ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 537 ถามต่อหน้า
เยี่ยนจ้าวเกอค่อยๆ พาสือจวินกับเฉินอิ๋งเหาะออกจากน่านน้ำของทะเลตาข่ายดาว
ในตอนที่เหาะอยู่นั้น ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปพลาง แบ่งสมาธิส่วนหนึ่งมาอยู่ที่คานวังเทพที่เพิ่งได้มาไปพลาง
เมื่อมีร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่แข็งแกร่ง และเสาระเบียงวังเทพคอยช่วยเหลือ การหลอมคานวังเทพของเขาจึงง่ายขึ้นมาก
ขณะทำความเข้าใจกับลวดลายอาคมอันลี้ลับมากมายบนคาน เยี่ยนจ้าวเกอก็ได้ประโยชน์ไม่น้อย ทั้งยังทำให้นึกถึงความทรงจำที่ซ่อนไว้ในส่วนลึกที่สุด
เป็นควาทรงจำที่เกี่ยวข้องกับก่อนมหาภัยพิบัติ
หลังจากออกจากทะเลตาข่ายดาวแล้ว จิตใจของเยี่ยนจ้าวเกอก็ได้สติ ขณะเดียวกันร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกก็ใช้ความสามารถในการรับรู้ทั้งหมดของตนถึงขีดสุด เริ่มต้นเสาะหาบริเวณรอบๆ
ไม่ทันไร กลิ่นอายอันแข็งแกร่งหลายสายก็ปรากฏขึ้นห่างออกไป ดูโดดเด่นเช่นประภาคารที่กำลังส่งสัญญาณ
เยี่ยนจ้าวเกอปรับทิศทาง เคลื่อนไหวไปทางนั้นทันที
ไกลออกไป เกาะน้อยแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นบนที่ที่ฟ้าดินเชื่อมติดกัน
เยี่ยนจ้าวเกอกับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกไปถึงบนเกาะในชั่วพริบตา เห็นบนเกาะแบ่งเป็นค่ายที่แตกต่างกัน ยังมีคนจำนวนมากรออยู่ที่นั่น
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้รู้จักคนบนโลกผืนสมุทรทุกคน แต่ยังดีที่รู้จักสัญลักษณ์บนเสื้อผ้าของแต่ละสำนัก
นอกจากคนของเขาหงส์วิเศษและสำนักมังกรโลหิตแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอกวาดตามองไป เห็นว่าคนของวังผลึกวารี บึงหมื่นกระบี่ เกาะจิตประสาน สำนักคืนวิญญาณ และสำนักพายุโหมล้วนอยู่ที่นี่
เจ็ดกลุ่มฝ่ายธรรมมะต่างมากันครบครัน
ลูกศิษย์ที่เป็นแขกของเขาหงส์วิเศษลักพาตัวลูกศิษย์หญิงทั่วไปของสำนักมังกรโลหิต ยังมิอาจก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้
แต่ถ้าหากสตรีที่ถูกลักพาตัวไปเป็นธิดาของเจ้าสำนักมังกรโลหิต ขณะเดียวกันยังได้สังหารหลานของเหนียนเชิน ซึ่งถูกจัดเป็นอันดับสามในยอดฝีมือระดับบรรลุธรรมสิบอันดับแรก นี่ก็มิใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว
ดูว่าเขาหงส์วิเศษจะยังช่วยสือจวินหรือไม่ ถ้าหากยังเข้าข้าง เช่นนั้นการต่อสู้ระหว่างสองสำนักระดับสูงของฝ่ายธรรมมะก็จะเกิดขึ้น
ครั้นคนบนเกาะเห็นเยี่ยนจ้าวเกอกับร่างสมุทรสุดขอบโลก ส่วนใหญ่ต่างรู้สึกงงงัน
คนจากสำนักมังกรโลหิตต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่ง
พวกเขาทราบข่าวการต่อสู้ระหว่างเยี่ยนจ้าวเกอกับเหนียนเชินแล้ว แต่กลับยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มเจอสือจวินกับเฉินอิ๋งก่อน
สวีเฟยบอกว่าได้ที่อยู่ของสือวินมาแล้ว จึงเรียกรวมทุกคนมารออยู่ที่นี่ กล่าวว่าอีกเดี๋ยวสือจวินจะปรากฏตัว
เมื่อห็นสวีเฟยมีความมั่นใจเช่นนี้ จอมยุทธ์สำนักมังกรโลหิตก็คิดในใจว่า หากเยี่ยนจ้าวเกออยู่ใกล้ๆ ผลลัพธ์สมควรเป็นผลลัพธ์ที่ย่ำแย่ถึงขีดสุด
การติดต่อสื่อสารในทะเลตาข่ายดาวไม่สะดวกมากนัก เหนียนเชินกับเฉินซื่อเฉิงเมื่อได้รับข่าว ก็กำลังรีบมายังที่นี่ในทันที
ขณะมองเยี่ยนจ้าวเกอกับร่างสมุทรสุดขอบโลกที่ลงมาจากฟากฟ้า คนของสำนักมังกรโลหิตก็รู้สึกกดดันเล็กน้อย
คนจากสำนักอื่นเห็นเยี่ยนจ้าวเกออยู่กับสือจวินด้วยกัน ในใจถึงได้เข้าใจ เกิดความคิดเหมือนกับเหนียนเชินและเฉินซื่อเฉิง ‘คนผู้นี้ถึงกับออกหน้าเพื่อสือจวินด้วยตัวเอง ความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องไม่ธรรมดาแน่!’
