ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 816 บุปผางามเหมือนผ้าแพร โฉมสะคราญเหมือนอัคคี
จำนวนของโอสถที่กระจัดกระจายในฟ้าดินชั้นใหม่ มีมากกว่าสองชั้นก่อนหน้า แต่ถูกคนเก็บไปส่วนหนึ่งแล้ว
ส่วนที่เหลืออยู่ มีทั้งโอสถใหม่และโอสถเก่า
นี่หมายความว่า คนที่เก็บโอสถไป ไม่ใช่คนหลอมโอสถใหม่ขึ้นมา
“มีคนมาถึงที่นี่เร็วกว่าพวกเรา แต่คงไม่นานเท่าไร” เยี่ยนจ้าวเกอนวดขมับของตัวเองเบาๆ “ไม่เช่นนั้นเตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับคงจะไม่อยู่แล้ว โอสถทองโอบอุ้มน่าจะไม่เกิดปฏิกิริยาขึ้นในยอดเขาหัวใจเดี่ยวบนเทือกเขาอาทิตย์หยกในโลกซ้อนโลก”
เฟิงอวิ๋นเซิงกล่าว “แต่ว่าสองชั้นด้านล่าง กลับไม่มีร่องรอยว่าโอสถถูกเอาไป”
“ถ้าหากเข้ามาก่อนเรา เหตุใดจึงเอาไปแค่ชั้นเดียว แต่ปล่อยสองชั้นด้านล่างเอาไว้? เป็นเพราะโอสถเซียนของที่นี่ดีกว่าหรือ?”
เมื่อได้ยินคำถามของนาง เยี่ยนจ้าวเกอก็ส่ายหน้า “ไม่ โอสถเซียนที่กระจัดกระจายอยู่ในแต่ละชั้น มีระดับคุณสมบัติไม่แตกต่างกันมากนัก เพียงแต่ยิ่งขึ้นสูงเท่าไร จำนวนก็มีมากกว่าเท่านั้น”
เยี่ยนจ้าวเกอกวาดมองรอบๆ “มีความเป็นไปได้หนึ่งคือ ตำแหน่งของคนที่เข้ามาที่นี่ รวมถึงพวกเรา ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นชั้นแรก ไม่แน่ว่าจะต้องเป็นชั้นล่างสุด”
ในปัจจุบัน พวกเยี่ยนจ้าวเกอเองก็ไม่แน่ใจว่า ฟ้าดินชั้นที่พวกเขาเพิ่งมาถึง ใช่ชั้นล่างสุดของมิติต่างแดนแห่งนี้หรือไม่
ที่เรียกว่า ‘ชั้นแรก’ เป็นการเปรียบเทียบกับตัวพวกเขาเองก็เท่านั้น
หลักการเดียวกัน ความจริงเยี่ยนจ้าวเกอความจริงก็ไม่แน่ใจว่า หากพวกเขามุ่งขึ้นสูงไปเรื่อยๆ เช่นนี้ อีกนานเท่าไรกว่าจะถึงชั้นบนสุด
ชั้นตรงหน้านี้ สำหรับคนที่เข้ามาเก็บโอสถเซียนส่วนหนึ่ง อาจจะเป็น ‘ชั้นแรก’ ก็ได้
เมื่อพบสิ่งที่ดูเหมือนหอคอยและดูเหมือนแท่นบูชานั้น ถ้าหากกำลังมุ่งหน้าไปชั้นที่สูงกว่าพอดี เช่นนั้นคนส่วนใหญ่จะคิดว่าตำแหน่งที่ตนอยู่เป็นชั้นล่างสุดในการเริ่มต้น
ถ้าหากเป้าหมายสุดท้ายเป็นชั้นบนสุด เช่นนั้นความคิดเช่นนี้ก็ไม่นับว่าคำนวณผิดจริงๆ
เพียงแต่ว่าพวกเยี่ยนจ้าวเกอค่อนข้างโชคร้ายไปบ้าง
เทียบกับคู่แข่งปริศนากลุ่มนั้นแล้ว พวกเขาอย่างน้อยก็ปีนมาสองชั้นแล้ว
นอกจากนั้น อีกฝ่ายตอนนี้อาจจะเร็วกว่าพวกเขา มุ่งหน้าไปชั้นที่สูงกว่าแล้วก็เป็นได้
เวลาพลันกระชั้นเข้ามาแล้ว
ขนาดสีหน้าของเสี่ยวอ้ายก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เพราะปัญหานี้กระตุ้นความสนใจของทุกคน
พวกเขาไม่อาจยืนยันได้ว่ามิติเวลาชั้นที่พวกตนเริ่มต้น เป็นชั้นล่างสุดหรือว่าเป็นชั้นกลาง
สมมติพวกเขาเริ่มต้นที่ชั้นกลาง ตอนนี้สมควรขึ้นมาสามชั้นแล้ว
ถ้าหากมิติต่างแดนนี้มีเจ็ดชั้นจริงๆ ที่ชั้นบนสุดจะเป็นยอดหอคอยก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
เยี่ยนจ้าวเกอแตะนิ้วกับริมฝีปาก “พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เร่งเดินทางเถอะ”
ทุกคนดำเนินการตามหาหอคอยชั้นที่สูงขึ้นต่อ หลังจากค้นเจอ เพิ่งจะปีนขึ้นไป เยี่ยนจ้าวเกอก็มั่นใจขึ้น “มีร่องรอยที่คนอื่นเคยใช้มาก่อน”
กลิ่นอายพลังที่หลงเหลือ แสดงให้เห็นว่าตอนที่อีกฝ่ายเพิ่งปีนหอคอย เต็มไปด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าพิธีกรรมจะส่งผลเสียของตัวเอง ดังนั้นจึงเลือกใช้การป้องกันไว้ก่อน
