ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 902 เทวกษัตริย์ไร้ประมาณ
แม้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอจะสนใจเรื่องราชันพระอาทิตย์เกาหานอยู่ แต่ว่าข้อมูลที่รู้ในตอนนี้มีน้อยเกินไป เขาจึงไม่ไปคิดถึงอีก
สิ่งที่จำเป็นต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกในตอนนี้ก็คือ จะกลับโลกซ้อนโลกให้เร็วที่สุดได้อย่างไร
เยี่ยนจ้าวเกอถามคำถามนี้กับฟู่ถิง แต่นางกลับยิ้มอย่างหนักใจ
นางชี้หน้าผากของตัวเอง “ตอนนี้ข้ายังไม่มีวิธีการดีๆ ได้แต่ค่อยๆ หาทางกลับไป”
ชายหนุ่มเข้าใจ และรู้ว่าผนึกในสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อยที่ฟู่ถิงกระตุ้นก่อนหน้านี้ ได้ผลาญการเตรียมตัวจำนวนหนึ่งของตัวนางไป
ไม่อย่างนั้นด้วยความรักใคร่ที่จักรพรรดิแพรมีต่อนาง จะต้องทิ้งความสามารถไว้บนตัวนาง เพื่อให้ในยามที่นางพบสถานการณ์ซึ่งต้องติดอยู่ในกระแสปั่นป่วนของมิติ ได้กลับเขาคุนหลุนบนโลกซ้อนโลกโดยไว
แต่ความสามารถที่ว่าเหล่านี้ บัดนี้กลับไม่อาจใช้ได้
ถ้าหากว่าเมื่อครู่ทางเชื่อมมิติไม่ได้ถูกฟันทำลาย ทุกคนอาจจะยังกลับโลกซ้อนโลกด้วยกันได้
น่าเสียดายที่ทวนพระอังคารถึงอย่างไรก็เป็นอาวุธเซียน ทั้งยังเป็นอาวุธเซียนที่แสดงพลังได้เองชิ้นหนึ่ง
พอคิดถึงทวนพระอังคาร เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงพลันสบตากัน ต่างก็ยิ้มอย่างขื่นขม
ดูจากท่าทีเมื่อครู่ อีกฝ่ายหลังจากทำลายสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อยเสร็จ กลับไม่คิดจะจากไป ถึงกับรั้งอยู่ที่เดิม คล้ายรอจักรพรรดิแพรกลับมาโดยเฉพาะ
ช่างเขื่องโขและหยิ่งทะนงจริงๆ
เยี่ยนจ้าวเกอส่ายศีรษะ แยกแยะทิศทางในมิติตรงหน้า “ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องเหล่านี้ ทำความเข้าใจว่าตอนนี้อยู่ไหนก่อนค่อยว่ากล่าว”
ฟู่ถิงเองก็ปลุกปลอบจิตใจ พลางสำรวจสถานการณ์รอบๆ เช่นกัน
แม้จะทำลายสถานบำเพ็ญหลีเฮิ่นน้อยในตอนท้าย แต่ก็ยังปกป้องยอดฝีมือเผ่ามังกรสามตนนั้นไว้ไม่ได้ ได้แต่มองพวกเขาถูกสังหารต่อหน้าตนตาปริบๆ
สำหรับฟู่ถิงที่เป็นสตรีอัจฉริยะ นางไม่เคยเสียท่าใครมาก่อน เรื่องในวันนี้นับว่าส่งผลกระทบกระเทือนอยู่บ้าง
หลายปีมานี้ เรื่องที่ทำให้ฟู่ถิงอัปยศถึงเพียงนี้ มีแต่เรื่องที่เตาทองคำม่วงเมฆาลี้ลับบินหนีไปโดยไร้ปีก และผู้อาวุโสในสำนักของตนพลัดหลงไปในหลุมดำไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน
และสิ่งที่ทำให้ฟู่ถิงทั้งขุ่นเคืองและขบขันก็คือ เรื่องที่ทำให้ตนต้องเสียท่าถึงสองครั้งใหญ่ๆ ซึ่งไม่ค่อยพบเจอนักนี้ เยี่ยนจ้าวเกอถึงกับมีส่วนอยู่ด้วย
แต่นางมีจิตใจแน่วแน่ ไม่ทันไรก็ปรับสภาพจิตใจของตัวเองได้
ไม่ทราบว่าคนทั้งสองลอยอยู่ในมิตินานเท่าไร ก่อนที่มิติตรงหน้าจะเกิดเปลี่ยนแปลง ปรากฏเค้าโครงของโลกใบหนึ่งให้เห็นรางๆ
เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงสบตากัน ต่างพุ่งร่างเข้าไปในโลกใบนั้น
