ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 839 เรียนรู้การผลักกำแพง
หากดูจากฉากหน้าแล้ว หลินฮั่นหัวกับเกาฉิงมีส่วนที่คล้ายกันไม่มาก
แม้หากสืบย้อนจากบรรพบุรุษของพวกเขาไปสองสามรุ่นแล้วจะนับว่ามาจากตระกูลเดียวกัน แต่ว่าสุดท้ายก็เป็นสองสาย ไม่ใช่สายเลือดสายตรงที่บริสุทธิ์
ในสถานการณ์ที่ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าพวกเขาอาจจะเป็นญาติกัน ย่อมยากจะพบว่าระหว่างพวกเขามีความเกี่ยวพันทางสายเลือด
ทว่าหลังจากทราบว่าพวกเขาอาจจะเป็นญาติกัน เมื่อตั้งใจสังเกตให้ดี จะมากจะน้อยก็พอจะมองเบื้องหลังออกได้หลายส่วน
พวกเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้คิดไปเอง แต่เป็นข้อสรุปที่ได้มาหลังจากการเปรียบเทียบอย่างอย่างละเอียด
เมื่อมาถึงระดับพลังในตอนนี้ของเยี่ยนจ้าวเกอ หากไม่ตั้งใจก็แล้วกันไป แต่ถ้าตั้งใจ พลังสายตาก็มากพอจะสังเกตถึงรายละเอียดเล็กๆ ได้
‘แต่ไม่รู้ว่าความขัดแย้งระหว่างโลกซ้อนโลกกับมรกตท่องฟ้า มีปัญหาหลักอยู่ที่ใด’ เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิด ‘อย่างน้อย จากท่าทีที่มีต่อศาสนาพุทธ ทั้งสองฝ่ายก็ดูเหมือนจะมีความคิดที่แตกต่างกันอยู่บ้าง’
คราวนี้อาหู่ถามขึ้น “คุณชาย พวกเรามีวิธีออกจากแดนขวางกั้นแห่งนี้หรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ข้ามีความคิดคร่าวๆ แล้ว แต่ว่าไม่มั่นใจนัก ลองดูก่อนแล้วกัน”
แม้จะสังหารจอมยุทธ์ศาสนาพุทธกลุ่มนั้นไป และตัดขาดความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะแจ้งข่าว ทว่าการรั้งอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานานยังคงมีความเสี่ยง
จอมยุทธ์ศาสนาพุทธที่ถูกเขาฆ่าทิ้งเหล่านั้นเมื่อหายไปเป็นเวลานาน ศิษย์ร่วมสำนักของพวกเขาจะช้าจะเร็วก็ต้องเอะใจ พากันออกตามหาแน่
โลกใบนี้ถึงอย่างไรก็เป็นดินแดนของศาสนาพุทธ การปรากฏตัวขึ้นที่นี่ของพวกตนเป็นการข้ามเขตแดน ย่อมกระตุ้นความเกลียดชังของอีกฝ่ายโดยธรรมชาติ
จากการสนทนากันของศิษย์ในศาสนาพุทธเหล่านั้น เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกมั่นใจอยู่บ้าง ว่ามีความเป็นไปได้ที่โลกซ้อนโลกกับศาสนาพุทธจะร่วมมือกัน แม้กระทั่งมีข้อตกลงร่วมกัน
เหมือนกับที่โลกซ้อนโลกห้ามไม่ให้ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์จากมรกตท่องฟ้าเข้าไป ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าดินแดนของศาสนาพุทธจะห้ามไม่ให้จอมยุทธ์จากสำนักเต๋าเข้ามาเช่นกัน
นอกจากนี้ พระศรีอาริย์ยังเป็นผู้สูงส่ง ยอดฝีมือที่ยิ่งใหญ่ของสำนักเต๋าที่สาปสูญก็สาปสูญ ที่เสื่อมโทรมก็เสื่อมโทรม ในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าศาสนาพุทธจะมีพลังแข็งแกร่งกว่าเดิม
สืบเนื่องจากสาเหตุและข้อตกลงบางอย่าง ศาสนาพุทธจึงไม่บุกโลกซ้อนโลก รวมถึงสถานที่ที่สืบทอดเต๋าอย่างโลกแปดพิภพ โลกยมทะยาน โลกผืนสมุทรซึ่งอยู่ใต้การปกครองของโลกซ้อนโลก
เพียงแต่ว่าถ้าหากจอมยุทธ์สำนักเต๋าออกจากอาณาเขตการคุ้มครองของโลกซ้อนโลก เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าจะถูกมองเป็นการละทิ้งการคุ้มครอง กลายเป็นเป้าที่ต้องกำจัดทิ้งของศาสนาพุทธทันที