พวกเยี่ยนจ้าวเกอลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าตามพิธีกรรม เข้าไปในเมฆสีม่วง ก้าวข้ามประตูแสง มาถึง ‘ชั้นที่สี่’ ในการเดินทางของพวกตน
เพิ่งจะลงจากหอคอยมา เยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดลางสังหรณ์ทันที
เขามองออกไปไกล เห็นที่เส้นขอบฟ้า คนหลายคนลอยอยู่ อยู่ห่างจากหอคอยไปไกล
อีกฝ่ายเคลื่อนไหวไม่เร็วนัก ทางหนึ่งเดินทาง ทางหนึ่งเหมือนกำลังตรวจสอบสภาพรอบๆ
กระนั้นเมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของหอคอยที่อยู่ด้านหลัง พวกเขาก็หันมามองหอคอย ทันทีที่เห็นพวกเยี่ยนจ้าวเกอ อีกฝ่ายก็พากันงงงัน
ทั้งสองฝ่ายมองกันอยู่ไกลๆ บรรยากาศกระอักกระอ่วนยิ่ง
สายตาของพวกเยี่ยนจ้าวเกอและเฟิงอวิ๋นเซิง ตกลงบนร่างของคนผู้หนึ่งที่อยู่อีกฝั่งในทันที
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงสุดในกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้า แต่ว่าสายตาของทุกคนกลับเลื่อนไปอยู่ที่ร่างของนางก่อนอย่างควบคุมไม่ได้
ร่างสูงชะลูด อาภรณ์สีแดงกระโปรงสีขาว คลุมจิ้งจอกเงินไว้บนไหล่
องคาพยพไร้ตำหนิ เหมือนกับบุปผาที่งามเหมือนผ้าแพร งดงามจนโดดเด่น ทำให้คนที่มองสังเกตเห็นในทันที และกลายเป็นจุดรวมศูนย์ท่ามกลางกลุ่มคน
สตรีนางนี้ใช่ว่าจะสวยที่สุด อย่างน้อยในคนที่เยี่ยนจ้าวเกอเคยพบ ก็มีคนที่ไม่ด้อยกว่านางอยู่ด้วย
ทว่าหากยืนอยู่กับโฉมสะคราญในระดับเดียวกัน คนที่ผู้ชมดูจะมองเห็นเป็นคนแรก เป็นไปได้ว่าจะเป็นนาง
เทียบกับเฟิงอวิ๋นเซิงที่ยิ่งดูยิ่งเพลิน สตรีนางนี้กลับช่วงชิงสายตาคน สั่นสะท้านขวัญวิญญาณในทันที
หมดจดจนทำให้ผู้คนลืมหิว งดงามจนทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่น แต่นอกจากพริบตาแรกแล้ว จุดสำคัญที่เยี่ยนจ้าวเกอให้ความสนใจ ก็เปลี่ยนเป็นสิ่งที่ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก
อย่างเช่นระดับพลังฝึกปรือของนาง
แม้จะไม่ได้ต่อสู้กัน แต่ว่าสตรีนางนี้ไม่ได้ปกปิดกลิ่นอายของตัวเองเหมือนกับเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอสำรวจคร่าวๆ พลังฝึกปรือของอีกฝ่ายสมควรอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม ขั้นรวมรูประยะท้าย ยังไม่น่าจะได้ทำลายนภาเห็นเทวะ
ทว่านางอ่อนเยาว์ยิ่ง อ่อนเยาว์จนถึงขั้นที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกสนใจ
เพราะนางมีอายุมากกว่าเยี่ยนจ้าวเกอแค่เล็กน้อยเท่านั้น
พูดอีกอย่างก็คือ อายุในตอนที่นางเลื่อนจากบรรลุธรรมเป็นศักดิ์สิทธิ์ คงจะไม่มากกว่าในตอนที่เยี่ยนจ้าวเกอสำเร็จเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์มากเท่าไรนัก
และเร็วกว่าตอนที่เยี่ยนตี๋สำเร็จเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เสียอีก
แน่นอนว่า ก่อนหน้านี่เยี่ยนตี๋ฝึกฝนอยู่ในสภาพแวดล้อมของโลกแปดพิภพมาโดยตลอด วรยุทธ์ที่ฝึกฝนก็เป็นวิชาเอกพิสุทธิ์ที่ยากจะเรียกได้ว่าสุดยอดที่สุดในโลกซ้อนโลก
ในกลุ่มคนที่ร่วมทางซึ่งอยู่ด้านข้างสตรีนางนี้ ยืนไว้ด้วยยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ ขั้นเทวะสำแดงระยะต้นสองคน ดังนั้นนางจึงไม่น่าจะเป็นคนจากโลกเบื้องล่าง แต่เกิดในโลกซ้อนโลก