เมื่อเข้ามาในนี้ อาณาเขตฟ้าดินพลันบิดเบี้ยวส่ายไหวครั้งหนึ่ง คล้ายกับต้องการกีดกันเยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงออกไป
คนทั้งสองบรรลุพลังหยินหยาง ปราณสองสายหมุนเวียน ประสานกับฟ้าดินตรงหน้า พลังกีดกันพลันลดน้อยลง
หลังจากเข้ามาด้านใน ก็เห็นป่ากว้างใหญ่สีเขียวชอุ่มผืนหนึ่งปรากฏในครรลองสายตา
เยี่ยนจ้าวเกอหยุดท่าร่าง ทอดสายตามองไกลออกไป ‘การเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณในที่แห่งนี้ผิดปกติยิ่ง…’
พวกตนต่างเป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ในขั้นเทวะสำแดง แต่กลับอยู่ในโลกใบนี้ได้อย่างเป็นปกติ
ไม่เหมือนกับโลกเบื้องล่างอย่างโลกแปดพิภพ โลกผืนสมุทร และโลกยมทะยาน
แต่ก็ไม่เหมือนว่าได้กลับมาถึงโลกซ้อนโลก
พอสัมผัสได้ถึงจุดนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็อดแยกเขี้ยวยิงฟันไม่ได้ “หวังว่าที่นี่จะไม่ใช่มรกตท่องฟ้า ไม่อย่างนั้น…คงเป็นโลกของศาสนาพุทธอีกใบหนึ่งหรือ”
“คุณชายเยี่ยนทราบถึงการดำรงอยู่ของโลกศาสนาพุทธเช่นกันหรือ” ฟู่ถิงในฐานะบุตรีของจักรพรรดิแพร จึงทราบเรื่องราวที่จอมยุทธ์ในระดับเดียวกันมากมายไม่รู้
นางกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เยี่ยนจ้าวเกอรู้เรื่อง “ท่านอาเฉาแม้แต่เรื่องนี้ก็บอกท่านด้วยหรือนี่”
เยี่ยนจ้าวเกอเงียบงันครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ประมุขอาคเนย์บอกข้า ขอไม่ปิดบัง ครั้งก่อนตอนตามหาเตาวิเศษเตานั้น ขณะมิติปั่นป่วน ข้ากับพวกเกาฉิง แม่นางเกาแห่งมรกตท่องฟ้า ได้เข้าไปในโลกศาสนาพุทธใบหนึ่งโดยบังเอิญ จึงค่อยทราบเรื่องราวอยู่บ้าง”
ฟู่ถิงพยักหน้า ถอนใจเอ่ยว่า “นี่ไม่อาจโทษว่าได้”
นางมองเยี่ยนจ้าวเกอพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านพ่อและผู้ปกครองท่านอื่น เพราะพิจารณาถึงความปลอดภัยของโลกซ้อนโลกและโลกเบื้องล่างมากมาย ดังนั้นจึงเก็บเป็นความลับไม่ป่าวประกาศ”
“ในนี้คล้ายมีความลับที่ข้าไม่ทราบอยู่ด้วย ท่านพ่อไม่ได้บอกให้ฟัง ทว่าเรื่องราวคล้ายซับซ้อนยิ่ง”
เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางฟู่วางใจ ข้ากลับมาจากโลกศาสนาพุทธใบนั้นก็ไม่ได้ป่าวประกาศ ที่แล้วมาปากข้าล้วนปิดสนิท”
ฟู่ถิงเองเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้อนี้ข้าเชื่อ”
คนทั้งสองทางหนึ่งสัมผัสเส้นสายปราณวิญญาณของฟ้าดิน ทางหนึ่งเหาะเหิน
ไกลออกไปมีบ้านของผู้คนอยู่
แต่ว่าหลังจากควันไฟลอยขึ้น กลับมีแสงจางๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วย
เป็นแสงที่มาจากพลังแห่งศรัทธา หลังจากผนึกรวมกันถึงระดับหนึ่ง ก็เปลี่ยนจากปลอมเป็นจริง
“ไม่ใช่มรกตท่องฟ้า กลับเป็นโลกศาสนาพุทธใบหนึ่งหรือ” เยี่ยนจ้าวเกอมองไปมองมา คิ้วพลันขมวดมุ่น “…รอเดี๋ยว ไม่ถูกต้อง!”
เขาแตกตื่น “นั่นไม่ใช่รัศมีแสง!”
