ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 555 ความหวาดกลัวในจิตใจ
มงกุฎจันทราและการทดสอบแห่งจันทรา
หลังจากที่เฟิงอวิ๋นเซิงกราบเข้าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ชีวิตของนางก็มีความหมายแตกต่างไปจากเดิมเพราะเรื่องนี้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การชิงมงกุฎจันทรากลายเป็นเป้าหมายในชีวิตของเฟิงอวิ๋นเซิง และเป็นจุดสูงสุดที่ต้องไปให้ถึง
ถ้าเป็นเพียงแค่นี้ เช่นนั้นบางทีอาจไม่ต้องสลักไว้ในกระดูกหรือหัวใจขนาดนี้
แต่ว่าคนที่เคยผ่านการสูญเสีย เผชิญกับความล้มเลวครั้งแล้วครั้งเล่า จะมีความรู้สึกล้ำลึกกว่าเดิม
เฟิงอวิ๋นเซิงก็เป็นเช่นนี้ ในอดีตนางเป็นสตรีจันทราที่เหนือกว่าเมิ่งหวาน ความหวังในการช่วงชิงมงกุฎจันทราของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เดิมทีก็ฝากฝังไว้กับนาง
แต่เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้พลังแห่งจันทราในร่างของนางเกือบจะแห้งเหือด สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จำเป็นต้องให้เมิ่งหวานมาแทนที่
ในการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่หนึ่ง เมิ่งหวานที่ยังเด็กได้ต่อสู้กับเฉินซู่ถิงแห่งเมืองทะเลมรกต สุดท้ายขาดพลังอีกนิดเดียวจะชนะได้
ในตอนนั้นเฟิงอวิ๋นเซิงได้หลบหนีจากสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อมีคนในสำนักพูดถึงเรื่องนี้ก็ยังคงรู้สึกเสียดาย คิดเพียงว่าถ้าหากไม่เกิดอะไรขึ้นกับเฟิงอวิ๋นเซิง การทดสอบแห่งจันทราครั้งแรก มงกุฎจันทราจะต้องเป็นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ และไม่พ่ายแพ้อย่างน่าหวาดเสียวเช่นนี้
แต่สำหรับเฟิงอวิ๋นเซิงแล้ว พลังแห่งจันทราแห้งเหือด อีกทั้งยังถูกขับไล่เพราะทำร้ายเซียวเซิง ชีวิตที่เคยมีแต่แสงสว่างร่วงจากที่สูงไปยังก้นเหวในพริบตา
หลายปีมานี้บางครั้งเฟิงอวิ๋นเซิงก็คิดว่า ถ้าหากไม่มีอุบัติเหตุในครั้งนั้น ชีวิตของตนจะเป็นอย่างไร
บางทีอาจจะไปถึงเป้าหมายสำเร็จตั้งแต่แรก ยืนบนจุดสูงสุดจุดนั้น โดยสวมมงกุฎจันทราไว้บนศีรษะ อยู่เหนือกว่าเฟิงมู่เกอ ลูกศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็คงจะไม่มีเฟิงอวิ๋นเซิงลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิงในตอนนี้
และระหว่างตนกับเยี่ยนจ้าวเกอจะมีความสัมพันธ์อย่างไร
นิสัยของตนแข็งกระด้างและตรงไปตรงมายิ่งกว่าเมิ่งหวาน อาจจะเกิดความขัดแย้งกับเขาอย่างรุนแรงก็ได้กระมัง?
ขณะที่คิด เฟิงอวิ๋นเซิงอดยิ้มขึ้นไม่ได้ คล้ายกับเห็นเยี่ยนจ้าวเกอกะพริบตาให้นางปริบๆ ‘เด็กน้อยระวังไว้เถอะ คนอย่างข้าใจแคบ ศัตรูของข้าไม่มีจุดจบอันดี’
“ใช่แล้วๆ ข้ารู้ดี” เฟิงอวิ๋นเซิงพึมพำกับตัวเอง “ข้ายังรู้ด้วยว่าท่านเก่งกาจมาก มักทำให้คนตกใจ สามารถทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้
“ดังนั้นครั้งนี้ท่านก็จะกลับมาอย่างปลอดภัยใช่หรือไม่?”
“ท่านกลับมาแล้ว แต่ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพื่อวางแผนเตรียมจะทำให้ทุกคนตกใจอีกครั้งใช่หรือไม่?”
