ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 548 ซ้ำเติม
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ ทุกคนต่างก็งงงัน ครั้นลองแยกแยะทิศทางที่กำลังใช้ในปัจจุบัน ในใจต่างสั่นไหวเล็กน้อย ‘ถ้าไปทางนี้จากทะเลตาข่ายดาว…’
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเรียบๆ ว่า “ปราชญ์ปีศาจลิ่นเชียนเฉิงเป็นคนที่ค่อนข้างฉลาด เทียบกับการทำอะไรตามนิสัยแล้ว เขาจะคำนึงถึงผลได้ผลเสียมากกว่า”
“อย่างน้อย ก่อนที่พลังของเขาจะสยบโลกผืนสมุทรได้ตามใจ เขาจะระมัดระวังตัวกว่าเดิม ดูว่าอะไรมีประโยชน์ที่สุด”
“ข้าขัดแย้งกับเขา มีเหนียนเชินกับนิ้วมังกรทั้งเก้าจากสำนักมังกรโลหิตเป็นคนนำ เขากลับไม่เลือกลงมือ เพราะไม่มีความมั่นใจว่าจะจัดการข้าได้” เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งมองไปยังที่ไกล ทางหนึ่งกล่าว “เขาจึงไม่ได้มาทางทะเลตาข่ายดาว”
ด้วยนิสัยของลิ่นเชียนเฉิง ในการร่วมมือกันระหว่างเขา สำนักสังหารมังกร และเกาะวิญญาณหลอน ย่อมต้องมีของที่ดึงดูดเขา
แต่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าแม้จอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะจะไม่อยู่เพราะมีข้อพิพาทกับเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ก็มิได้ถูกทำลายง่ายขนาดนั้น
แต่หากคนในฝ่ายมารทำลายฝ่ายธรรมะได้จริงๆ ลิ่นเชียนเฉิงจะได้อะไรบ้าง?
หากได้อาวุธศักดิ์สิทธิ์กระบี่ล่องลอยหรือนิ้วมังกรทั้งเก้าย่อมเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ลิ่นเชียนเฉิงจะต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งระหว่างสำนักสังหารมังกรและเกาะวิญญาณหลอน
เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะเอาชนะยอดฝีมืออันดับหนึ่งบนโลกลอยน้ำ จ้าวจ้ง ‘สังหารเจ็ดทะเล’ รวมถึงลิ่วซั่วที่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ตลับวิญญาณหลอนอยู่ในมือได้?
ลิ่นเชียนเฉิงต้องเผชิญกับปัญหาหนึ่ง ก็คือช่วงเวลาอ่อนแอของเขาใกล้จะมาถึงแล้ว
ถึงเวลานั้นไม่ถูกคนอื่นเอาเปรียบก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว
หลังจากฝ่ายธรรมะถูกทำลาย ต่อจากนั้นลิ่นเชียนเฉิงจะทำให้ทุกคนศิโรราบในการตัดสินของผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักฝ่ายมารซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างไร?