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ความเร็วในการเพิ่มระดับ และความก้าวหน้าของการฝึกฝนของสตรีนางนี้ ก็เรียกได้ว่าน่าตื่นตระหนกยิ่ง
เทียบกับอายุขัยของระดับในปัจจุบันของนาง ต่อให้ทำให้นางกลับเป็นดรุณี ก็ต้องบอกว่านางมีอายุมากอยู่ดี
การบอกว่า แค่อายุน้อยก็มีพลังฝึกปรือล้ำลึกยังพอว่า
แต่ว่าโดยทั่วไปแล้ว ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ อัจฉริยะที่มีความเร็วในการฝึกฝนน่าทึ่ง ก็มีระดับการต่อสู้เหนือธรรมดาเช่นกัน
โดยเฉพาะหากเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเข่นฆ่าผ่านสงครามดุเดือดมานับไม่ถ้วน
อัจฉริยะที่มีความสามารถในการต่อสู้ไม่พอ โดยพื้นฐานคงจะตายไปในการต่อสู้ดุเดือดตั้งนานแล้ว
ข้อนี้ตัวเยี่ยนจ้าวเกอกับเยี่ยนตี๋ผู้เป็นบิดา นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด
และในตอนนี้ บนร่างของสตรีนางนี้ก็สะท้อนให้เห็นได้อย่างหมดจดด้วย
เยี่ยนจ้าวเกอแทบจะแน่ใจว่า สตรีนางนี้แม้จะยังอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม แต่ว่ามีพลังเหนือกว่าสหายที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ที่อยู่ข้างๆ นางไปแล้ว
ไม่ได้อาศัยของวิเศษที่พกไว้ แต่อาศัยหมัดเปล่าๆ และพลังของตัวเอง
สตรีนางนี้ได้ยึดครองตำแหน่งในใจของอีกฝ่าย ดึงดูดความสนใจของคนทุกคน ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ยังเป็นเพราะพลังของนางอีกด้วย
นางแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจแสดงออกมา แต่กลิ่นอายที่ไม่ได้อำพรางย่อมรั่วไหลออกมา ดึงดูดความสนใจของผู้คน
ด้วยพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเยี่ยนจ้าวเกอ หลังจากสำรวจคนทั้งหมด ย่อมสังเกตถึงนางที่ส่งผลคุกคามมากที่สุดก่อน
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่ยังอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามเมื่อก่อนหน้า ไม่อาจเอาชนะเฉิงซง ผู้อาวุโสสำนักแสงสว่างที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ได้
กระนั้น หลังจากฝึกฝนวิชาคุนเผิงบรรพกาลอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้หลอมเลือดของเทาเที่ยและลมปราณของมังกรจริงแท้เข้าไปในร่าง ได้รับการเคี่ยวกรำจากหอกราชาลี้ลับ ระดับพลังต่อสู้ของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกเมื่อก่อนหน้า ถ้าหากมีคุณสมบัติเช่นตอนนี้ จะสามารถเอาชนะเฉิงซงได้
แต่ความรู้สึกได้บอกกับเยี่ยนจ้าวเกอว่า ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกในตอนนี้หากอยู่ในระดับเดียวกัน กลับใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของสตรีนางนี้
เนื่องจากไม่ได้ต่อสู้กันจริงๆ จึงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่ทราบว่าอีกฝ่ายมีความสามารถพิเศษอะไร ดังนั้นนี่จึงเป็นการประเมินที่รัดกุมที่สุด
ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกที่เติบโตมาถึงวันนี้ได้ เพราะมีพรสวรรค์เลิศล้ำ ฝึกสุดยอดวรยุทธ์ และยังมีความสำเร็จร่วมกันจากวาสนาและทรัพยากรที่มีมากมาย
เบื้องหลังแบบใดกันแน่ ที่สามารถฟูมฟักยอดสตรีผู้มากพรสวรรค์เช่นนี้ขึ้นมาได้