ในห้วงสมองของเฟิงอวิ๋นเซิงปรากฏร่างของเยี่ยนจ้าวเกอ เป็นคนที่ดูเหมือนไม่จริงจังผู้นี้ช่วยให้นางยืนขึ้นมาจากก้นเหว และมีโอกาสพุ่งสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง
ความจริงแล้ว ต่อให้พลังแห่งจันทราแห้งเหือดไป อาศัยพรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ์ของเฟิงอวิ๋นเซิง วันหน้านางจะต้องอยู่สูงแน่นอน
แต่ว่าการได้ของที่ตนเคยทนุถนอมแต่เสียไปกลับมาใหม่ ความรู้สึกที่ได้เห็นดวงตะวันอีกครั้งหลังจากความมืดหายไปก็น่าซาบซึ้งเป็นพิเศษจริงๆ
แต่ว่าตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอไปที่ไหน เป็นตายอย่างไรก็ไม่ทราบ
เฟิงอวิ๋นเซิงรู้สึกว่าตั้งแต่ตนเกิดมา หลายวันมานี้เป็นช่วงที่นางเป็นทุกข์ที่สุด
นางพลันคิดถึงคำพูดที่ฟูเอินซูผู้เป็นอาจารย์เคยพูดไว้ในอดีตอย่างไม่รู้สึกตัว
‘ตอนที่อยู่ด้วยกัน ยินดีที่จะอยู่กับอีกฝ่าย และเอาแต่คิดถึงอีกฝ่าย นี่ถือว่าปกติ’
‘แต่ถ้าหากยามใดพวกเจ้าแยกกันไป เจ้ากลับยังคงคิดถึงเขา ในตอนนั้นเจ้าจำเป็นต้องระวังให้ดี’
เฟิงอวิ๋นเซิงถอนใจเบาๆ เสียงหนึ่ง
ตอนนี้ตนมิได้มีปัญหาที่คิดถึงแต่คนผู้นั้นตลอดเวลาแล้ว
ก่อนหน้านี้แม้จะไม่เคยอำลากัน แต่ก็ไม่เหมือนกับครั้งนี้ ไม่มีข่าวคราวโดยสิ้นเชิง เป็นตายไม่ทราบ ทำให้ผู้คนไม่เห็นความหวัง ได้แต่ปลอบตัวเองอยู่ในใจ
“ศิษย์พี่เฟิง?” หลงเอ๋อร์โบกมือด้านหน้าเฟิงอวิ๋นเซองด้วยความประหลาดใจ
เฟิงอวิ๋นเซิงพลันได้สติ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า
ไม่ใช่ปัญหาที่คิดถึงคนคนหนึ่งตลอดเวลาแล้ว ตนไม่เคยคิดถึงใครบางคนจนเหม่อลอยเช่นนี้มาก่อน
ในสภาพแวดล้อมพิเศษ การอำลาที่ไม่รู้ว่าจะมีวันได้พบกันอีกหรือไม่ทำให้ความกลัวในใจของนางรุนแรงมากขึ้น ชัดเจนมากขึ้น สุดท้ายไม่อาจแก้ไข และไม่อาจมองข้ามได้อีก
เฟิงอวิ๋นเซิงมิได้ปฏิเสธ และมิได้เขินอาย
ที่มาของความกลัวในใจนี้ ในตอนแรกเป็นความซาบซึ้งที่เยี่ยนจ้าวเกอช่วยให้นางปีนสู่จุดสูงสุดได้ใหม่ ยังเป็นความชมเชยที่นางมีต่อความอัศจรรย์ทั้งหลายของเยี่ยนจ้าวเกอ หรืออาจจะเป็นความเดียวดายที่เยี่ยนจ้าวเกอเผยออกมาในบางครั้ง ที่ทำให้ทั้งประหลาดใจทั้งสงสาร นางไม่สนใจจะแยกแยะ
นางเพียงแต่รู้ว่า ความซาบซึ้ง ความปรารถนา ความสงสาร บางทีสิ่งเหล่านี้กำลังแตกหน่อ แต่สุดท้ายล้วนมิใช่ความรักที่แท้จริงๆ
เฟิงอวิ๋นเซิงไม่เคยเจอเรื่องราวระหว่างชายหญิง นางบรรยายไม่ได้ว่าความรู้สึกที่ตนมีต่อเยี่ยนจ้าวเกอใช่ความรักหรือไม่ เพียงแต่แน่ใจว่า ความซาบซึ้ง ความปรารถนา และความสงสารล้วนมิใช่
บางทีเมื่อก่อนอาจจะเป็นอารมณ์เหล่านี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ กลายเป็นความรู้สึกที่ทำให้นางกลัว
ระหว่างที่เดินอยู่กลางเขากว่างเฉิง นางเงยหน้าไปมองดวงจันทร์ที่ลอยอยู่ท่ามกลางราตรี
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่เงยหน้ามองแสงจันทร์ เฟิงอวิ๋นเซิงจะนึกถึงมงกุฎจันทรา
