างก็พลันสงบลง
เหนือใบวิญญาณใบนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีเส้นสายใดๆ ทั้งสิ้น
เพียงแต่ความว่างเปล่านี้ดูคล้ายกฎเกณฑ์แห่งความลี้ลับอีกอย่างหนึ่ง
‘หืม ขั้นกำเนิดญาณระยะกลาง ช่างสงบยิ่งนัก’ เยี่ยนจ้าวเกออดยิ้มไม่ได้ ส่ายศีรษะเล็กน้อย ‘แต่ว่า ใบไม้ทั้งสิบใบมีประโยชน์เต็มเปี่ยมก็ประเสริฐ’
หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอใช้ความคิด แสงวิญญาณเหนือศีรษะก็หายไป คนกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่มีอันใดผิดปกติ
เขายื่นมืออก แกนศิลาวิญญาณชั้นยอดลอยกลางอากาศ กลายเป็นลำแสงสีขาวหลายสาย พุ่งสู่ฝ่ามือทั้งหมด
เยี่ยนจ้าเกอเก็บแกนศิลาวิญญาณชั้นยอด จากนั้นก็ผุดลุกขึ้น พร้อมกับมองผิวกระจกบนเขารวมกับผิวน้ำกลายเป็นหนึ่งเดียว
“นายน้อย มีแกนศิลาวิญญาณชั้นยอดอีกชุดมาถึงแล้ว” ด้านนอกมิติต่างภพมีเสียงของซูอวิ๋นดังมา
ถึงแม้ว่าจะเป็นแดนต้องห้ามของสำนักกระเรียนหิมะ แต่หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากเยี่ยนจ้าวเกอ แม้จะเป็นตัวซูอวิ๋นก็เข้ามาไม่ได้ ได้แต่กระซิบกับเยี่ยนจ้าวเกออยู่ในศาลบรรพบุรุษ
“นอกจากนี้ เจ้าสำนักหลัวพาแม่นางเหออิ่งจากสำนักเมฆาโลหิตกลับมาแล้ว”
ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เดินออกจากมิติต่างภพ ถามซูอวิ๋นว่า “ท่านน้าซู พวกเขาอยู่ที่ห้องรับแขกหรือ”
ซูอวิ๋นพยักหน้า เยี่ยนจ้าวเกอมุ่งหน้าไปที่ห้องรับแขกทันที
เมื่อถึงห้องรับแขก ก็เห็นหลัวจิ่งฮ่าวกับเจ้าสำนักอัสนีคำรนสองผู้มีอำนาจรออยู่ที่นั่น ทันทีที่เห็นเยี่ยนจ้าวเกอมาถึง ทั้งสองก็ส่งเสียงพร้อมกัน “โชคดีที่ไม่ทำให้ท่านผิดหวัง”
เยี่ยนจ้าวเกอมองไป เห็นด้านหลังคนทั้งสอง ยืนไว้ด้วยสตรีที่มีสีหน้าเซื่องซึมนางหนึ่ง
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ นางก็เงยหน้าขึ้นสบตาเขา
เขาเห็นความดื้อรั้น ความโศกเศร้า และความเคียดแค้นในดวงตาทั้งสองของนาง
ถูกสำนักของตนเองทอดทิ้ง จากนั้นก็ถูกคนส่งมาอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มที่ต้องการพบตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสตรีนางไหนก็คงไม่พอใจนัก
พวกเฟิงอวิ๋นเซิงได้รับข่าว ก็พากันมาถึงด้วยความสนใจ หลังจากพบสตรีนางนั้นแล้ว ต่างก็มองหน้ากันเองในทันที
“เหมือนกับศิษย์น้องซือคงจริงๆ” สวีเฟยกระซิบกับเฟิงอวิ๋นเซิง
เฟิงอวิ๋นเซิงขมวดคิ้ว “อายุใกล้เคียงกับศิษย์พี่ซือคงด้วย”
เทียบกับพวกเฟิงอวิ๋นเซิง เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่ที่เคยพบโอวหยางฉีและฉางนิ่งมาก่อน ล้วนใจเย็นกว่ามาก
เยี่ยนจ้าวเกอมองสตรีที่เหมือนกับซือคงจิงราวกับแกะ เพียงแค่เปลี่ยนมาใส่เครื่องแต่งกายของลูกศิษย์สำนักเมฆาโลหิตเบื้องหน้า เอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบว่า “ที่ตามเจ้ามา ก็เพื่อจะทดลองเรื่องบางเรื่อง ไม่มีอันตราย เรื่องที่บอกได้ในตอนนี้คือจะไม่ทำให้เจ้าเสียสิ่งใด เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เจ้าพักผ่อนอย่างวางใจเถอะ”
“แต่ว่าเจ้าไม่ต้องคิดกลับไปยังสำนักเมฆาโลหิตแล้ว”
เหออิ่งเงียบงันลง นางฟังออกว่า เยี่ยนจ้าวเกอเพียงแค่แจ้งให้ทราบเท่านั้น มิได้ปรึกษากับนาง
เขามองเหออิ่งที่เงียบงัน พลางลูบคางของตัวเอง ในใจรู้สึกขบขัน ‘ข้ากลายเป็นราชาปีศาจไปแล้วจริงๆ’