ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 990 แม่น้ำเหลืองเก้าโค้ง อุทกท่วมเจ็ดทัพ
แม่น้ำเหลืองเก้าโค้งในตำนาน ด้านในสะกดสามไตรภาค กอปรด้วยความน่าอัศจรรย์ของฟ้าดิน
ด้านในยังมีโอสถลวงเซียนและคาถากักขังเซียน ทำให้เซียนเสียสติ พรากวิญญาณของเซียน ทำลายจุดกำเนิดของเทพเซียน รวมถึงสร้างความเสียหายต่อร่างของเทพเซียน
ในเก้าโค้งไร้เส้นตรง บิดงอความน่าอัศจรรย์แห่งธรรมชาติ เปิดเผยความลับของเทพเซียน
พวกชิงซู่จื่อกับจางซู่เหรินต่างมีความรู้ไม่ธรรมดา ในตอนนี้ได้ประสบกับความร้ายกาจของค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งนี้ด้วยตัวเอง ก็ทราบอย่างถ่องแท้ว่าค่ายกลที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่ใช่เยี่ยนจ้าวเกอสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญ
เทียบกับอานุภาพของ ‘เทพเซียนเข้าไปด้านในกลายเป็นคนธรรมดา คนธรรมดาเข้าไปด้านในก็ดับสูญ’ ในตำนานแล้ว ย่อมพูดได้ว่ามีดีแค่ชื่อเท่านั้น
แต่ว่าพวกเขากลับไม่มีใครที่ได้ผลักเปิดประตูเซียน
ยามนี้ติดอยู่ในค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้ง เป็นสถานการณ์ตายเก้ารอดหนึ่งโดยแท้
แค่ถูกลมโรคาและหมอกสีดำนั้นพัดใส่ วิญญาณก็ถูกการกดกร่อน เกิดความรู้สึกวิงเวียนอย่างไม่อาจควบคุม
จุดลมปราณที่เหมือนกับดวงดาวที่แท้จริงทั่วร่างถึงกับเกิดการอุดตัน
จอมยุทธ์จากขั้นเทวะสำแดงปีนขึ้นสะพานเซียน ย่างเก้าแรกคือการทำให้จุดลมปราณซึ่งได้เห็นเทวะสำแดงทำงาน มีเส้นทางการโคจรและมีแบบแผนการเคลื่อนไหวเหมือนกับดวงดาวบนฟากฟ้า
จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด ขั้นสะพานเซียนระยะต้นคิดจะเลื่อนเป็นระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด ขั้นสะพานเซียนระยะกลาง จะต้องทำให้จุดลมปราณในร่างดับลงเหมือนกับดวงดาวที่สิ้นสลายตามธรรมชาติให้ได้
เหมือนกับที่คนมีอายุขัย ดวงดาวก็มีอายุขัยเหมือนกัน เพียงแต่ยาวนานถึงขีดสุด ทว่าอย่างไรเสียดวงดาวก็ดับสิ้นได้เหมือนกัน
จอมยุทธ์จะหลอมจักรวาลในร่างให้ประสานเสียงกับจักรวาลที่แท้จริงนอกโลก จำเป็นต้องก้าวเท้าก้าวนี้ก่อน
จุดลมปราณจะดับสลายไปเองในตอนที่ฝึกฝน แต่ไม่ทำให้พลังของจอมยุทธ์ถอยกลับหลัง
ปริมาณบางทีอาจมีน้อย แต่คุณภาพกลับก้าวสู่ขั้นบันไดขั้นใหม่
การกำเนิดกับการดับสิ้น เป็นหัวข้อหลักที่ดำรงอยู่ตลอดกาล
จากเกิดเป็นสิ้นสุด จากนั้นก็เกิดการสร้างใหม่ วนเวียนกันเช่นนี้ ซ้ำไปซ้ำมา สอดคล้องกับมหามรรคา
สัญลักษณ์การเลื่อนจากจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ก็คือจะมีจุดลมปราณใหม่ที่เหมือนกับดวงดาวเกิดใหม่ถูกหลอมเปลี่ยนขึ้นมาเองในร่างของจอมยุทธ์
พอมาถึงตอนนี้ พลังฝึกปรือของจอมยุทธ์จะเพิ่มขึ้นอีกขั้น ก้าวสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ขั้นสะพานเซียนระยะท้าย
การเกิดและการดับสูญสลับกันไม่หยุดยั้ง อีกทั้งแบบแผนการทำงานยังมั่นคงสมบูรณ์แบบ จักรวาลในร่างของจอมยุทธ์จะใกล้เคียงกับจักรวาลที่แท้จริงมากขึ้น
ในกระบวนการนี้ ความเข้าใจที่จอมยุทธ์มีต่อหลักการของฟ้าดินและสภาพร่างกายของตัวเอง จะยิ่งถ่องแท้และล้ำลึกมากขึ้น
จนกระทั่งถึงตอนสุดท้าย พอจุดลมปราณทั่วร่างล้วนถูกหลอมเป็นเทวะราวกับเป็นดวงดาว จักรวาลในร่างประสานเสียงกับจักรวาลที่แท้จริง ก็จะมีโอกาสสำเร็จเป็นร่างของมนุษย์เซียน ก้าวสู่ระดับประมุข
