ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 587 กุมมือท่าน อยู่กันจนแก่เฒ่า
ในตอนนี้ ขณะที่จอมยุทธ์เขากว่างเฉิงที่ยังอยู่ในสำนักมองเยี่ยนจ้าวเกอที่ยืนอยู่บนหลังคุนบนท้องฟ้า บนใบหน้าก็ปรากฏความสั่นสะเทือนและความเคารพ
ก่อนหน้านี้ ตำแหน่งในสำนักของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ใช่สิ่งที่ลูกศิษย์รุ่นเยาว์จะเปรียบเทียบได้อีกแล้ว
ในจิตใจของทุกคน ตำแหน่งของเขายังสูงกว่าเหล่าผู้อาวุโสและเหล่าอาจารย์จำนวนมากในสำนักเสียอีก
ทว่าในตอนนั้นเป็นเพียงความเคารพเท่านั้น กลับแตกต่างจากตอนนี้ที่เหมือนกับมองดูเทพเจ้า มีความรู้สึกอยากจะหมอบกราบกราน
ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่หนึ่งคน จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามสองคน จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสองหนึ่งคน ทั้งยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์มากกว่าครึ่ง!
กองทัพที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดของแปดพิภพ ล้วนไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
ตามปกติแล้ว นี่เป็นขุมพลังที่สามารถกวาดล้างแปดพิภพได้อย่างไร้ข้อกังขา
ทว่าในตอนนี้กลับพ่ายแพ้เพราะเยี่ยนจ้าวเกอเพียงคนเดียว ความน่าอัศจรรย์เช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนตั้งแต่โลกแปดพิภพกำเนิดขึ้นมา!
นี่จะไม่ทำให้ลูกศิษย์เขากว่างเฉิงทุกคนตกตะลึงและเลื่อมใสได้อย่างไร?
พวกฟู่เอินซูประหลาดใจที่เขากลับมาเร็วถึงเพียงนี้ เหนือกว่าความคาดหมายของทุกคน
ทุกคนออกไปสังหารจอมยุทธ์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ต่อมากลับสำนัก ยังเสียเวลาไม่น้อย
แต่เยี่ยนจ้าวเกอผละจากนภาพิภพ มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเรืองรองที่อัคคีพิภพซึ่งอยู่ไกลออกไป โดยมีระยะห่างไม่ต่ำกว่าหมื่นลี้
ต่อให้เป็นฟู่เอินซูที่ทราบถึงความเร็วของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกก็ยังประหลาดใจ
กระนั้น เมื่อเห็นว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับมา ในใจของฟู่เอินซูก็บังเกิดความรู้สึกมั่นคงขึ้น
สำหรับนางที่มีนิสัยเด็ดเดี่ยวมาโดยตลอด นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจ ก่อนหน้านี้มีเพียงคนเพียงไม่กี่คนอย่างเช่นหยวนเจิ้งเฟิง และเยี่ยนตี๋ที่มอบความรู้สึกเช่นนี้ให้นาง
ฟู่เอินซูไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้กับผู้อาวุโส และมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมเช่นจางคุนและเหอหนิงมาก่อน
ตอนนี้กลับมีคนหนุ่มอายุไม่ถึงสามสิบปีคนหนึ่งมอบความรู้สึกเช่นนี้ให้กับนาง