ฟู่ถิงที่อยู่ด้านข้างกำลังพิจารณาแสงที่ลอยขึ้นฟ้าอย่างละเอียด สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน “ไฉน…ไฉนจึงดูเหมือนแรงศรัทธาที่ผนึกรวมจากเคล็ดวิชาในสำนักเต๋าของเรากัน”
ทั้งสองสบตากัน ต่างก็เห็นความประหลาดใจจากในดวงตาของอีกฝ่าย
จริงอยู่ที่สำนักเต๋าเองก็มีการเซ่นไหว้เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นเขากว่างเฉิง หรือว่ายอดเขาอัศจรรย์ หรือสำนักใดๆ ที่รับสืบทอดวรยุทธ์สายเต๋า
นอกจากการบูชาบรรพบุรุษในแต่ละรุ่นของตัวเองตามลำดับแล้ว ยังบูชาบรมครูสามพิสุทธิ์ด้วย
แต่ว่านั่นเป็นการบูชาที่เรียบง่ายที่สุด เป็นการแสดงความเคารพที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่านั้น
เหมือนกับที่การบูชาของศาสนาพุทธ ในยามที่พระศากยมุณียังทรงไม่ละสังขาร
เพียงแต่แสงจากพลังศรัทธาที่ผนึกรวมกันจากเคล็ดวิชาสายเต๋าอย่างตรงหน้านี้ กลับแตกต่างกับการบูชาตามความหมายทั่วไป
นั่นเป็นการจับตัวกันของพลังศรัทธาจากคนหมู่มาก คล้ายกับหลักการศาสนาพุทธของพระศรีอาริย์องค์ปัจจุบัน
นักพรตไม่ต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง แต่ว่ามอบความหวังและความปรารถนาทั้งหมดไว้กับใครสักคน
เยี่ยนจ้าวเกอสูดหายใจลึก หันไปมองฟู่ถิง ถามตรงๆ ว่า “ดูจากท่าทีของเกาฉิงกับสหายในสำนักคนอื่นแล้ว มรกตท่องฟ้าคงไม่ใช่ที่ที่จะทำเรื่องเช่นนี้”
“แต่ว่าแม่นางเกาฉิงอาจจะเป็นตัวแทนสายสำนักของนาง ตามที่ท่านทราบ มรกตท่องฟ้ามีคนอื่นที่ทำเรื่องเช่นนี้หรือไม่”
ฟู่ถิงมีสีหน้าซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้ใส่ร้ายมรกตท่องฟ้า ตอบตามตรงว่า “ตามที่ข้าทราบ ไม่มี”
เยี่ยนจ้าวเกอมองแสงสูงเทียมฟ้าสายนั้น “ที่นี่ไม่เหมือนกับสถานที่บนโลกซ้อนโลก และไม่ใช่โลกเบื้องล่างเหมือนอย่างโลกแปดพิภพ”
หลังจากสองคนขบคิด ก็เดินทางต่อ มุ่งหน้าไปทางสถานที่ที่มีบ้านคน
พอเข้าใกล้แล้ว พวกเขาก็เหาะลงมาถึงพื้น ก่อนจะก้าวไปด้านหน้า เห็นป้อมปราการแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนพื้นราบ รอบๆ มีหมู่บ้านมากมาย
กลางหมู่บ้านและกลางเมืองต่างมีแสงหลายสายลอยขึ้น บ้างเข้มข้นบ้างจาง แสงที่ลอยจากในเมืองเข้มข้นกว่าและผนึกรวมกันมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
พวกเยี่ยนจ้าวเกอแอบเข้ามา ภาษาที่คนในนี้ใช้ แตกต่างกับโลกซ้อนโลก ทำให้เยี่ยนจ้าวเกอต้องเปลืองแรงตั้งใจฟัง
แต่ว่าเขาค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ทุกคนบูชาแล้ว
“เทวกษัตริย์ไร้ประมาณ?”
เยี่ยนจ้าวเกอกับฟู่ถิงมองกันไปมองกันมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย
ในฐานะลูกศิษย์สามพิสุทธิ์ การทักทายกันตามกาลเทศะมักจะกล่าวว่า ‘สามไร้ประมาณ[1]’ หรือ ‘ความสุขล้วนมาจากเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ (เทพไร้ประมาณ) บุญกุศลล้วนยิ่งใหญ่’ พวกเขาสองคนย่อมทราบ
‘เทวกษัตริย์ไร้ประมาณ’ ในที่นี้ หมายถึง ‘เหล่าเทพจำนวนนับไม่ถ้วน’ หรือ ‘เหล่าเทพมากมาย’ ไม่ได้หมายถึงคำเรียกเทพองค์ใดองค์หนึ่ง
“ความสุขเกิดจากเทวกษัตริย์ไร้ประมาณ” เป็นคำพูดที่สมบูรณ์โดยตัวมันเอง แต่ด้านหลังควรจะเติมประโยคว่า “บุญกุศลล้วนยิ่งใหญ่” ด้วย
แต่ว่าคนในโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์หรือคนธรรมดาสามัญ เวลาเรียกนามเทวกษัตริย์ไร้ประมาณล้วนหมายถึงตัวตนอย่างหนึ่ง เหมือนที่ลูกศิษย์ศาสนาพุทธเปล่งคำสรรเสริญว่า ‘นะโมพุทธายะ’ เวลาสรรเสริญพระศรีอาริย์
นอกจากนี้ยังไม่ได้แค่เรียกเฉยๆ
ปัญหาคือ สำนักเต๋าที่แล้วมาไม่มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่องค์ไหนที่มีชื่อว่า ‘เทวกษัตริย์ไร้ประมาณ’
เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตา “…คือตัวอะไรกันแน่?”
………………..
[1] สามไร้ประมาณ หมายถึง 无量观、无量寿、无量福 ซึ่งแปลตามตัวได้ว่า ปัญญาที่ประมาณมิได้ อายุยืนนาน และมีความสุขไร้ประมาณ ตามลำดับ