ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 739 อยู่ฝึกฝนที่นี่กับข้า
ไม่ผิดจากที่เยี่ยนจ้าวเกอคาดไว้ พวกหลัวจื้อเทาอยู่ห่างจากบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์แค่ก้าวเดียวเท่านั้น
แต่เป็นเพราะระยะห่างแค่ก้าวเดียวนี้ พวกเขาจึงยังคงถูกขังอยู่ด้านนอกโลกซ้อนโลก
มิติเวลาที่สับสนซ้อนทับกัน ดูเหมือนทุกที่ต่างเป็นเส้นทาง แต่ความจริงไม่ว่าจะเป็นทิศทางไหน ก็อาจจะอยู่ห่างจากที่หมายไกลแสนไกล
มีเพียงแต่ต้องหาเส้นทางเส้นเดียวให้ถูก เพื่อเข้าไปในระดับชั้นมิติที่ถูกต้อง จึงจะมาถึงสถานที่ที่ตัวเองต้องการได้
ลำบากแสนเข็ญ เหมือนกับที่เยี่ยนจ้าวเกอกับไป๋จื่อหมิงคิดตามหาโลกยมทะยานเมื่อก่อนหน้านี้
คนในสำนักแสงสว่างทิ้งเครื่องหมายไว้ที่โลกซ้อนโลกเหมือนกับเยี่ยนจ้าวเกอ
แต่เพราะก่อนหน้าได้รับผลกระทบจากพายุมายา ที่เกิดจากการพังทลายของสุสานจักรพรรดิประกายกาฬ การแยกแยะเส้นทางของพวกเขาจึงลำบากกว่าเยี่ยนจ้าวเกอที่มีกงจักรมหาประกายกาฬคอยคุ้มครองมาก
ในที่สุดก็ติดต่อกับพวกถานจิ่งที่เฝ้าอยู่ในโลกซ้อนโลกได้ ภายใต้การประสานในนอก ได้ลองใช้บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่ดินแดนหลวนเซียงในการกลับมา
สุดท้ายเพิ่งมาถึง บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ก็หายไปแล้ว
สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนคือกลุ่มเมฆอันว่างเปล่าแถบหนึ่ง เหมือนกับแบ่งเป็นโลกความจริงและโลกมายาสองใบ
พวกเขาลองเข้าไปในกลุ่มเมฆ กลับพบว่ากลุ่มเมฆเหมือนกับภาพลวงตา ไม่อาจสัมผัสได้
บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ยังคงหาไม่เจอ เส้นทางที่เอาไว้กลับโลกซ้อนโลกก็หาไม่เจอเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจะมัวซัวเหมือนกับคลุมด้วยผ้าแพรชั้นหนึ่ง กระนั้นหลัวจื้อเทาก็เห็นใบหน้าของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ คังฮูหยิน และถานจิ่นในกลุ่มเมฆมายาได้อย่างชัดเจน
ถานจิ่นเหมือนตะเบ็งเสียงพูดอะไรกับเขาอยู่ แต่ว่าไม่มีเสียงใดลอดออกมา หลัวจื้อเทาได้แต่อาศัยการแยกแยะรูปปาก
ถานจิ่นชี้ที่เยี่ยนจ้าวเกอ เอ่ยว่า “ที่นี่เดิมเป็นที่อยู่ของบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ กลับถูกเด็กน้อยผู้นี้ทำลายทิ้ง!”
