ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 20 เดินทางพันลี้ (1)
สิ่งที่ข้าบอกกับเต๋อชินอ๋องนั้นง่ายดายมาก “องค์ชาย ใกล้ๆ นี่เป็นพื้นที่ภูเขา มีหุบเขามากมาย มิแน่ว่าอาจมีเส้นทางเล็กๆ ให้เดินอ้อม ต่อให้เดินอ้อมไม่ได้ พวกเราก็ยังสร้างสถานการณ์ลวง แสร้งทำเป็นเดินอ้อมไปได้ ล่อให้พวกเขาออกมาสู้รบ สิ่งที่พวกเรากลัวมิใช่ความห้าวหาญและเชี่ยวชาญการรบของพวกเขา แต่กลัวว่าพวกเขาจะเอาแต่ป้องกันเมือง ไม่ยอมโผล่ออกมา หากพวกเราจะฝืนโจมตีเมือง มิสู้คิดหาวิธีล่อพวกเขาออกจากเมืองเสียยังจะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อเถียนเหวยเก่งการสู้ศึก คงมิเต็มใจเอาแต่เฝ้าอยู่ในเมืองเป็นแน่”
ที่ข้าเสนอเป็นเพียงหลักการอย่างหนึ่ง ทว่าเต๋อชินอ๋องผ่านสนามรบมามาก จึงเข้าใจความนัยได้อย่างกระจ่างแจ้งทันควัน อีกอย่าง วันนี้คงตีไม่สำเร็จเป็นแน่ มิสู้กลับไปหารือกันเสียยังจะดีกว่า
แน่นอนว่าระหว่างการประชุมทหารต่อจากนั้นข้ามิได้เอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ เพราะข้าไม่คุ้นชินกับกิจทหารเช่นนี้ ข้าเชี่ยวชาญเพียงการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งงานพวกนี้ข้าอาศัยความรู้และประสบการณ์มาตัดสินแยกแยะได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้หรงเยวียนไม่พอใจข้าแล้ว หากข้าแสดงความโดดเด่นเกินไปย่อมต้องทำให้เขาหมั่นไส้ข้ายิ่งขึ้น โบราณว่ายอมล่วงเกินสุภาพบุรุษ ไม่ยอมล่วงเกินคนถ่อย ในจุดนี้ข้าจำได้ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เสนาธิการเหล่านี้ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ ข้าเพียงเสนอวิธีการคร่าวๆ พวกเขาก็คิดแผนออกมาได้เป็นระลอกแล้ว จากนั้นจึงตรวจหาช่องว่าง กำหนดกลยุทธ์สารพัดสารเพเป็นลำดับขั้นตอน สุดท้ายยังแสดงกลยุทธ์ที่เป็นไปได้ที่สุดออกมาด้วย ข้ายิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกนับถือ แต่อาจเป็นเพราะข้าแสดงออกชัดเจนเกินไป พวกเขาจึงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง กระทั่งหรงเยวียนก็มองข้าด้วยสายตาอ่อนลง
วันต่อมา เต๋อชินอ๋องส่งทหารออกไปเก็บฟืนรอบๆ และตามหาเส้นทางเล็กๆ ไปด้วย จากนั้นจึงสั่งให้ทหารครึ่งหนึ่งพักผ่อนอยู่ในค่าย ส่วนทหารคนอื่นยืนดูเมืองปาจวิ้นอยู่ไกลๆ ในเมื่อไม่โจมตีและไม่อาจถอย จึงทำได้แต่ส่งคนไปแสร้งทำเป็นโจมตีบ้าง หากทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองมีปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อยก็ให้ถอยทัพกลับมา เมื่อผ่านยามเที่ยงไปแล้ว ทหารที่พักผ่อนก็มาเปลี่ยนหน้าที่กับทหารตอนเช้า
วันที่สาม ทหารหนานฉู่ที่ไปหลอกโจมตีหน้าประตูเมืองปาจวิ้นก็เริ่มยุ่งขึ้นมาก หากไม่ขุดหลุมลึกก็ฝึกหมัดมวยเพื่อยืดเส้นยืดสาย ทั้งยังเข็นกลองศึกของกองทัพไปหน้าประตูเมือง ตีกลองโห่ร้องกันทุกๆ ครึ่งชั่วยาม