หรือจะบอกว่าเป็นเป้าในการเทศนาก็ได้
แดนขวางกั้นดูเหมือนเป็นสถานที่ธรรมดา แต่ความจริงแล้วกลับพิเศษนัก
แม้ว่าพระยูไลจะเข้าสู่นิพพานไปแล้ว แม้ว่าตำนานไซอิ๋วจะเป็นเรื่องเล่าเทพนิยายที่เกิดขึ้นมานานแสนนานแล้ว แต่ว่าเขาเบญจคีรี หรือยอดเขาพุทธะเทวะก็ยังคงตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว
ศาสนาพุทธในปัจจุบัน มาตรว่าจะไม่ใส่ใจสถานที่แห่งนี้ แต่ไม่มีทางละทิ้งได้โดยสิ้นเชิง
พวกเขาบอกว่าที่นี่คือ ‘แดนต้องห้าม’
ในเมื่อตอนนี้พลังฝึกปรือของตนยังไม่อาจปีนภูเขาพุทธะเทวะได้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่คิดจะอยู่ต่ออีก
ก่อนที่จะออกไป เขาจำตำแหน่งของที่นี่ไว้ขึ้นใจ วันหน้ารอโอกาสและเวลาสุกงอมค่อยมาดูสิ่งที่มันซ่อนเอาไว้
กลับเป็นวิธีการออกจากที่นี่ เพื่อกลับไปยังโลกซ้อนโลกซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของ ‘กำแพง’ เยี่ยนจ้าวเกอจำเป็นต้องหาวิธีและคิดแผนการ
ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งจะเคยพบ ‘การผลักกำแพง’ เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ไม่มีประสบการณ์หรือเบาะแสใดๆ ให้สืบสาว จำเป็นต้องใช้เวลาสรุปด้วยตัวเอง
แม้ว่าเขาจะมีความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงของมิติเวลาล้ำลึกกว่าคนทั่วไป แต่ว่าการค้นหาต้นตอก็จำเป็นต้องใช้เวลาและประสบการณ์
เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่รีบร้อน ทางด้านทะเลหวงเจียของโลกซ้อนโลก กว่าพวกหลัวจื้อเทาจะหลุดจากดินแดนสุทธทัศน์ได้ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปี
หากไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย สถานการณ์ยังคงมั่นคงอยู่
สิ่งเดียวที่ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอค่อนข้างสนใจก็คือ ทางประมุขทักษิณจวงเซินมีการเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่
ขณะเดินทางอยู่บนพื้นที่ของศาสนาพุทธ เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งศึกษาวิธีการกลับไปยังอีกด้านหนึ่งของ ‘กำแพง’ ทางหนึ่งทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในปัจจุบันของศาสนาพุทธ
หลังจากออกจากแดนขวางขั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ไปยังโลกของศาสนาพุทธอีกจำนวนไม่น้อย
การไหลของเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง
เวลาครึ่งปีผ่านไปเช่นนี้
“คุณชาย หากรู้เช่นนี้แต่แรก ตอนนั้นพวกเรากลับมรกตท่องฟ้าไปพร้อมกับจอมยุทธ์สายเหนือพิสุทธิ์เหล่านั้นดีกว่า ข้าว่าถึงการกลับโลกซ้อนโลกผ่านมรกตท่องฟ้าน่าจะสะดวกกว่ามาก”
หลังผละออกจากโลกของศาสนาพุทธอีกใบ อาหู่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “ถ้าหากไปเช่นนั้น ตอนนี้พวกเราควรกลับถึงโลกซ้อนโลกไปนานแล้วกระมัง”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย “ในสถานการณ์ที่เวลากระชั้นชิดหรือสถานการณ์ตึงเครียด การกลับไปได้เร็วเท่าไรย่อมดีเท่านั้น ตอนนี้เรามีเวลาเหลือเฟือ มิสู้คว้าโอกาสหายากศึกษาที่นี่ให้มากๆ”
เขาพูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ “อันสิ่งที่เรียกว่าการคาดคำนวณอย่างน่าอัศจรรย์ ส่วนใหญ่แล้วตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและข่าวสาร และตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ระหว่างเรากับอีกฝ่ายทราบสถานการณ์ไม่เท่ากัน”
“ลับมีดก่อนไม่เสียเวลาตัดฟืน การเสียเวลาและการสั่งสมในตอนนี้ไม่แน่ว่าจะมีวันได้ใช้ประโยชน์”
ชายหนุ่มเว้นไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้น โลกที่สืบทอดกันมาแต่ละรุ่นของผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์อย่างมรกตท่องฟ้า ก็อาจจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีเท่าไรนัก”
อาหู่เกาท้ายทอย “คุณชาย ข้าความจริงรู้สึกว่าที่นั่นน่าจะมีอิสระเสรียิ่งกว่าโลกซ้อนโลกอีก”
“ท่านดูสิ โลกซ้อนโลกไม่บอกกับจอมยุทธ์ชั้นกลางกับชั้นต่ำว่ามีพุทธศาสนาอยู่ แม้แต่ยอดฝีมืดระดับผู้คุมหอกู้แห่งหอกระบี่ทะเลเหนือ ผู้ปกครองเกาะซุน เจ้าสำนักโจวแห่งสำนักความมืด ก็ดูเหมือนจะไม่ทราบเช่นกัน”
“เกรงว่าจะต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างประมุขทั้งสิบ ถึงจะรู้ถึงเรื่องศาสนาพุทธในตอนนี้”
อาหู่แยกเขี้ยว “เพื่อรวมแรงศรัทธา ศาสนาพุทธจึงกำจัดร่องรอยของสำนักเต๋า โลกซ้อนโลกเองก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น จนแล้วจนเล่าแต่ละคนแค่กวาดหิมะหน้าประตูบ้านใครบ้านมัน ไม่อยากมีเรื่องยุ่งยากเพิ่มเติมกระมัง”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “เจ้าพูดไม่ผิด แต่ว่าแต่ละคนมีความคิดไม่เหมือนกัน
“เนื่องจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในอดีต สำนักเต๋าจึงเสื่อมโทรม ศาสนาพุทธจะต้องมีส่วนด้วยแน่ ผู้สืบทอดสายเหนือพิสุทธิ์มีการวิจารณ์ต่อเรื่องนี้ค่อนข้างดุดัน”
“ส่วนโลกซ้อนโลกเลือกลดความเกลียดชัง แสวงหาความมั่นคง เพิ่มจำนวนประชากร”
ชายหนุ่มยักไหล่ “แต่จุดที่ต้องยอมรับก็คือ ศาสนาพุทธในตอนนี้มีสภาวะยิ่งใหญ่ หากใช้แข็งชนแข็งเหมือนกับมรกตท่องฟ้า ย่อมโดนเล่นงานอย่างง่ายดาย”
“จากบทสนทนาของฟู่ถิงและเกาฉิง พวกเราพอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่า หลายปีมานี้พลังของโลกซ้อนโลกน่าจะเหนือกว่ามรกตท่องฟ้า”
“นี่ไม่ได้หมายความว่าการเลือกของมรกตท่องฟ้าไม่ฉลาด แต่เป็นเพราะแต่ละคนมีความเชื่อเป็นของตัวเอง เมื่อรวมกับการปฏิบัติจริงแล้ว ย่อมบอกไม่ได้ว่าผู้ใดผิดผู้ใดถูก”
อาหู่หัวเราะ “เพราะเช่นนี้นี่เอง แต่ว่ามุมมองของมรกตท่องฟ้าเหมาะกับนิสัยของข้า”
“และเหมาะกับนิสัยของข้ามากกว่า” เยี่ยนจ้าวเกอยักไหล่ “แต่ในนี้มีอุบายวางไว้มากมาย”
“ความขัดแย้งระหว่างโลกซ้อนโลกกับมรกตท่องฟ้า เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะไม่ได้อยู่ในลักษณะตั้งรับและยั่วยุเท่านั้น”
เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งนั่งขัดสมาธิในวังฝูงมังกร
ปราณมังกรหลายสายรวมตัวกันในร่างของเขา ในรูขุมขนทั่วร่างของเขามีกลิ่นโอสถจางๆ ลอยออกมา
ตอนนี้ญาณจริงแท้ของชายหนุ่มถูกเก็บไว้ด้านในทั้งหมด ไม่เผยออกมาด้านนอก
มีเพียงแต่ในดวงตาของเขาเท่านั้นที่มีเงาแสงรูปคนกะพริบ บนผิวของร่างคนซึ่งเกิดจากแสงนี้สลักลวดลายอาคมอันน่าอัศจรรย์ไว้หลายสาย