เยี่ยนจ้าวเกอยามนี้อยู่ในกลุ่มเมฆมายา ตัวเขากึ่งลวงกึ่งจริง ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เช่นเดียวกัน
คนเหมือนกับแมลงตัวเล็กที่ถูกแช่ในอำพัน
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก และวังฝูงมังกรต่างเปลี่ยนมาอยู่ในสภาพนี้ เฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ เสี่ยวอ้าย และพ่านพ่านที่อยู่ในวังฝูงมังกรก็เป็นเหมือนกัน
ถึงขั้นที่แม้แต่ซากมังกรจริงแท้จำนวนหนึ่งที่เหลืออยู่ ซึ่งถูกเก็บอยู่ในส่วนลึกของวังฝูงมังกร ก็เปลี่ยนเป็นเลอะเลือน สูญเสียรูปร่างที่แท้จริงไปเช่นกัน
มีสองสิ่งที่เป็นข้อยกเว้น ได้แก่กงจักรมหาประกายกาฬ และตราประทับตะวัน ของวิเศษสองชิ้นยังคงอยู่ในสภาพแรกเริ่ม ลอยนิ่งอยู่ในเขตแดนมายา
นอกจากนี้แล้ว อาวุธศักดิ์สิทธิ์หลายชิ้นที่เยี่ยนจ้าวเกอนำติดตัว หรือแม้แต่ดาบเทพอาทิตย์ยะเยือกที่ยังไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ซึ่งเฟิงอวิ๋นเซิงครอบครองอยู่ ต่างสูญเสียรูปร่าง เหลือเพียงเงาลวงเหมือนกับพวกเขา
เยี่ยนจ้าวเกอไม่หวาดกลัว ครั้นเห็นพวกหลัวจื้อเทาที่อยู่ในกลุ่มเมมฆมายา ก็ยังโบกมือพร้อมรอยยิ้มให้กับพวกเขาด้วยซ้ำไป
ไม่ว่าจะเป็นพวกถานจิ่นที่รูปร่างกลายเป็นความว่างเปล่าอยู่ในกลุ่มเมฆ หรือพวกหลัวจื้อเทาที่ได้รับผลกระทบจากพายุมิติด้านนอกกลุ่มเมฆ เมื่อเห็นดังนั้นต่างรู้สึกคับข้อง
โดยเฉพาะพวกหลัวจื้อเทา สิ่งที่ตามหลังพวกเขามาติดๆ ก็คือกระแสปั่นป่วนขิงมิติที่บ้าคลั่ง
พวกเขาอยู่ด้านนอกกลุ่มเมฆ ถึงขั้นที่ยากจะหยุดกับที่ กำลังจะถูกกระแสปั่นป่วนม้วนไป โดยที่ไร้อิสระอีกครั้ง
กระแสปั่นป่วนของมิติเวลาในตอนนี้และในที่แห่งนี้ อ่อนแอกว่าตอนที่สุสานจักรพรรดิประกายกาฬเพิ่งพังทลายในตอนนั้นมาก
หลังจากเวลาผ่านไป การได้รับผลกระทบของคนในสำนักแสงสว่างยิ่งมายิ่งน้อยลง ในที่สุดก็หลุดออกมาสำเร็จ
แต่พวกหลัวจื้อเทาที่เหนื่อยรากเลือด ขณะเห็นประตูแห่งความมืดที่เริ่มปิดลงด้านหน้าอีกครั้ง คามอดทนก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว
หลัวจื้อเทาที่ใบหน้าเขียวคล้ำกู่ร้องขึ้น กงจักรอันหนึ่งปรากฏในมือ แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องความว่างเปล่า
ขณะมองดูกงจักรสุริยันจันทราที่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ของวิเศษคุ้มครองสำนักแสงสว่างเหลือเพียงกงจักรสุริยันชิ้นเดียว หลัวจื้อเทายิ่งโมโห เพราะคนที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ ก็คือเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่เบื้องหน้านี้เอง
เขาใช้กงจักรสุริยัน แสงสว่างคุ้มกันร่าง อาศัยพลังวิญญาณที่อยู่ด้านใน ฝืนยึดตัวติดกลุ่มเมฆมายานั้น
ตำแหน่งที่กลุ่มเมฆและแสงจากกงจักรสุริยันอยู่ มิติบิดเบี้ยวไม่หยุด มีแนวโน้มกำลังกลับเป็นเหมือนเดิม
กระนั้นก็ยังขาดอีกก้าวเดียว กลุ่มเมฆมายายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
หลัวจื้อเทากลับอาศัยสิ่งนี้ ทำให้ตัวเองยึดติดอยู่บนเขตแดนมายาที่เกิดความปกติ หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองถูกกระแสปั่นป่วนของมิติที่อยู่ด้านนอกม้วนเข้าไป
เพียงแต่ยอดฝีมือสำนักแสงสว่างคนอื่น กลับไม่มีของวิเศษที่แข็งแกร่งอย่างเช่นกงจักรสุริยันจันทรา ได้แต่ถูกกระแสปั่นป่วนของมิติกลบฝัง มองกลุ่มเมฆมายา และบาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์ที่อยู่ห่างไปตาปริบๆ
ด้านในความว่างเปล่า เสียงคำรามด้วยความโกรธของยอดฝีมือระดับอาวุโสในสำนักแสงสว่างทุกคนดังขึ้นสลับกัน เต็มไปด้วยความคับแค้นและไม่ยอมรับ
หลัวจื้อเทาเจ้าสำนักแสงสว่าง แม้อยู่ในระดับสูงสุดของจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย ครั้งนี้เขาก็ได้แต่กัดฟันเช่นกัน
เยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ในกลุ่มเมฆมายายิ้มกว้างขณะมองทุกอย่างนี้
พวกคังฮูหยินและถานจิ่นคิดลงมือ แต่กลับพบว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้ไม่อาจทำอะไรได้
ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มเมฆ ได้แต่มองกันไปมองกันมาอยู่ชั่วขณะ ไม่มีใครทำอะไรอีกฝ่ายได้
คังจิ่นหยวนกับคังเม่าเซิงที่ได้รับการคุ้มครองจากคังฮูหยินต่างตื่นตระหนก “นี่เป็นเรื่องใดกันแน่?”
