ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 10 ชิงตำแหน่งรัชทายาท (2)
ข้าแทบเป็นลมเสียเดี๋ยวนั้น ข้าดูเหมือนคนปัญญาอ่อนมากนักหรือไร จ้วงหยวนตัวเล็กๆ เช่นข้า เกรงว่าในสายตาของพระมเหสีคงเป็นเพียงขุนนางที่ไม่สลักสำคัญอันใด อาศัยอะไรจึงคิดว่าข้าจะส่งผลต่อพระมเหสี ข้าจ้องเขม็งไปยังท่านอัครมหาเสนาบดี หวังว่าเขาจะหยุดความคิดที่ไม่อาจเป็นจริงเช่นนี้ไปเสีย แต่ความฝันของข้ากลับต้องพังทลาย ไอ้แก่ซังเหวยจวินนั่นถึงกับมีสีหน้าครุ่นคิด ส่วนท่านหัวหน้าสำนักฮั่นหลินถึงกับผงกศีรษะระรัว เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจึงถูกเหลียงหวั่นพาขึ้นรถม้าโดยไม่มีกระทั่งโอกาสให้ปฏิเสธ มุ่งหน้าไปยังราชนิเวศน์
ขณะเดินทาง ข้าถามอย่างจริงจัง “คุณหนูเหลียง ผู้น้อยเคยล่วงเกินท่านหรือ”
เหลียงหวั่นโคลงศีรษะพร้อมยิ้ม “ไม่เคย”
ข้าถามต่อไป “เช่นนั้นผู้น้อยเคยล่วงเกินต้ายงหรือ”
ดวงตาของเหลียงหวั่นส่องประกายเย้ยหยัน “ไม่เคย”
พลันนั้น ข้าจึงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเคืองแค้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อีกทั้งข้าก็ไม่มีความแค้นสังหารบิดาท่าน ทั้งมิได้เป็นบุรุษไร้น้ำใจทรยศหักหลังท่าน เหตุใดจึงต้องทำร้ายกันให้ได้”
เหลียงหวั่นประหลาดใจ เผยรอยยิ้มงดงามราวบุปผา “ท่านจ้วงหยวนโกรธเสียแล้ว”
ข้ากลับคืนสู่ท่าทีสงบนิ่ง เอ่ยอย่างเย็นชืด “ข้าทำงานไม่สำเร็จเป็นเรื่องเล็ก กลัวก็แต่จะเกี่ยวพันไปถึงคุณหนูเหลียง” หึ ต่อให้ตาย ข้าก็จะลากนางไปตายด้วย ข้าคิดในใจอย่างโหดเหี้ยม
ดวงตางดงามของเหลียงหวั่นกลอกไปมารอบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงหยาดเยิ้ม “ท่านจ้วงหยวนเข้าใจผิดแล้ว วิธีนี้ของข้ามีโอกาสสำเร็จถึงเก้าส่วน”
ข้าไม่พูดกับนางอีก คิดว่าการทะเลาะกันเพียงเพราะเรื่องที่ถูกตัดสินไปแล้วไม่มีความหมายแม้แต่น้อย ความโกรธเกรี้ยวที่แสดงเมื่อครู่ก็เพียงแสดงไปตามท่าทีของคนปกติเท่านั้น อย่างไรเสีย ต่อให้ทำภารกิจไม่สำเร็จก็มิอาจกล่าวได้ว่าข้าไม่ยอมทำหน้าที่เต็มกำลัง อย่างมากก็เลื่อนขั้นช้าหน่อยเท่านั้น
เหลียงหวั่นเห็นข้าไม่พูดจา กลับเพิ่มท่าทีเคารพขึ้นหลายส่วน นี่ทำให้ข้าหวาดระแวงยิ่งขึ้น แม้หลายปีมานี้ ข้าจะมิเคยพบนาง ทว่าเรื่องของนางกลับได้ยินมาบ้าง เมื่อดูจากพฤติกรรมของนาง เป็นไปได้มากว่านางจะเป็นสายลับของต้ายงจริงๆ มิเช่นนั้น เหตุใดผ่านมาสามปีแล้วจึงหาบุรุษต้องใจไม่ได้เสียทีเล่า ข้าเห็นนางสร้างเส้นสายกับผู้มีอำนาจไปทั่ว เป็นดั่งปลาได้น้ำในหมู่ขุนนางและประชาชนชาวหนานฉู่ ไม่เชื่อเด็ดขาดว่านางเป็นเพียงสตรีสามัญ
หากพูดให้ระคายหูเสียหน่อย แม้ตอนข้าอยู่เจียซิ่งจะเคยไปหอเยียนเยว่ครั้งหนึ่งเพราะตกหลุมพรางผู้อื่น ทว่าอวิ๋นเยี่ยนเจ้าของหอเยียนเยว่ก็เป็นสตรีงามดุจนางเซียน ทั้งยังเป็นหญิงงามที่เชี่ยวชาญทั้งดนตรี หมาก อักษร ภาพวาด ผู้ที่ยอมสยบอยู่ใต้กระโปรงนางมีมากมายดุจปุยเมฆ ทว่าดูจากพฤติกรรมของเหลียงหวั่น เห็นว่าเป็นเพียงสตรีที่มีทักษะการแสดงสูงผู้หนึ่งเท่านั้น ส่วนที่แตกต่างกันชัดเจนก็คือ ผู้ที่นางไปมาหาสู่ล้วนเป็นบุคคลผู้มีความสามารถและขุนนางระดับสูง มีเบื้องหลังแข็งแกร่ง และไม่ได้ขายเรือนร่าง