‘เรื่องนี้เกรงว่ายากจะเลิกราแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอผู้นี้ถ้าหากตั้งใจปกป้องสือจวินโดยไม่แยกแยะเขียวแดงดำขาว[1] ต่อให้เขาหงส์วิเศษกับวังผลึกวารีไม่ออกหน้า เหนียนเชินคิดแก้แค้นก็ไม่ง่ายนัก’
เยี่ยนจ้าวเกอเหาะลงถึงพื้น กวาดตามองรอบๆ ไม่ได้กล่าวอะไร ทุกคนล้วนจิตใจสั่นสะท้าน
สวีเฟยเห็นเยี่ยนจ้าวเกอพาสือจวินกับเฉินอิ๋งมาด้วย เขาพลันระบายลมหายใจโล่งอก
ชายหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่สวี ดีที่ไม่ทำท่านผิดหวัง ในที่สุดก็พาจวินเอ๋อร์กลับมาโดยสวัสดิภาพ”
สือจวินคำนับสวีเฟยก่อน “ท่านอาจารย์ ข้าทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว”
ฝ่ายสวีเฟยส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร แต่เป็นผู้อาวุโสทุกท่านที่อยู่ที่นี่วิ่งวุ่นช่วยเจ้า สร้างความลำบากให้ทุกคนแล้ว”
หลังจากสือจวินคำนับสวีเฟยเสร็จ ก็ขออภัยทุกคนในเขาหงส์วิเศษ ทุกคนเพียงส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร จากนั้นสายตาก็เคลื่อนไปมาระหว่างสือจวินกับเฉินอิ๋ง
ยอดฝีมือมหาปรมาจารย์สำนักมังกรโลหิตยามนี้ส่งเสียงอย่างเย็นชา “ลูกศิษย์ท่านกลับมาโดยปลอดภัย สำนักเรามีศิษย์ตายด้วยน้ำมือเขาไปตั้งเท่าไร!”
เขามองสือจวิน “ขืนใจลักพาตัว เลวทรามถึงขีดสุด เขาหงส์วิเศษกลายเป็นดินแดนที่ซ่อนสิ่งสกปรกเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
“หรือว่าอาศัยการช่วยเหลือจากภายนอก คิดสยบใต้หล้า ประพฤติตามใจชอบ?”
จอมยุทธ์เขาหงส์วิเศษขมวดคิ้ว “เจ้าว่ากระไร?”
เยี่ยนจ้าวเกอแค่นหัวเราะไม่พูดจา สวีเฟยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เสนอขึ้นว่า “ขาวหรือดำ มีเหตุผลหรือไม่มี ต้องสอบถามก่อน มิใช่อาศัยลมปากของท่านก็กำหนดโทษได้”
จอมยุทธ์สำนักมังกรโลหิตผู้นั้นยังไม่ทันได้พูดต่อ สตรีวัยกลางคนที่เคยไปเยี่ยมเยียนเขาหงส์วิเศษก็ยกมือขึ้นห้ามสหายของตน สายตากวาดมองเฉินอิ๋ง สือจวิน สวีเฟย สุดท้ายหยุดอยู่บนตัวเยี่ยนจ้าวเกอ
“ผู้เกี่ยวข้องในตอนนั้นอยู่ที่นี่แล้วสองคน ทุกคนสามารถถามต่อหน้าได้” ผู้อาวุโสหญิงของสำนักมังกรโลหิตผู้นี้ค่อยๆ กล่าวว่า “แต่ช่วยส่งลูกศิษย์ของสำนักข้าคืนมาก่อนได้หรือไม่ หรือท่านคิดจะจับคนไว้?”
เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้ากลัวว่าจะมีคนปิดบังความละอาย ฆ่าคนปิดปาก”
ถึงแม้คนในสำนักมังกรโลหิตจะเกรงกลัวบารมีของเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ในตอนนี้ต่างพากันถลึงตาด้วยความโมโห
ชายหนุ่มกลับยิ้มอย่างไม่สนใจ “ข้าปล่อยนางกลับไป ถ้านางเกิดเรื่องขึ้น พวกท่านจะฉวยโอกาสใส่ความข้าต่อทันที เรื่องเช่นนี้สำนักท่านถนัดนัก ดังนั้นข้าคิดว่าแม่นางผู้นี้อยู่กับข้าจะปลอดภัยกว่า”
ผู้อาวุโสหญิงผู้นั้นสูดลมหายใจลึก “มีการข่มขู่ของท่าน อิ๋งเอ๋อร์จะบอกกล่าวความจริงได้อย่างไร?”