คังฮูหยินสายตาเริ่มสงบลงแล้ว หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พูดว่า “สรรพสิ่งในโลกมีหยินหยาง มีจริงปลอม บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์เกิดความผิดปกติ มิติเวลาแห่งนี้กลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับโลกมายาไปแล้ว”
คังจิ่นหยวนเบิกตาโพลง “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เล่า?”
“พิธีกรรมที่เยี่ยนจ้าวเกอนั่นใช้เมื่อครู่มีปัญหา ในช่วงเวลาสำคัญดันเกิดความผิดปกติขึ้น ไม่เพียงแต่เซ่นสรวงศพมังกรตัวนั้นเท่านั้น แต่ยังเซ่นสรวงความว่างเปล่านี้ด้วย” คังฮูหยินบนใบหน้าฉายแววเหลือเชื่อ “พิธีกรรมนี้ ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นพิธีกรรมปีศาจโลหิต แต่ต่อกลับกลายเป็นพิธีกรรมปีศาจมายา”
“นี่คือวิชามารก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ในตำนาน ก่อนวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ก็หาได้ยากอยู่แล้ว เยี่ยนจ้าวเกอผู้นี้รู้จักได้อย่างไร?”
คังฮูหยินสูดหายใจเย็นเยียบ “ประเมินเขาต่ำไปอีกแล้ว! รู้ความลับมากมายถึงเพียงนี้ หรือเขาจะเป็นผู้สืบทอดของราชันพระอาทิตย์จริงๆ?”
คังจิ่นหยวนกล่าวอย่างเคียดแค้น “คนผู้นี้เจ้าเล่ห์เกินไปจริงๆ หากไม่สับศพเป็นหมื่นท่อน ก็ยากจะจัดการความแค้นในใจได้!”
ฝ่ายคังฮูหยินมองเขาอย่างไม่พอใจ “ยังมีหน้ามาพูดอีก ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าสอดมือ เจ้ากลับใช้สว่านคาถาเลือดป่นมิติ ส่งเสริมเขาไปเสียได้”
“หากตอนนั้นข้าไม่ใช้สว่านคาถาเลือดป่นมิติ ท่านแม่คงถูกเขากับเศษเดนสำนักแสงสว่างเหล่านั้นรุมไปแล้ว” คังจิ่นหยวนเถียงคอเป็นเอ็น
จากนั้นเขาก็ลดเสียงลงเล็กน้อย “ใครจะรู้เล่าว่าคนผู้นี้เจ้าเล่ห์ขนาดนี้…”
คังฮูหยินสีหน้าบูดบึ้ง คังเม่าเซิงบัดนี้เอ่ยว่า “เขาคงเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ พยายามทำให้ความต้องการของตัวเองสะดวกขึ้น ความจริงเขาเองก็ไม่ได้เปรียบ สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกับพวกเรา การเผชิญกับน้ำวนสีเลือดเมื่อครู่จำเป็นต้องป้องกันเช่นกัน”
“แม้จะไม่รู้ว่าเขามาที่บาดแผลแห่งกำแพงสวรรค์เพื่อทำอะไรกันแน่ แต่ตอนนี้ก็ล้มเหลวไปแล้ว ถูกขังไว้ที่นี่พร้อมกับพวกเรา”
คังเม่าเซิงมองรอบๆ “เวลาผ่านไปนานแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่นเดี๋ยวคงตามหาพวกเรา ทางสำนักแสงสว่างก็อาจจะมีคนมาเช่นกัน แต่ในทางตรงกันข้าม เยี่ยนจ้าวเกอผู้นี้จะมีผู้สนับสนุนหรือไม่ กลับบอกไม่ได้ ต่อให้มี สุดท้ายโอกาสของพวกเราก็ยังมีมากกว่า”
“ไม่จำเป็นต้องรออย่างเดียว” คังฮูหยินว่า “ที่นี่ใช่ว่าจะขังเราได้นาน ต้องดูว่าใครจะดิ้นหลุดก่อน!”
แสงสว่างวูบวาบในดวงตาสองข้างของนาง บริเวณที่ประกายแสงไปถึง กลุ่มเมฆมายารอบๆ กระเพื่อมขึ้น
เวลาเหมือนกับไหลทวน เขตแดนมายามีเค้าลางว่าจะถอยกลับไปสู่สภาพก่อนหน้าอย่างเลือนราง
เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็หัวเราะขึ้น “ข้ากลับไม่รีบ ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีในการฝึกฝน อยู่ฝึกฝนที่นี่เป็นเพื่อนข้าเถอะ”
………………..