ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 15 เรือเพียวเซียง (2)
หลิ่วเพียวเซียงกล่าวอย่างเย็นชา ‘แม้ผู้น้อยจะเป็นสตรีต่ำต้อย แต่ยังเข้าใจว่าสิ่งใดคือซื่อสัตย์ กตัญญู เมตตาและชอบธรรม เมื่อปีนั้น จ้าวเต๋อหลงนำทัพทำสงคราม แต่ตนเองขลาดเขลาจนพ่ายศึก ผู้ใต้บัญชาต่อสู้จนตัวตายเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ แต่เขากลับตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น กล่าวหาหัวหน้ากองว่าไม่ฟังคำสั่ง ทำผิดกฎทหาร กระทั่งต้องโทษประหารชีวิต ในหนานฉู่มีผู้ใดไม่ทราบเรื่องนี้บ้าง แต่เพราะฐานะและอิทธิพลของเขาเป็นอุปสรรค จึงไม่กล้าประณามก็เท่านั้น คนถ่อยขลาดเขลาเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้ต่ำต้อยอย่างหญิงคณิกายังนึกดูแคลน’
เมื่อคำพูดนี้แพร่ออกไป ผู้คนต่างดูแคลนหานอ๋อง ทั้งยังต้องมองหลิ่วเพียวเซียงในแง่มุมใหม่ ไม่นานหานอ๋องก็คับข้องใจจนตาย เรื่องนี้ทำให้หลิ่วเพียวเซียงมีชื่อเสียงเสียงดังกระฉ่อนไปทั้งใต้หล้า กลายเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเจี้ยนเย่ ความจริง มิใช่ว่าไม่มีนางใดดีกว่าหลิ่วเพียวเซียง เพียงแต่ไม่มีใครกล้าหาญตรงไปตรงมาเช่นนางเท่านั้น
ยามข้าได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้กแรก แม้จะนับถือเลื่อมใส หากแต่ไม่มีเงินทองเป็นค่าผ้าไหมแพรต่วน จึงมิกล้ามาพบ หากทราบว่านางไม่คิดรับเงิน ข้าคงมายลโฉมนางนานแล้ว
ข้าเริ่มเมามายจนสติพร่าเลือน คุณชายฉินท่านนั้นมองข้าอย่างเย้ยหยันแวบหนึ่ง ประกายเย็นยะเยือกในดวงตาทำให้ข้าสะดุ้งจนสติแจ่มชัด คิดว่าอย่างไรข้าก็มาเป็นเพื่อนฉีอ๋อง ดังนั้นจึงดึงแขนออกจากแขนเสื้ออย่างเนิบช้า กล่าวอย่างเคารพนอบน้อมว่า “ขอบคุณเพียวเซียงที่ชื่นชม”
หลิ่วเพียวเซียงมองข้าอย่างขุ่นเคือง ลุกขึ้นอย่างเดือดดาลแล้วเดินไปข้างกายฉีอ๋อง ใบหน้าที่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยแรงโทสะจางๆ เช่นนั้นช่างกระทบใจผู้คนโดยแท้ ทำให้พวกเราสามคนสติล่องลอยทั้งสิ้น ต่อจากนั้น หลิ่วเพียวเซียงก็ไม่ชายตาแลข้าอีก ทำเพียงพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกับฉีอ๋องและสนทนากับคุณชายฉินเป็นครั้งคราว วิธีของนางยอดเยี่ยมและชัดเจนยิ่ง สนิทสนมใกล้ชิด ทว่าไม่ปล่อยตัวเกินงาม กระทั่งคุณชายฉินผู้เย็นชายังเผยรอยยิ้มจางๆ หลิ่วเพียวเซียงช่างเป็นยอดคนแห่งยุคโดยแท้