เมื่อเวลามาถึง ความเป็นไปได้ที่เจ้าสำนักปราชญ์ปีศาจผู้นี้จะสวามิภักดิ์คนอื่นมีสูงมาก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การโจมตีเพื่อกวาดล้างฝ่ายธรรมะในครั้งนี้จึงเป็นโอกาสที่ส่งผลดีต่อฝ่ายมารจริงๆ แต่ลิ่นเชียนเฉิงไม่ได้รับอะไรเท่านั้น เขามาร่วมมือกับเหนียนชินโจมตีข้าที่ทะเลตาข่ายดีกว่า”
เยี่ยนจ้าวเกออธิบาย “ในเมื่อละทิ้งโอกาสนี้ไปแล้ว เช่นนั้นการร่วมมือกับยอดฝีมือพรรคมารคนอื่นก็ได้แต่ปิดบังหน้าฉาก อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขา”
“ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด การเพิ่มระดับตัวเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเร่งด่วนที่สุด”
“ถ้าหากว่าลิ่นเชียนเฉิงมีความมั่นใจ และโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ที่คนอื่นไม่รู้ เช่นนั้นเขาจะต้องมีวิธีคว้าโอกาสนี้ไว้ เพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเองแน่”
ฟังถึงตรงนี้ ทุกคนก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว “ทะเลรางเลือน!”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นทะเลรางเลือน ครั้งก่อนเนื่องจากถูกข้ากับเจ้าสำนักบึงหมื่นกระบี่ก่อกวน ครั้งนี้เหนียนเชินหาเรื่องข้า วังผลึกวารีร่วมมือกับบึงหมื่นกระบี่ต่อสู้กับสำนักสังหารมังกรและเกาะวิญญาณหลอน ไม่มีใครรบกวนเขาพอดี”
“นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่เขาจะไปเอาของวิเศษในทะเลรางเลือน ทั้งง่ายดายและมีความเป็นไปได้ เมื่อได้ของวิเศษมา ย่อมก่อให้เกิดผลประโยชย์อย่างแท้จริง ใช้เพิ่มพลังตัวเอง สั่งสมความได้เปรียบเพื่อเผชิญกับผู้อื่นในวันหน้า”
เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าสงบนิ่งยิ่ง ทว่าคนอื่นกลับรู้สึกหวาดหวั่น
ปราชญ์ปีศาจลิ่นเชียนเฉิง ครั้งนี้เกรงว่าจะคำนวณพลาดเสียแล้ว
นอกจากเยี่ยนจ้าวเกอจะรู้ถึงทิศทางของลิ่นเชียนเฉิง มุ่งหน้าไปยังทะเลรางเลือนหลังจากจัดการพวกเหนียนเชินโดยไม่หยุดพัก ในขณะเดียวกันก็เพราะว่า การต่อสู้ของทั้งสองก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเสียเวลามากเกินไป
นี่เกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัยของเยี่ยนจ้าวเกอ ลงมือดุดันเด็ดขาด แม้จะเจอคู่ต่อสู้ที่มีพลังฝึกปรือใกล้เคียงกัน ก็มักจะกำหนดผลแพ้ชนะและความเป็นความตายได้ในเวลาสั้นๆ
เขามักจะชนะในเวลาชั่วสั้นๆ ดุจประกายไฟดับมอด ถ้าหากกำหนดชัยชนะได้ ก็จะเป็นเวลาทำลายล้าง ไม่มีการต่อสู้พัวพัน
ถึงจะดูไม่ใส่ใจ แต่ความอันตรายมีแต่คนที่โดนเท่านั้นที่รู้
ดังนั้นเวลาเยี่ยนจ้าวเกอลงมือกับคนอื่น ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่บาดเจ็บก็ต้องเสียชีวิต
รูปแบบวรยุทธ์เช่นนี้ไม่มั่นคงพอ กระนั้นหากเจอคู่ต่อสู้ที่รับมือตนไม่ได้ ย่อมได้เปรียบมากกว่า และมีผลการต่อสู้ชนิดบดขยี้ง่ายกว่า
เยี่ยนจ้าวเกอเคลื่อนไหวอย่างอดทนได้เช่นกัน แต่นิสัยของเขาไม่ชอบวิธีการต่อสู้ที่ค่อยเป็นค่อยไป และระมัดระวังตัวเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยใช้
ตอนที่พวกเยี่ยนจ้าวเกอเข้าใกล้ทะเลรางเลือน ก็มีจอมยุทธ์ที่เข้าออกทะเลแห่งนี้อยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่าเกิดความผิดปกติภายในทะเล
ครั้นทุกคนมาถึง ต่างก็ระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก
การคำนวณของเยี่ยนจ้าวเกอถูกต้อง
‘เหตุใดความรู้สึกนี้เหมือนลมปราณมังกรนัก’ เยี่ยนจ้าวเกอมองหมอกหนาของทะเลรางเลือนเบื้องหน้าที่พลิกตัวอย่างต่อเนื่อง เมฆหมอกด้านในค่อยๆ พร่าเรือนยิ่งขึ้น มีความน่าเกรงขามอันยิ่งใหญ่ลอยออกมา
พลังของมังกรน้ำแข็งในจุดลมปราณทั่วร่างของเยี่ยนจ้าวเกอที่ยังหลอมรวมไม่หมด ในตอนนี้เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง ถูกกระตุ้นยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าจะเข้าไปด้านใน ทุกท่านคอยล้อมอยู่ด้านนอก เรื่องในวันนี้เป็นการต่อสู้ตัดสินของลิ่นเชียนเฉิง ยามปกติสำนักปราชญ์ปีศาจของเขาชอบทำตัวเป็นแมวไร้ร่องรอย ครั้งนี้อาจจะเคลื่อนไหว”
จอมยุทธ์ฝ่ายธรรมะคนอื่นที่ตามเยี่ยนจ้าวเกอมาต่างก็เข้าใจดี
เยี่ยนจ้าวเกอมองสวีเฟยกับสือจวิน ทั้งสองพยักหน้าให้กับเขา ชายหนุ่มจึงพาร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก ก้าวเข้าไปในเมฆหมอกของทะเลรางเลือน
เมฆหมอกเบื้องหน้านี้หนากว่าตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอเข้ามายังทะเลรางเลือนเป็นครั้งแรกเมื่อมาถึงโลกผืนสมุทรได้ไม่นาน
ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไร เมฆหมอกก็ยิ่งหนาตัวขึ้น มีเสียงร้องของมังกรดังมาอย่างเป็นครั้งคราว
เยี่ยนจ้าวเกอเดินทางอยู่ด้านใน รู้สึกคล้ายกับมีมังกรจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังหายใจอยู่ท่ามกลางหมอก
‘อืม หรือว่าสิ่งที่ลิ่นเชียนเฉิงผู้นี้ตามหา จะเป็นแดนฝังกระดูกที่มังกรลอดวารีในตำนาน’ เยี่ยนจ้าวเกอเห็นจึงเริ่มคาดเดาในใจ
บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีดำที่ถูกบันทึกในเงาแสงของคานวังเทพ สุดท้ายไปแล้วไม่กลับ ไม่ทราบไปยังที่ใด
ไม่ทราบว่ามีเรื่องด่วนจึงกลับโลกซ้อนโลก หรือว่าฝังร่างอยู่บนโลกผืนสมุทร
แต่เมื่อครู่เยี่ยนจ้าวเกอลองถามจอมยุทธ์โลกผืนสมุทรคล้ายไม่ได้ตั้งใจ ส่วนใหญ่ล้วนบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อบุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์สีดำมาก่อน
บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์ดำซ่อนร่องรอยเป็นเรื่องที่อยู่ดังคาด ถ้าหากเขาตายในโลกผืนสมุทร เช่นนั้นสมควรไม่ตายอยู่ด้านนอก แต่เสียชีวิตลงใดแดนลี้ลับที่คนอื่นหาไม่พบ
แดนฝังกระดูกของฝูงมังกรลอดวารีมีความเป็นไปได้มากที่สุด
หากดูจากมุมมองของสสารในโลกผืนสมุทร สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอสนใจมากที่สุดก็คือดินแดนในตำนานแห่งนี้
ขณะเดินทาง ดวงตาของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกสาดประกายเจิดจ้า จากนั้นก็พาเยี่ยนจ้าวเกอพุ่งออกไป
เมฆหมอกถูกฉีกกระชาก ในอากาศยังไม่มีสิ่งใด
แต่ว่าร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกกลับต่อยหมัดใส่ความว่างเปล่า
หมอกด้านในบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ก่อนจะกลายเป็นสีดำราวกับถูกย้อมด้วยหมึกดำ
เป็นปราชญ์ปีศาจลิ่นเชียนเฉิง!
หมัดของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกยังไม่ทันถูกตัวเขา ลมแรงก็พัดปะทะใบหน้า ร่างของลิ่นเชียนเฉิงซวดเซเล็กน้อย
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างสงบนิ่ง “วันนี้เป็นวันที่สิบเอ็ด ท่านอยู่ในช่วงเวลาอ่อนแอ พวกเราเป็นศัตรูมิใช่มิตร ข้าย่อมซ้ำเติมโดยไม่เกรงใจ ยอมรับเสียเถอะ”