ถ้าหากเป็นฟู่เอินซูแต่ก่อน คงจะไม่เชื่อว่าปัจจุบันตนเองจะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจเช่นนี้เป็นอันขาด
ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกสมเหตุสมผล ไม่คิดว่าผิดปกติแม้แต่น้อย
จิตใจของฟู่เอินซูมั่นคงขึ้นแล้ว ฉางเจิ้นกลับหวั่นวิตก ทว่าเขาก็เขาสงบจิตใจ มองเยี่ยนจ้าวเกอพลางเอ่ยว่า “จ้าวเกอ ยินดีด้วยที่พลังของเจ้าพัฒนาก้าวกระโดด สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่”
เหอหนิงถึงแม้จะบาดเจ็บ ครั้งนี้ขณะที่มองเยี่ยนจ้าวเกอยังพยักหน้าติดต่อกัน
เยี่ยนจ้าวเกอคำนับเหอหนิง จากนั้นก็พุ่งลงไปยังสถานที่ที่พวกฟู่เอินซูและฉางเจิ้นอยู่
เขามองฉางเจิ้นแวบหนึ่ง ถามว่า “ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฟู่เอินซูมองฉางเจิ้นเขม็ง ส่วนผู้อาวุโสฉินเล่าเรื่องที่วิหารอาญาตรวจสอบเฟิงอวิ๋นเซิงและอิ่นหลิวหัวให้เยี่ยนจ้าวเกอฟัง
หลังชายหนุ่มฟังจบ เขาก็ก้มมองที่อยู่ของเฟิงอวิ๋นเซิงและอิ่นหลิวหัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
รอบๆ ที่พักของคนทั้งสองมีข่ายอาคมตั้งอยู่ ซึ่งเป็นฝีมือคนในวิหารอาญาสร้างขึ้น มีจุดประสงค์เพื่อควบคุมและจับตาดู ไม่ใช่การคุ้มครอง
การโจมตีสำนักของสำนักแสงสว่างและสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เมื่อครู่ ทำให้เขากว่างเฉิงสั่นไหว เฟิงอวิ๋นเซิงกับอิ่นหลิวหัวได้รับความตกใจ
รอจนเติ้งเซินและหยางจ่านหัวเสียชีวิต สำนักพลิกจากอันตรายเป็นปลอดภัย พวกเฟิงอวิ๋นเซิงจึงเดินออกมาจากด้านในห้อง ยืนมองด้านนอกอย่างระแวดระวังอยู่ในข่ายอาคม
ส่วนฉางเจิ้นกับฟู่เอินซูมาถึงตามลำดับ
เมื่อเห็นฟู่เอินซู บนใบหน้าของเฟิงอวิ๋นเซิงพลันปรากฏความยินดี แต่ใบหน้าของอิ่นหลิวหัวกลับซีดขาว คิดหลบเข้าไปในห้องพักตามสัญชาตญาณ
และในตอนที่เห็นเงาร่างของเยี่ยนจ้าวเกอโผล่มา ความยินดีบนใบหน้าเฟิงอวิ๋นเซิงก็ชัดเจนมากขึ้น
นางเผยรอยยิ้มกระจ่างใส ยื่นมือออกมายกนิ้วโป้งให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอไม่ส่งเสียง ก้าวเดินไปยังที่พักของเฟิงอวิ๋นเซิง
หลังจากร่างของเขาพุ่งลงไปยังเบื้องล่าง แสงของข่ายอาคมสลายอย่างไร้เสียง กลายเป็นลมอ่อนโยน ก่อนจะหายไปในชั่วอึดใจ
ฉางเจิ้นที่เห็นการเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกอ หนังตาก็กระตุก
ผู้อาวุโสฉินที่อยู่ด้านข้างกล่าวเรียบๆ “เอินซูเล่าเรื่องของนางให้ข้าฟังแล้ว อิ่นหลิวหัวกับหงเจียฉีประณามเฟิงอวิ๋นเซิง เป็นการใส่ร้ายโดยแท้”
ฉางเจิ้นเงียบงัน
ตามกฎแล้ว ต่อให้เป็นการใส่ร้าย หลังจากแยกแยะความจริงได้แล้ว ก็ควรให้คนของวิหารอาญามาขจัดข่ายอาคม
แต่ว่าในตอนนี้ ขณะมองเยี่ยนจ้าวเกอ เขาจะห้ามได้อย่างไร?