หลังดื่มสุราไปหลายจอก นางก็ลุกขึ้นส่งเสียงร้องเรียกครั้งหนึ่ง นางคณิกาอาภรณ์เขียวเดินเข้ามาจากด้านนอก ในมือโอบอุ้มเครื่องดนตรีนานาชนิด นางเริ่มร่ายรำท่ามกลางเสียงดนตรี แล้วแปรเปลี่ยนเป็นหมื่นท่วงท่าระบำร้อนแรงราวต้องการแผดเผาชีวิต ทำเอาข้าจมลงสู่ความเมามายไปเสียสิ้น ยามข้ามองใบหน้างานพิไลของหลิ่วเพียวเซียง พลันรู้ทันทีว่านางโยนชีวิตของตนเข้าไปในการร่ายรำเช่นกัน ยามนี้ข้าหวั่นไหวกับนางแล้วจริงๆ
เมื่อหลิ่วเพียวเซียงหยุดร่ายรำ ข้าเห็นนางมองมาที่ข้า ชั่วขณะที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน หลิ่วเพียวเซียงพลันเผยสีหน้าเปรมปรีดิ์ออกมาก่อนเดินไปข้างกายฉีอ๋อง นางนั่งลงอย่างเฉื่อยชา ความงดงามที่เจือไปด้วยความเกียจคร้านเช่นนั้นทำให้ผู้อื่นอยากอุ้มนางขึ้นเตียงเสียเดี๋ยวนั้นจริงๆ
ตอนนี้เอง เยี่ยนเหนียงเดินเข้ามากล่าวยิ้มแย้มว่า “ดึกแล้ว เชิญใต้เท้าเจียงและคุณชายฉินไปพักผ่อนที่ห้องด้านข้างก่อนเถิดเจ้าค่ะ หากมีนางคณิกาที่ชมชอบ จะลองเชิญพวกนางไปอยู่เป็นเพื่อนก็ย่อมได้”
ใจข้าเจ็บแปลบเล็กน้อย รีบลุกขึ้นยืนกล่าวอำลา ทั้งยังบอกให้ฉีอ๋องดูแลตัวเองให้ดี คุณชายฉินท่านนั้นชะงักไปเล็กน้อยก่อนลุกพรวดพราดแล้วเดินออกไป ข้าจึงรีบเดินตามออกไปเช่นกัน
เมื่อส่งนางคณิกาออกไปแล้ว ข้าที่อยู่ในชุดนอนจึงล้มตัวลงบนเตียงในห้องที่แลสะดวกสบาย ทว่าไม่กว้างนัก จิตใจฟุ้งซ่าน ห้วงความคิดล้วนเต็มไปด้วยเงาของหลิ่วเพียวเซียงนางนั้น ข้าสดับฟังเสียงน้ำไหลจากนอกหน้าต่าง ค่อยๆ จมลงสู่ห้วงนิทรา
ขณะข้าครึ่งหลับครึ่งตื่น จู่ๆ กลับรู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งยื่นมือมาปลดอาภรณ์ข้า ข้าใจสั่น คงมิใช่ฉีอ๋องมาลอบจู่โจมข้าหรอกกระมัง คิดดังนั้นจึงรีบลืมตาโพลง กำลังจะร้องตะโกน แต่กลับเห็นใบหน้างามพิลาสราวบุปผาหยกแทน เป็นหลิ่วเพียวเซียงนั่นเอง
ข้าตัวอ่อนยวบ ส่งเสียงไม่ออกทันใด หลิ่วเพียวเซียงเห็นข้าตื่นแล้วจึงผลิยิ้มมากเสน่ห์ ขยับมือเพียงเล็กน้อย ถอดอาภรณ์ของตนออกไปในพริบตา เผยเนื้อหยกอ่อนนุ่มงามพิไลแก่สายตา ข้ายื่นมือไปโอบกอดนางไว้อย่างเนิบช้า แต่ยังคงลังเลอยู่บ้าง พึมพำออกไปคำหนึ่งว่า “ฉีอ๋อง”
หลิ่วเพียวเซียงหัวเราะคิกคัก “ท่านไม่ทราบหรือ คุณชายฉินท่านนั้นเป็นสตรี พวกเรายังไม่ทันปลดอาภรณ์ นางก็ทนไม่ไหวจนต้องพลิ้วตัวบุกเข้ามาในห้องเเล้ว ข้าจึงปล่อยห้องให้พวกเขา ท่านจ้วงหยวน ท่านยังรั้งรอสิ่งใดอยู่เล่า”
แม้ข้าเคยศึกษาเรื่องเคล็ดวิชาในห้องหอมาแล้ว แต่ไม่เคยแตะต้องสตรีอย่างแท้จริง ชั่วขณะนั้นจึงไม่ทราบว่าควรทำเช่นไรดี หลิ่วเพียวเซียงเข้าใจยิ่ง จึงรีบพลิกมือขึ้นโอบกอด ข้ารู้สึกคล้ายได้ยินเสียงดังตู้มตามในสมอง อาภรณ์ถูกปลดออกโดยไม่รู้ตัว รู้สึกถึงร่างกายอุ่นนุ่มของสตรีที่กำลังกอดก่าย ในที่สุดข้าก็สูญเสียสตินึกคิดไปโดยสิ้นเชิง โถมตัวเข้าสู่บทรักระหว่างชายหญิงไปเสียสิ้น