ตอนนี้มงกุฎนั้นเหมือนยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ตน แต่ครั้นมองแสงจันทร์อีกครั้งหลังกลับมาจากทะเลตะวันออก สิ่งที่เฟิงอวิ๋นเซิงนึกถึงกลับเป็นคำถามที่ว่า แสงจันทร์ในสถาที่ที่ตนยังไม่ทราบ คนคนหนึ่งเงยหน้าไปมองแล้ว จะเห็นแสงจันทร์เหมือนกันหรือไม่
เฟิงอวิ๋นเซิงมองแสงจันทร์อย่างเงียบงัน ดวงตาค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม
ความสำเร็จในการทดสอบแห่งจันทราเข้าใกล้มากขึ้นตามพลังของตนที่ยิ่งมายิ่งแข็งแกร่งขึ้น ถึงแม้จะเป็นเฟิงอวิ๋นเซิงก็คิดถึงผลได้ผลเสียอยู่บ้าง นี่เป็นความปกติของมนุษย์
แต่หลังจากกลับมาจากทะเลตะวันออก อารมณ์ชนิดนี้ก็ค่อยๆ หายไป
มงกุฎจันทรา ข้าต้องชนะ
ความคิดนี้ยิ่งมายิ่งรุนแรง รุนแรงจนกดอัดความคิดแง่ลบทั้งหมด
แต่ว่าเฟิงอวิ๋นเซิงที่มีความรู้สึกนี้รุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน กลับมีความคิดทำเพื่อตัวเองน้อยลงเรื่อยๆ
สิ่งที่เป็นแหล่งขับเคลื่อนของนางในตอนนี้ ก็คือสัญญาอย่างไร้เสียงกับคนอื่น
“ศิษย์น้องเฟิง?”
เฟิงอวิ๋นเซิงหันหน้ามองไปอย่างสงบนิ่ง เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ หันหน้าเข้าหานาง เป็นซือคงจิงและอิงหลงถู
คนที่เอ่ยทักทายคือจิ่งอวิ๋นจือ ด้านข้างนางยังมีพวกจ้าวหมิง ล้วนเป็นศิษย์ร่วมสำนักที่นางได้เจอในตอนที่เข้าสำนักแรก ต่างคุ้นเคยและมีความสัมพันธ์ระหว่างกันดี
ทุกคนคำนับซึ่งกันและกัน ก่อนจะสนทนาถึงสถานการณ์ในช่วงนี้ของแปดพิภพ
ทุกคนที่อยู่รอบๆ เป็นลูกศิษย์ของเขากว่างเฉิง ย่อมรังเกียจการหนีกลางคัน และการกลับดำเป็นขาวของตำหนักอัสนีสวรรค์ รวมถึงการแทงข้างหลังในตอนที่รับมือศัตรูภายนอกของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์
จ้าวหมิงแค่นเสียง “สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ชิงขวานจามสวรรค์ไปได้แล้วอย่างไร? ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ต้องคายออกมา”
“หากศิษย์น้องเฟิงชิงมงกุฎจันทรากลับมาได้ สถานการณ์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กับตำหนักอัสนีสวรรค์จะกลับตาลปัตรทันที รอจนผนึกที่ทะเลตะวันออกสำเร็จ ท่านเจ้าสำนักกลับมา จะเป็นเวลาคิดบัญชีกับพวกเขา!”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน ต่อให้หวงกวงเลี่ยกลับจากทะเลตะวันออกเหมือนกัน ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยนตี๋
ส่วนผู้อาวุโสม่อและเจ้าเมืองทะเลมรกตซ่งอู๋เลี่ยง ก็คงไม่เข้าข้างสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และตำหนักอัสนีสวรรค์เช่นกัน
จิ่งอวิ๋นจือมองเฟิงอวิ๋นเซิง “ศิษย์น้องเฟิง ช่วงนี้เจ้าตั้งใจฝึกฝน รักษาตัวให้ดี อย่าเดินทางไปด้านนอก เพื่อป้องกันไม่ให้คนซุ่มโจมตี”
เฟิงอวิ๋นเซิงพยักหน้า “ศิษย์พี่วางใจ ข้าทราบดี
“เพื่อเขากว่างเฉิง เพื่ออาจารย์ปู่ เพื่อท่านอาจารย์ เพื่อศิษย์พี่เยี่ยน ข้าต้องชนะ”