การกระทำของเยี่ยนจ้าวเกอทำให้เขากังวลยิ่งกว่าเดิม
เฟิงอวิ๋นเซิงมองเยี่ยนจ้าวเกอ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ข้าเดาว่าท่านจะต้องไม่เป็นไรแน่ ไม่แน่ว่าจะรออยู่ที่ไหนสักแห่ง พอถึงเวลาที่สำคัญที่สุดค่อยปรากฏตัวขึ้น ทำให้ทุกคนตกใจ”
เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ่นเซิง ใบหน้าที่คุ้นเคยเบื้องหน้าไร้ความเซื่องซึม
เคยอยู่ใกล้จุดสูงสุดเพียงปลายจมูก ทั้งๆ ที่สามารถปีนไปยังยอดเขาสูงนั้นได้ สุดท้ายก็ต้องตกมายังก้นเหว จนไม่เห็นฟ้าเห็นตะวันเพราะคนอื่น
ทว่าดวงตาของเฟิงอวิ๋นเซิงยังคงสุกใส เหมือนในตอนที่คนทั้งสองพบกันเป็นครั้งแรกที่อาณาจักรถังตะวันออก
ไม่โทษฟ้าตำหนิผู้ใด ไม่ได้หมดอาลัยตายอยาก
ประโยคแรกในตอนที่พบกันไม่ใช่ขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่ระบายความทุกข์
เป็นรอยยิ้มกระจ่าง เป็นท่วงท่างามสง่ามาตั้งแต่ต้น
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะขึ้น “การเคลื่อนไหวในครั้งนี้รุนแรงไปหน่อยจริงๆ”
เขายื่นมืออกมาจับฝ่ามือของเฟิงอวิ๋นเซิงอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง
ในพริบตาที่สัมผัสได้ถึงสายตาของเยี่ยนจ้าวเกอ เฟิงอวิ๋นเซิงก็คล้ายเข้าใจบางอย่าง
นางที่มีท่าทางองอาจมาโดยตลอด บัดนี้บนใบหน้าปรากฏความเขินอายที่หาได้ยาก แต่แค่แวบเดียวก็สลายไป เหลือเพียงรอยยิ้มสดใสและงดงามอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ทุกคนที่อยู่รอบๆ เห็นการเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกอ ต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย
ฟู่เอินซูเตรียมใจมาก่อนแล้ว ยังรู้สึกประหลาดใจ ประหลาดใจที่เยี่ยนจ้าวเกอแสดงออกตรงๆ เช่นนี้
เยี่ยนจ้าวเกอมองเฟิงอวิ๋นเซิง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนอย่างข้าชอบเสี่ยงและชอบกระทำการใหญ่โต ไม่แน่ว่าบางครั้งอาจพาตัวเองไปวุ่นวายกับอะไรสักอย่าง จึงเตรียมหาภรรยาดูแลบ้าน ดูแลตัวเอง”
เฟิงอวิ๋นเซิงก็ยิ้มเช่นกัน “ไม่แน่ว่านางจะเป็นบ้าไปพร้อมกับท่านด้วย เช่นนี้ดีหรือไม่?”
ชายหนุ่มดึงฝ่ามือของเฟิงอวิ๋นเซิงมาใกล้ตัวเอง จากนั้นก็ใช้ริมฝีปากแตะหน้าผากนางเบาๆ “ข้าเหมือนจะเสียเปรียบ แต่พอยอมรับได้”
“ถูกต้องๆ สร้างความลำบากให้แก่ท่านแล้ว” เฟิงอวิ๋นเซิงก้มหน้าลงยิ้มไม่หยุด
ชายหนุ่มจูงมือเฟิงอวิ๋นเซิงเดินออกมาด้านนอก สายตามองไปยังฟู่เอินซู พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ป้าฟู่ ขออภัย ศิษย์ท่านโดนแย่งแล้ว”
ฟู่เอินซูมองคนทั้งสองอยู่เนิ่นนาน ยิ้มเล็กน้อย “ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “อืม แต่ก่อนจะแย่งไป มีเรื่องบางเรื่องต้องจัดการเสียก่อน”
ฉางเจิ้นได้ยิน สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แต่จิตใจกลับเต้นระทึก
เขามองเฟิงอวิ๋นเซิง จากนั้นก็มองเยี่ยนจ้าวเกอ
ตามเหตุผล หากเยี่ยนจ้าวเกอต้องการหาความยุติธรรมให้เฟิงอวิ๋นเซิง จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงความสงสัย
เขาพูดให้กับคนรักของตัวเอง ย่อมส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนอื่น ลดทอนความน่าเชื่อถือของตัวเขา
แต่ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น ตรงกันข้าม เขากระทำอย่างตรงไปตรงมาโดยไร้ข้อกริ่งเกรง
การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ฉางเจิ้นใจเย็น กลับเกิดความหวาดกลัว คล้ายกับความชั่วร้ายถูกเปิดเผยภายใต้แสงอาทิตย์สว่างไสว
สิ่งที่เขารู้สึกได้จากการกระทำของเยี่ยนจ้าวเกอก็คือ ชายหนุ่มมั่นใจในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเฟิงอวิ๋นเซิง และคำพูดที่ว่า ‘คนของข้าข้าปกป้อง ใครบังอาจคิดไม่ซื่อ’
ในตอนนี้ เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองฉางเจิ้นและอิ่นหลิวหัว ความเย็นชานั้นทำให้คนประหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่ง