ข้าหลับใหลไปท่ามกลางความเหนื่อยล้า ส่วนหลิ่วเพียวเซียงหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง หยิบอาภรณ์ที่ถูกโยนทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมาคลุมร่างแล้วเรียกหญิงรับใช้เข้ามาสองนาง พวกนางช่วยอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ข้าอย่างแผ่วเบา แม้ข้าตื่นไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังคร้านจะขยับแม้เพียงนิ้วมือ เมื่อข้าตื่นเต็มตาก็พบว่าข้ากำลังล้มตัวนอนอยู่บนเตียงสะอาดสะอ้าน สวมชุดนอนเจือกลิ่นหอมของธูป ข้ามองไปยังหลิ่วเพียวเซียงที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างกาย ใบหน้าแดงระเรื่อ กล่าวคำใดไม่ออก
หลิ่วเพียวเซียงลืมตา กล่าวหยอกล้อว่า “ท่านจ้วงหยวน ไม่ดีใจที่ถูกหญิงคณิกาเช่นข้าช่วงชิงร่างกายอันบริสุทธิ์ไปหรือ”
ข้าหน้าแดงจนถึงหู ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยตอบ “เจ้าแต่งให้ข้าดีหรือไม่”
คราแรกหลิ่วเพียวเซียงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของข้าจึงทำได้แต่ทอดถอนใจ “ไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ทำไม ต้องการเงินมากเลยหรือ ต้องการเท่าใด ข้าย่อมมีวิธีแน่” ข้ารีบร้อนถาม
หลิ่วเพียวเซียงแย้มยิ้มพราย “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าหาเงินได้มากแล้ว ไถ่ตัวเรียกอิสระคืนให้ตนเองได้นานแล้ว”
ข้ากล่าวอย่างโศกเศร้า “เช่นนั้นเจ้าไม่ยอมแต่งให้ข้า เพราะข้าไม่มีคุณสมบัติมากพอใช่หรือไม่”
หลิ่วเพียวเซียงเอ่ยถามอย่างนึกพิศวง “ท่านเป็นบัณฑิตฮั่นหลิน หากข้าแต่งเป็นภรรยา จะไม่ส่งผลต่ออนาคตของท่านหรือ ท่านอยากแต่งข้าเป็นภรรยาจริงหรือ”
ข้ากล่าวอย่างไม่แยแส “เกี่ยวข้องอันใดเล่า อย่างมากข้าแค่ลาออกจากราชการเป็นพอ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้อยากเป็นขุนนางเสียหน่อย หลายปีมานี้ ข้าเก็บหอมรอมริบได้เล็กน้อย ซื้อที่นาได้หลายร้อยหมู่ เพียงแต่ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่ชอบชีวิตยากจนเช่นนั้น”
หลิ่วเพียวเซียงเผยรอยยิ้มจนวาจาออกมา “ข้ารู้ว่าท่านจริงใจ ทั้งยังไม่นึกลังเลแม้เพียงนิด ข้าพบเจอผู้คนมามาก เดิมทียังมีเจตนาไถ่ถอนตัวเอง เลิกเป็นนางคณิกาและแต่งให้ผู้อื่น แต่ยามข้าหาเงินได้มากพอ จู่ๆ พลันคิดได้ว่า ข้าจะไปแต่งให้ผู้ใดได้เล่า ชายเจ้าชู้เสเพลทะนงตนเหล่านั้นหรือ เพียงเห็นหน้าพวกเขาข้าก็นึกรังเกียจแล้ว หากเป็นคนดีซื่อสัตย์จริงใจ ข้ากลับคิดว่าเขาน่าเบื่อ แม้จะมีบางคนทำให้ข้ารักและหลงใหล