เพียงแต่ว่าคิดจะทำให้ได้ถึงขั้นนี้ ถือเป็นความยากเย็นอย่างยิ่ง
จอมยุทธ์ส่วนใหญ่ขนาดใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังไปไม่ถึง
แต่ว่าคนที่อยู่รอบๆ ไม่ใช่ไม่มีความหวังโดยสิ้นเชิง
โดยเฉพาะชิงซู่จื่อและหยวนเสี่ยนเฉิง ยิ่งมีความหวังค่อนข้างมาก
ทว่าในตอนนี้ พวกเขาต่างรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าพอได้รับผลกระทบจากค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้ง ด้านในร่างกายของพวกเขาถึงกับเปลี่ยนเป็นปั่นป่วนขึ้นมา
ภายใต้ลมโรคาที่พัดโชย และหมอกสีดำที่กัดกร่อน ชิงซู่จื่อ เผิงเฮ่อ และจางซู่เหริน ยอดฝีมือในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ต่างรู้สึกได้รางๆ ว่าตนเหมือนกับไม่อาจทำให้จุดลมปราณคืนชีพได้อีก
จุดลมปราณที่ดับสิ้นเมื่อไม่คืนชีพขึ้นอีก ก็เหมือนกับพลังฝึกปรือของพวกเขาลดลงไปอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปด
หยวนเสี่ยนเฉิงกับนักพรตเชียนหลานที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดรู้สึกว่า จุดลมปราณที่ได้เห็นเทวะสำแดงของพวกเขา แม้จะยังคงโคจรอยู่ แต่ก็เปลี่ยนเป็นเชื่องช้าและอืดอาด
จุดลมปราณเมื่อไม่อาจเปลี่ยนจากเกิดเป็นดับสูญได้เหมือนกับดวงดาวที่แท้จริง ย่อมสูญเสียลักษณะเด่นส่วนหนึ่งของดวงดาวไป เหมือนกับพลังฝึกปรือตกลงสู่ระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด
สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตระหนกก็คือ เรื่องราวไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้
พร้อมกับที่เวลาผ่านพ้นไป ทุกสิ่งทุกอย่างนี้คล้ายกับกำลังเพิ่มความรุนแรงขึ้น!
“ตอนนี้เพียงแต่ได้รับการกัดกร่อนจากหมอกทมิฬลมโรคา พลังฝึกปรือของพวกเราจึงถูกสะกดไว้ชั่วคราว!” จางซู่เหรินกล่าวเสียงทุ้ม “ถ้าหากสลบไป รากฐานจะได้รับความเสียหาย ระดับตกลง การฝึกปรือทั้งชีวิตสูญสลาย!”
ชิงซู่จื่อแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เราอยู่ในนี้มานานแล้ว จุดจบล้วนเหมือนกัน ต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด!”
พร้อมกับที่กล่าว เขาสะบัดแขนเสื้อ เคลื่อนย้ายมิติ ขับไล่ลมโรคาและหมอกดำเบื้องหน้า
แต่ว่าเวลากับมิติด้านในค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งได้รับผลกระทบจากค่ายกล ทุกสิ่งเดิมทีบิดเบี้ยวอยู่แล้ว แม้ว่าชิงซู่จื่อจะมีพลังล้ำเลิศ ก็ยากจะพุ่งออกไป
พวกเผิงเอ่อไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย รีบร้อนใช้ทุกสิ่งที่มี
เรือนภาร่อนวายุลอยต้านลม แหวกกระแสคลื่น หมายทะลวงออกจากการปิดล้อมของแม่น้ำสีเหลืองเข้ม
ทว่าภายใต้คลื่นลูกแล้วลูกเล่าที่เหมือนกับคลื่นยักษ์ ก็ถูกกระแทกจนโงนเงียน ได้แต่ฝืนคงสภาพไม่ให้เรือคว่ำ
ทุกคนกวาดสายตามองไป ทั่วบริเวณยังคงเป็นสีดำ ไม่เห็นฟ้าเห็นอาทิตย์ ไม่อาจแยกแยะทิศทาง
พวกเขารุ่มร้อนเหมือนจิตใจโดนแผดเผา แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอพอได้เปรียบแล้ว ก็ยืมพลังของแม่น้ำยุคสมัย ค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งปกคลุมเขารอบวง
มองจากภายนอก เขารอบวงถูกแม่น้ำสีเหลืองเข้มท่วมจนมิด