เหลียงหวั่นไม่รู้ว่าข้ากำลังบริภาษนาง ยังคงโอภาปราศรัยกับข้าไปเรื่อย ผ่านไปราวสองชั่วยามกว่า ในที่สุดรถม้าก็มาถึงราชนิเวศน์บริเวณทะเลสาบโม่โฉว หลังผ่านการตรวจสอบจากราชองครักษ์แล้ว ข้าก็เข้าไปที่ราชนิเวศน์อย่างสะดวกราบรื่น เมื่อเดินข้ามฝั่งมา เหลียงหวั่นก็ไม่ได้ให้คนไปรายงาน ลากข้าเดินเข้าไปด้านในเลย นางข้าหลวงสองคนข้างๆ คล้ายรู้ดีว่าเหลียงหวั่นล่วงเกินมิได้ ดังนั้น นอกจากเดินกระหืดกระหอบเข้าไปรายงานแล้วก็ทำได้เพียงปล่อยพวกเราเข้าไปเช่นนี้
เมื่อเดินเข้าไปในห้อง ข้าก็เห็นองค์หญิงฉางเล่อสวมชุดชาววังสีอ่อน กำลังนอนเอนกายพลิกอ่านตำราเล่มหนึ่งอยู่บนตั่งไหม นางเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “พี่หวั่นเอ๋อร์มาแล้ว”
ทว่าเมื่อเห็นข้าก็หน้าแดงด้วยความอับอายไปโดยพลัน “เจ้าเป็นผู้ใด ถึงได้ใจกล้าเพียงนี้ ถึงกับกล้าบุกรุกที่ประทับของข้าเชียวหรือ”
เหลียงหวั่นปล่อยข้า เดินขึ้นไปกล่าวว่า “องค์หญิงทรงทอดพระเนตรเถิด หม่อมฉันพาคนที่องค์หญิงอยากพบที่สุดมาแล้ว เหตุใดทรงกริ้วไปได้เล่า”
องค์หญิงฉางเล่อชะงักไป ในใจพลันคิดถึงคนผู้หนึ่ง เอ่ยอย่างตะลึงงัน “หรือจะเป็นเจียงเจ๋อ เจียงสุยอวิ๋น”
เหลียงหวั่นหันกลับมาพูดกับข้า “เจียงเจ๋อ ยังไม่มาคารวะองค์หญิงอีก”
ข้าตะลึงไปตั้งแต่เดินเข้าประตูมาแล้ว ยามพบองค์หญิงฉางเล่อเมื่อปีนั้นเป็นวันอภิเษกของนาง นางสวมอาภรณ์ขององค์หญิงแห่งต้ายง ทั้งยังเป็นชุดแต่งงานสีแดง ดังนั้นแม้จะอายุเพียงสิบหกแต่ยังดูสง่างามสูงศักดิ์ วันนี้นางสวมอาภรณ์สีอ่อน มิได้แต่งองค์ทรงเครื่อง ทั้งมิได้ทาแป้งแต้มชาด แต่กลับดูสูงสง่าและงดงามอ่อนหวาน แตกต่างจากตอนแต่งงานโดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น สองปีมานี้นางผ่านความทุกข์ยากมากมาย ทำให้มีเสน่ห์ดังเช่นสตรีที่เติบโตแล้วเพิ่มเข้ามา ใจข้าเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ก็เกิดความคิดชั่วร้าย หากได้ตระกองกอดนางสักครั้งจะดีเพียงใดกัน
ขณะข้ากำลังคิดฟุ้งซ่าน คำพูดของเหลียงหวั่นพลันทำให้ข้าได้สติ รีบเดินเข้าไปถวายความเคารพ “กระหม่อมเปียนซิวแห่งสำนักฮั่นหลิน เจียงเจ๋อ ถวายบังคมพระมเหสี ขอจงทรงพระเจริญพันปี พันพันปี”
องค์หญิงฉางเล่อเผยสีหน้ายินดีระคนกังวล พักใหญ่จึงค่อยกล่าวขึ้น “ใต้เท้าเจียงลุกขึ้นเถิด ปกติข้าชอบบทกวีของใต้เท้าเจียงเป็นที่สุด วันนี้ได้พบจึงอยากขอคำชี้แนะเสียหน่อย มิทราบว่าได้หรือไม่”
ข้ากล่าวอย่างสงบนิ่ง “ย่อมมิกล้าปฏิเสธ”
องค์หญิงฉางเล่อคล้ายเห็นความเย็นชาของข้าจึงมองข้าปราดหนึ่ง “นี่คือบทกวีที่ข้าคัดลอกยามปกติ ใต้เท้าเจียงทราบหรือไม่ว่าข้าชอบบทใดที่สุด” นางกล่าวพลางส่งสมุดในมือไปให้เหลียงหวั่น เหลียงหวั่นคารวะเล็กน้อยแล้วนำสมุดมามอบให้ข้า