แต่เมื่อคิดว่าหลังแต่งให้เขาแล้ว วันหน้าหากข้าอายุมากเข้าจะถูกเขาทิ้งดังรองเท้าผุขาดก็พานให้เศร้าใจ เฮ้อ วันนี้ได้พบท่าน ข้ามองออกว่าท่านชื่นชมการร่ายรำของข้าอย่างแท้จริง ท่านรู้ว่าข้าใส่จิตวิญญาณและความพยายามไปกับการร่ายรำมากน้อยเพียงใด ข้าจึงเสนอตัวเองมาเป็นหมอนให้ท่านกอดก่าย โชคดีที่ท่านปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ แต่คงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพียวเซียงนิสัยสะเพร่าเลินเล่อ มิอาจสนับสนุนสามีและสั่งสอนบุตร ข้าก็เหมือนนกนางนวลแห่งเจียงหนาน ชอบความหรูหรารุ่งเรือง รักอิสระ มิอาจถูกขังไว้ในกรง พี่เจียง แม้วันหน้าเพียวเซียงจะได้พบบุรุษทั่วทั้งใต้หล้า แต่พี่เจียงโปรดจำไว้ว่า ท่านคือบุรุษที่เพียวเซียงรักสุดใจ หากท่านมิอาจทอดทิ้งเพียวเซียง เช่นนั้นมาหาข้าบ้างดีหรือไม่”
ข้ารู้สึกเจ็บแปลบ ฟังออกว่าสิ่งที่หลิ่วเพียวเซียงกล่าวคือคำพูดจริงใจ ไม่มีเจตนาโป้ปดแม้เพียงนิด สตรีแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่มีบุรุษใดรั้งนางไว้ได้จริงๆ ข้ากอบกุมมือนาง กล่าวว่า “เพียวเซียงชื่อเสียงโด่งดัง แม้เจียงเจ๋อจะเป็นเพียงขุนนางตัวเล็กๆ แต่หากมาพบบ่อยเข้าย่อมเป็นปัญหาอย่างมิอาจเลี่ยง จากกันวันนี้ แม้มิใช่การอำลาชั่วนิรันดร์ ทว่ายังยากจะพานพบ เพียวเซียง เพียวเซียง เจ้าและข้าปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการ เพียรช่วยเหลือเกื้อกูลกันเถิด หากวันหน้าพบกัน ขอเจ้าอย่ามองข้าเป็นเพียงผู้ผ่านทางเป็นพอ”
ร่างงามชดช้อยของหลิ่วเพียวเซียงสั่นระริก นางทราบความในใจของชายหนุ่มผู้นี้ดี เขาไม่คิดลอบติดต่อกับนางอีก หากมิอาจแต่งนางเป็นภรรยา วันหน้าย่อมไม่มาหานางอีก ทว่านางพอใจแล้ว ท่ามกลางผู้คนที่เต็มไปด้วยความปลิ้นปล้อนมากเล่ห์ ในที่สุดนางก็ได้พบความรักที่จริงใจครั้งหนึ่ง
เมื่อข้าเดินออกมาจากห้องก็เห็นฉีอ๋องที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจและคุณชายฉินที่เขินอายจนหน้าแดงก่ำไม่กล้าพบเจอผู้คน จึงเดินไปกล่าวอย่างนอบน้อม “องค์ชาย พวกเรารีบกลับไปพักผ่อนที่จวนเกิด”
ฉีอ๋องมองข้า พูดยิ้มๆ ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง สายลมวสันต์เมื่อคืนถึงใจหรือไม่”
ข้าแอบบ่นในใจ เขารู้ว่าข้าอยู่กับเพียวเซียงหรือ ข้าทำเพียงยิ้มเรียบเฉยแสดงท่าทีลึกล้ำยากคาดเดา ฉีอ๋องมองข้าอย่างนึกฉงนแวบหนึ่ง ดูท่าทางเมื่อคืนเขาคงยุ่งอยู่กับการดอมดมบุปผาสดใหม่กระมัง นางคณิกาเหล่านั้นสมควรถึงอกถึงใจเขาเช่นกัน
เมื่อเหยียบย่างขึ้นไปบนฝั่งน้ำ ข้าอดหันกลับไปมองไม่ได้ เรือเพียวเซียงเงียบสงัดยิ่ง ข้าฝังรักแรกของตนไว้ ณ ที่แห่งนั้น