หากมองจากที่สูง จะเห็นแม่น้ำสีเหลืองเข้มที่คดเคี้ยวเป็นเก้าโค้ง เต็มไปด้วยความลี้ลับของการสรรสร้าง
ด้านบนผิวแม่น้ำปกคลุมด้วยลมอันน่ากลัวและหมอกอันน่าสะพรึง ทำให้คนเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง
มิติทับซ้อนกันหนาหนัก พื้นที่ด้านในค่ายกลยังกว้างใหญ่กว่าเดิม เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าพวกเผิงเฮ่อจะไปทางไหน สุดท้ายก็ไม่อาจหนีออกไป
“พวกเราไม่เชี่ยวชาญการเปลี่ยนแปลงของค่ายกล หากทะลวงต่อไปเช่นนี้จะเสียแรงเสียเปล่า เวลามีไม่พอแล้ว” ชิงซู่จื่อยังคงเยือกเย็น
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็ถูกหมอกทมิฬลมโราคาพัดใส่จนปวดศีรษะ ได้แต่กล้ำกลืนรวบรวมสมาธิ “ค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งนี้ เป็นความสามารถของเทพเซียนในตำนาน คนธรรมดาไม่มีทางกางขึ้นมาได้เด็ดขาด”
“โจรน้อยแซ่เยี่ยนผู้นั้นแม้จะมีพลังโดดเด่น ระดับความสามารถด้านค่ายกลสูงล้ำ แต่ว่าความแตกต่างระหว่างระดับพลังฝึกปรือก็มีให้เห็นชัดเจน”
“คิดจะผลักดันค่ายกลที่อันตรายสุดประมาณเช่นนี้ เขาเองก็ต้องทุ่มเทจิตใจและกำลังอย่างเต็มที่ถึงจะถูก ในตอนนี้ตัวเขาเองก็ทำอะไรคนอื่นไม่ได้เช่นกัน!”
ฟังชิงซู่จื่อพูดถึงตรงนี้ พวกเผิงเฮ่อก็เข้าใจขึ้นมา
“มัวแต่วนไปวนมาอยู่ในค่ายกลเช่นนี้ก็เข้าแผนของโจรน้อยนั่นพอดี” เผิงเฮ่อกล่าวด้วยเสียงรีบร้อน “จำเป็นต้องทำตรงกันข้ามกับหลักเหตุผล จู่โจมจุดอ่อน จึงค่อยทำลายค่ายกลได้”
จางซู่เหรินตอนนี้กลายร่างเป็นต้นจักรพรรดิหยั่งรากบนเรือ ป้องกันการกัดกร่อนจากลมโรคาและหมอกดำ ครั้งนี้กล่าวต่ออีกว่า “เมื่อเป็นค่ายกลย่อมมีใจกลางค่ายกล โจรน้อยแซ่เยี่ยนนั่นตอนนี้จะต้องอยู่ที่ใจกลางค่ายกลแน่ พวกเรามุ่งหน้าไปที่ส่วนที่อันตรายที่สุดของค่ายกลดีกว่า”
“ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะเอาลูกเสือมาได้อย่างไร”
เผิงเฮ่อมอบสิทธิ์ควบคุมเรือนภาร่อนวายุให้แก่จางซู่เหริน ฝ่ายจางซู่เหรินอาศัยทักษะด้านค่ายกลของตัวเอง ฝืนศึกษาการเปลี่ยนแปลงของค่ายกล พากลุ่มคนแล่นเข้าไปยังจุดที่อันตรายที่สุดของค่ายกล
‘เร่ง!’ ขณะที่ทุกคนอดทนต่อผลกระทบที่ค่ายกลแม่น้ำเหลืองเก้าโค้งนำมา ทางหนึ่งมุ่งหน้า ทางหนึ่งเผิงเฮ่อก็ใช้สองมือฟันด้านหน้าพร้อมกันประดุจดาบ
หงส์เพลิงที่มีสีสันต่างจากปกติตัวหนึ่งบินออกมา มันมีสีน้ำเงินเข้ม ดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็ฝ่าทางข้างหน้าไปก่อน
ชิงซู่จื่อใช้วรยุทธ์แขนเสื้อเหินอนัตตาซึ่งเป็นการสืบทอดของยอดเขาอนัตตา เปลี่ยนอ่อนโยนเป็นแข็งแกร่ง สะบัดแขนเสื้อออกดุจศาสตราวุธ เปิดจุดลมปราณทั่วร่าง ฟันทำลายมิติ
นักพรตเชียนหลานกับหยวนเสี่ยนเฉิงโดยสารอยู่บนดาดฟ้าเรือนภาร่อนวายุ ทรุดนั่งขัดสมาธิ สงบสติอารมณ์
เวลาผ่านไปจนมาถึงตอนนี้ ยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นแปดที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดกำลังจะผืนต่อไปไม่ไหว ได้แต่สงบนิ่งเหมือนกับนกกระทาตัวหนึ่ง
จิตใจของคนทั้งสองในตอนนี้ไม่ได้มีความคับข้อง กลับเต็มไปด้วยความกังวล
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาต้องเดินซ้ำรอยคนอื่นๆ
แม้แต่แรงกดดันของชิงซู่จื่อ เผิงเฮ่อ และจางซู่เหริน ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าสามคนก็ยิ่งมายิ่งมากแล้ว!