วันที่สี่และวันที่ห้า ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองเริ่มเหนื่อยล้าและเฉื่อยชาแล้ว ถึงอย่างไร เมืองปาจวิ้นก็มีทหารรักษาการณ์เพียงหนึ่งหมื่น แม้ปาจวิ้นจะเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญของแคว้นสู่ แต่เนื่องจากแคว้นสู่และหนานฉู่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เหล่าทหารจึงไม่ได้เตรียมพร้อมให้ดี
วันที่หก ทหารสู่ในเมืองเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว ส่วนพวกเราก็ได้รับข่าวดี พวกเราเจอทางเส้นเล็กๆ ที่อ้อมปาจวิ้นไปได้ทางหนึ่ง ดังนั้นแผนการขั้นต่อไปจึงเริ่มต้นขึ้น
กองทัพหนานฉู่เริ่มเรียกรวมกำลังพล บำรุงทหารและม้าศึกดุจต้องการเข้าโจมตีก็มิปาน ทหารแคว้นสู่ในเมืองจึงเริ่มวิตกกังวล มีทหารรักษาการณ์มากขึ้นจนเห็นได้ชัดเจน กระทั่งถึงตอนกลางคืน กองทัพหนานฉู่จึงเริ่มออกเดินทัพ การเคลื่อนไหวนี้ถูกสายสืบแคว้นสู่ที่มาลอบสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดพบเข้า พวกเขาคาดเดาได้ทันทีว่ากองทัพหนานฉู่ต้องการอ้อมเมืองปาจวิ้นไป
สำหรับพวกเราแล้ว การอ้อมปาจวิ้นโดยไม่เข้าโจมตี เท่ากับยอมละทิ้งเส้นทางบำรุงทัพด้านหลัง ทว่าเถียนเหวยมีนิสัยแกร่งก้าวเชี่ยวชาญการศึก คราวนี้ที่เขาเอาแต่ป้องกันอยู่ในเมืองเพราะกำลังทหารไม่เพียงพอ แม้กองทัพหนานฉู่จะมีเพียงห้าหมื่น แต่กลับเป็นกองทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนานฉู่ ดังนั้นเถียนเหวยจึงมีความกดดันสูง หลายวันมานี้เห็นสถานการณ์ไม่ปกติ จึงรีบหารือกับเหล่าแม่ทัพใต้บัญชาอยู่นานสองนาน ทุกคนลงความเห็นว่า กองทัพหนานฉู่ต้องการอ้อมปาจวิ้นเป็นแน่
หลังจากหารือกันแล้วก็มีแม่ทัพนายหนึ่งเสนอว่า หากกองทัพหนานฉู่อ้อมปาจวิ้นไปจริงๆ แล้วปาจวิ้นไม่รุกโจมตีจากด้านหลัง เช่นนั้นต่อให้ในอนาคตกองทัพหนานฉู่สูญสิ้นจนหมด ทหารปาจวิ้นก็ยังมีความผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เงามืดในใจเช่นนี้ ทำให้เหล่าแม่ทัพไม่สบายใจ สุดท้ายเถียนเหวยจึงออกคำสั่งโจมตีกองสัมภาระของหนานฉู่จากด้านหลังโดยฉวยโอกาสยามที่ทัพหนานฉู่ยังเดินอ้อมไปไม่หมด
กองทัพจำนวนห้าหมื่นนาย หากคิดเดินทัพผ่านช่องทางเล็กๆ คงช้ามากเป็นแน่ เถียนเหวยใช้เวลาเพียงไม่นานก็ไล่ทันทัพหลังของหนานฉู่ เถียนเหวยยกดาบยักษ์ในมือขึ้นสูงพลางตวาดลั่น “พวกสุนัขหนานฉู่ หยุดเดี๋ยวนี้”
ขณะร้องตะโกน เถียนเหวยก็พาทหารม้าเกราะเบาห้าพันนายวิ่งฝ่าทัพหลังของหนานฉู่เข้ามาดุจคมดาบเหล็กกล้า กองทัพหนานฉู่วิ่งหนีกันจนแตกกระเจิง เถียนเหวยออกคำสั่งให้โยนคบเพลิงลงไปบนรถขนเสบียง ไม่ทันไรเปลวเพลิงก็โหมไปทั่ว ท่ามกลางเปลวเพลิง เถียนเหวยหัวเราะดังลั่น ออกคำสั่งให้เข้าโจมตีต่อไป คิดโจมตีทัพหนานฉู่ให้แตกพ่าย
ตอนนี้เองมีทหารเดินเท้าสวมเกราะสีขาวกองหนึ่งโผล่ออกมาท่ามกลางทัพหนานฉู่ที่กำลังวิ่งหนีกันกระเจิง พวกเขาทะยานพุ่งไปทางเถียนเหวย เถียนเหวยใจสั่น นี่มิใช่องครักษ์ของเต๋อชินอ๋องหรอกหรือ เดิมทีกององครักษ์เหล่านี้ควรคุ้มครองอยู่ในกองทัพ ทว่าตอนนี้ถึงกับมาปรากฏตัวที่นี่ หรือว่าตนติดกับอีกฝ่ายแล้ว เถียนเหวยมองไปรอบๆ ไม่นานเปลวเพลิงที่โหมไหม้รถเสบียงเหล่านั้นก็มอดดับลง