หลังจากส่งพวกฉีอ๋องกลับไป ข้าก็รีบร้อนกลับไปยังที่พำนัก พบว่าบนโต๊ะมีอักษรเขียนอยู่แถวหนึ่ง ความว่า ‘เมื่อคืนเสพลมฤดูวสันต์อย่างสุขสมจนไม่ทราบว่ามีคนจับจ้องอยู่ด้านข้าง ฉีอ๋องผู้นี้จิตใจลึกล้ำยากคาดเดา ส่วนผู้จับตามองนั้น ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว’
ข้าพลันมือสั่น เสี่ยวซุ่นจื่อช่างซื่อสัตย์ภักดีเสียจริง เพียงแต่ไม่ทราบว่าข้ามีคุณธรรมความสามารถระดับใดจึงปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้
ขณะเดียวกันในศาลาพักม้า ฉีอ๋องสีหน้าเคร่งขรึมดุจน้ำลึก ด้านล่างมีองครักษ์ยืนอยู่ด้วยสีหน้าสำนึกผิด ฉีอ๋องเอ่ยเย็นชา “เจ้ากล่าวว่าเจ้าไม่ได้จับตามองเจียงเจ๋อหรือ เพราะเหตุใด”
องครักษ์ผู้นั้นตอบอย่างตื่นกลัว “องค์ชายโปรดละเว้นโทษด้วยเถิด เดิมทีกระหม่อมจับตามองเจียงเจ๋ออยู่ห้องตรงข้ามตามรับสั่ง แต่ไม่ทราบว่าเหตุใด จู่ๆ จึงหลับไปได้”
ฉีอ๋องสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้น แต่กลับมิได้ลงทัณฑ์ เพียงให้เขาออกไปเท่านั้น
คุณชายฉินที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยราบเรียบ “ข้าตรวจสอบแล้ว เขาถูกผู้อื่นสกัดจุดลมปราณ ผู้ที่สามารถสกัดจุดในสถานที่เล็กแคบโดยผู้อื่นไม่รู้ตัวเช่นนี้ได้ อย่างน้อยต้องมีวรยุทธ์เหนือกว่าข้า”
ฉีอ๋องกล่าวอย่างนึกฉงน “แต่ข้าเห็นว่าเจียงเจ๋อผู้นี้ไม่เป็นวรยุทธ์ หรือเขาฝึกไปถึงขอบเขตหวนคืนสู่ธรรมชาติแล้ว”
คุณชายฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่นานจึงค่อยตอบ “ปัจจุบันผู้ที่ไปถึงขอบเขตนั้นมีเพียงอาจารย์ข้า ผู้อาวุโสฉือเจินแห่งวัดเส้าหลิน และจิงอู๋จี๋ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคมาร รวมสามคนเท่านั้น เจียงเจ๋ออายุน้อยเพียงนี้ ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเขาจะไปถึงขอบเขตนั้นได้”
ฉีอ๋องมีท่าทีที่คล้ายกำลังครุ่นคิด “พี่รองและเหลียงหวั่นบอกให้ข้าระวังเจียงเจ๋อ เดิมทีข้ายังคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อได้พบกันวันก่อน ข้าจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้ลึกล้ำยากคาดเดา เรื่องเมื่อคืนยิ่งทำให้ข้ายากผ่อนคลาย อัจฉริยะแห่งหนานฉู่ไม่ธรรมดาจริงๆ โชคดีที่คนผู้นี้มีใจคิดปิดบังหลบซ่อน ดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคของพวกเรา”
คุณชายฉินก้มหน้าบอก “หากท่านรู้สึกว่าเขายุ่งยาก ข้าช่วยท่านได้”
หลี่เสี่ยนส่ายหน้า “คนเช่นนี้จะสังหารไปง่ายๆ ได้อย่างไร อีกอย่าง มิแน่ว่าพวกเราจะทำสำเร็จ” ในดวงตาของเขามีประกายวาววับวาบผ่าน