ข้ารับมาดูพบว่าเป็นบทกวีที่คัดลอกด้วยมือเล่มหนึ่ง ตัวอักษรแต่ละแถวงดงามวิจิตร ข้าพลิกเปิดดู หน้าแรกเป็นบท ‘พิณวิจิตร’
“ไยพิณวิจิตรจึงมีห้าสิบสาย หนึ่งสายแทนความคะนึงถึงช่วงเวลาเรืองรอง แซ่จวงใฝ่ฝันอยากเป็นผีเสื้อ จิตใจอันงดงามของท่านทำให้กุหลาบป่าประทับใจ เงาจันทร์ในทะเลสาบดุจมุกงามดุจอัสสุชล ยามแดดอ่อนหลันเถียนจึงกลายเป็นหยกก่อเกิดควัน ความรู้สึกนี้ประทับอยู่ในความทรงจำ เป็นเพียงความหดหู่ผิดหวังยามเยาว์วัย”
ข้าเอื้อนเอ่ยบทกวีที่เขียนยามบิดาจากไปตอนข้าอายุสิบห้า ยามนั้นบิดาเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ท่านหันหน้าหาภาพเหมือนของมารดา บ้างกระซิบแผ่วเบาบ้างส่งเสียงหัวเราะเบาๆ หลายครั้งที่เจือไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจจางๆ ที่โศกเศร้าเพียงเล็กน้อยเป็นเพราะท่านพ่อใกล้ได้พบท่านแม่แล้ว ดังนั้นในความโศกเศร้าจึงคละเคล้าไปด้วยความยินดีสายหนึ่ง และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงมิได้บีบบังคับให้ท่านพ่อกินยาขมๆ เหล่านั้นอีก ในเมื่อชีวิตของท่านพ่อไม่มีทางช่วยแล้ว เหตุใดข้าต้องให้เขาทนทุกข์ทรมานอย่างไร้ที่สิ้นสุดด้วยเล่า ข้าจำได้ว่า ค่ำคืนนั้น ข้าคุกเข่าอยู่หน้าเตียงท่านพ่อ กล่าวสาบานว่าจะดูแลตัวเองดีๆ ท่านพ่อมองข้าอย่างชื่นชม จากนั้นก็ไม่มีลมหายใจอีก สีหน้าของท่านสงบนิ่งยิ่งนัก
ข้าน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว มาวันนี้จึงค่อยรู้ว่า การจากไปของท่านพ่อนำพาความปวดร้าวมาให้ข้ามากเพียงใด
องค์หญิงฉางเล่อเห็นข้าน้ำตาไหลพลันรู้สึกไม่สบายใจ เงยหน้ามองไปยังเหลียงหวั่น เหลียงหวั่นก็รู้ความนัก รีบส่งผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้ข้าทันที
ข้าเช็ดน้ำตา กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ทำให้พระมเหสีเห็นเรื่องน่าขันแล้ว กลอนบทนี้กระหม่อมเขียนตอนท่านพ่อจากโลกนี้ไป ตอนยังมีชีวิตอยู่ ท่านพ่อรักใคร่กลมเกลียวกับท่านแม่มาก หลังท่านแม่จากไป ทำอย่างไรท่านพ่อก็ไม่อาจคลายความโศกเศร้า แม้ยามเผชิญหน้าความตาย จิตใจของท่านพ่อก็สงบนิ่งนัก เพียงเพราะจะได้พบหน้าท่านแม่แล้ว ดังนั้นกระหม่อมจึงเขียนกลอนบทนี้ขึ้นมา ไม่นึกว่าองค์หญิงก็มีด้วย”
องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ยามข้าล่วงเข้าวัยปักปิ่น มีคนจากหนานฉู่นำบทกวีนี้มาให้ข้า เพียงแต่ตอนนั้นข้าไม่รู้ว่าเจียงเจ๋อคือผู้ใด ภายหลังยามมาถึงหนานฉู่ ได้ยินบท ‘คะนึงหาใต้ศศิธร’ ของจ้วงหยวนให้รู้สึกชื่นชอบนัก เมื่อถามฝ่าบาทจึงค่อยรู้ว่าเป็นงานประพันธ์ของเจียงจ้วงหยวน ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ให้พี่หวั่นเอ๋อร์คอยรวบรวมบทกวีของเจียงจ้วงหยวนแทนข้า หลายปีมานี้ ข้าเร้นกายอยู่แต่ในตำหนัก ได้อ่านบทกวีของจ้วงหยวนจึงช่วยคลายความเศร้าได้บ้าง”
ข้ากล่าวอย่างนอบน้อม “บทกวีของกระหม่อมได้รับคำชื่นชมจากพระมเหสี นับเป็นเกียรติของกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”