เขาหันไปมองเฉินอิ๋ง นางมีใบหน้าซีดขาว กล่าวเสียงเบาว่า “นางคืออาจารย์ของข้า…”
ถึงแม้จะเป็นธิดาของเฉินซื่อเฉิง แต่ว่าเฉินซื่อเฉิงรับตำแหน่งเจ้าสำนัก มีภารกิจรัดตัว ดังนั้นเฉินอิ๋งจึงกราบเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหญิงผู้นั้นเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็ยิ้มอย่างเรียบเฉย โบกมือเล็กน้อย
เฉินอิ๋งพยักหน้าขอบคุณ ก่อนจะเดินไปหาอาจารย์ของตน จอมยุทธ์สำนักมังกรโลหิตเห็นดังนั้นก็ถอนใจคำหนึ่ง
ยอดฝีมือจากสำนักต่างๆ ที่อยู่โดยรอบตั้งใจสำรวจเฉินอิ๋ง ไม่รู้ว่าจอมยุทธ์สำนักมังกรโลหิตไม่มีความคิดพวกนี้จริงๆ หรือว่าบารมีของเฉินซื่อเฉิงส่งผลกระทบ หรือว่าไม่อาจลงมือภายใต้สายตาของคนหมู่มาก เอาเป็นว่าเฉินอิ๋งยังคงไม่เป็นไร
สือจวินเห็นดังนั้นก็ระบายลมหายใจโล่งอก มีคนที่มองสือจวินอยู่โดยตลอด ครั้นเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่ม ในใจก็เริ่มเกิดความคิดขึ้น
ผู้อาวุโสของเขาหงส์วิเศษที่เป็นผู้นำในครั้งนี้ถามขึ้น “ทุกคนได้ยินคำบอกเล่าของสำนักมังกรโลหิตมามากแล้ว สือจวิน ตอนนี้พวกเราอยากฟังคำอธิบายของเจ้า เรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่”
สือจวินพยักหน้า กล่าวเสียงใส “ในวันนั้น ข้ามีโอกาสเจอสมุนไพรวิญญาณต้นหนึ่งโดยบังเอิญบนเกาะแห่งนี้”
เขาบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ระหว่างนี้มีจอมยุทธ์สำนักมังกรโลหิตบางคนอดกลั้นไม่ไหวอยู่หลายครั้ง ถลึงตามองเขาด้วยความโกรธ คิดเปิดปากด่าทอ
แต่ว่าทุกครั้งเยี่ยนจ้าวเกอจะใช้สายตาเย็นชากวาดมองมา ทำให้สันหลังของเขาเย็นวาบ ต้องกลืนคำด่าที่มาถึงมุมปากกลับไป
เรื่องที่สือจวินเล่าย่อมเป็นคนละขั้วกับคำบอกเล่าของสำนักมังกรโลหิต ทั้งสองฝ่ายไปคนละทางกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อสือจวินเล่าจบอย่างยากเย็น เยี่ยนจ้าวเกอไม่ขัดขวางอีก มีจอมยุทธ์สำนักมังกรโลหิตตะคอกว่า “ไร้สาระทั้งเพ! เหนียนเหว่ยกับเฉินอิ๋งเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่[2] เหนียนเหว่ยเป็นห่วงเป็นใยเฉินอิ๋งมาโดยตลอด จะขืนใจนางได้อย่างไร?”
เยี่ยนจ้าวเกอถามอย่างราบเรียบ “โอ้ เรื่องราวเป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? ข้าเคยได้ยินมาว่าถึงแม้ประมุขตระกูลของทั้งสองฝ่ายจะมีความคิดเช่นนั้น แต่ว่าคนหนุ่มสาวทั้งสองยังมิได้แต่งงาน ไหนเลยจะรู้ว่าไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งไม่ได้ดังหวัง สุดท้ายจึงอับอายกลายเป็นโทสะ?”
ผู้อาวุโสสำนักมังกรโลหิตคนนั้นกลั้นหายใจเล็กน้อย กล่าวต่อ “เจ้าสำนักคนเก่ากับเจ้าสำนักคนปัจจุบันกำหนดการแต่งงานให้ทั้งสองคนไว้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในสำนักรู้ ท่านเป็นคนนอกจะรู้อะไร?”
จอมยุทธ์สำนักมังกรโลหิตคนอื่นเริ่มสนับสนุน แต่ว่าสายตาของพวกเขาอดชำเลืองมองไปทางเฉินอิ๋งไม่ได้
สายตาของคนอื่นที่อยู่รอบๆ ตอนนี้รวมตัวกันบนร่างของเฉินอิ๋งเช่นกัน
……………………………………….
[1] ไม่แยกแยะเขียวแดงดำขาว หมายถึง ไม่ถามไถ่สาเหตุเรื่องราว
[2] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง เพื่อนในวัยเด็ก