ด้านหลังทหารเดินเท้ากองนั้นชูธงมังกรสีเหลืองปักอักษรจ้าว เถียนเหวยทั้งวิตก ทั้งหวั่นเกรง หากตนติดกับจริงๆ ต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ ทว่าเมื่อคิดดูอีกครั้ง เบื้องหน้าคือองครักษ์ของเต๋อชินอ๋อง มิแน่ว่าตัวเต๋อชินอ๋องอาจอยู่ไม่ไกลก็เป็นได้ หรือจะถือโอกาสสังหารเต๋อชินอ๋องในคราวเดียวดีเล่า เถียนเหวยทนต่อความยั่วยวนเช่นนี้ไม่ไหว จึงบัญชาการให้เคลื่อนทัพไปด้านหน้า
สองทัพเข้าปะทะโรมรัน แม้ทหารม้าของเถียนเหวยจะเก่งกาจ ทว่าทหารเดินเท้าของหนานฉู่เชี่ยวชาญการต่อสู้กับทหารม้ายิ่ง ทหารแถวหน้าของพวกเขาทรุดเข่าลงอย่างคล่องแคล่ว ตั้งหอกยาวแปดจั้งขวางสกัดหน้าม้า ส่วนทหารแถวหลังง้างเกาทัณฑ์ยิงกระหน่ำ อาศัยชัยภูมิเล็กแคบสกัดเถียนเหวยไว้ได้ เถียนเหวยเข้าต่อสู้โรมรันไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีโอกาสชนะจึงออกคำสั่งถอยทัพ ม้าศึกของพวกเขาพลันวิ่งทะยานไปดุจโบยบิน
เพียงไม่นานเถียนเหวยก็สลัดตัวพ้นจากสนามรบไปได้อย่างสิ้นเชิง นี่เป็นเพราะแคว้นสู่มีม้าศึกว่องไว เถียนเหวยคิดอย่างปลื้มปีติว่า จะอย่างไรก็นับเป็นชัยชนะเล็กๆ ได้กระมัง
ม้าเร็วควบทะยานไปสิบกว่าลี้ ยังไปได้ไม่ไกลก็มีทหารหนานฉู่โผล่ออกมาจากสองข้างทาง โจมตีขนาบเข้ามาจากสองฝั่ง เถียนเหวยรีบออกคำสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนหยุดเคลื่อนทัพ ให้ผนึกกำลังกันสู้ตายเพื่อฝ่าวงล้อมออกไป
ยามนี้ในใจเถียนเหวยหนาวยะเยือกยิ่ง ในระยะทางสั้นๆ เพียงสิบกว่าลี้กลับมีทหารหนานฉู่โผล่มาลอบโจมตีฉับพลันเป็นระยะ พวกเขามีจำนวนไม่มาก ทว่าล้วนใช้ธนูยิงออกมาจากพงหญ้าและในป่า ไม่ก็โจมตีจากหลังหินก้อนใหญ่ หากบริเวณนี้เป็นหุบเขา เกรงว่าทหารม้าเกราะเบานับพันของเถียนเหวยคงสิ้นหวังไปนานแล้ว แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เถียนเหวยต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามจึงจะเห็นกำแพงเมืองปาจวิ้น ทั้งยังเหลือทหารเพียงสามพันนาย
เมื่อเข้าใกล้กำแพงเมืองปาจวิ้น เถียนเหวยกลับเห็นธงสีแดงเพลิงของทัพสู่ปลิวว่อนหล่นมาจากกำแพงเมือง ส่วนธงมังกรสีเหลืองของเต๋อชินอ๋องกลับโบกสะบัดอยู่เหนือกำแพง เถียนเหวยเบิกตาโพลง เห็นทหารสู่บนกำแพงเมืองหลายคนถูกฟันล้มลงกับพื้น
ท่ามกลางคมหอกคมดาบที่ส่องประกายเย็นยะเยือก เถียนเหวยเห็นคนผู้หนึ่งดูแปลกแยกจากสถานการณ์อย่างสิ้นเชิง คนผู้นั้นคือบัณฑิตหนุ่มสวมอาภรณ์สีอ่อน เขากำลังใช้สายตาเวทนามองมาที่ตน ทั้งที่ยืนอยู่ท่ามกลางโลหิตและเปลวเพลิง อาภรณ์ของเขากลับไม่แปดเปื้อนสิ่งสกปรกโสมมแม้เพียงครึ่งส่วน เขายืนอยู่บนกำแพง แต่ให้ความรู้สึกดั่งถูกแยกออกจากทหารหนานฉู่คนอื่นๆ ประหนึ่งจิตวิญญาณของเขามิได้ถูกหลอมรวมไปกับสนามรบ
แม้ยังตีเมืองไม่เสร็จ ข้าก็ขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้ว คราวนี้ทหารหนานฉู่หมื่นนายรั้งอยู่บริเวณนี้ตามคำเสนอของข้า นี่คือแผนการที่ข้าได้มาจากการอ่านตำราก่อนนอนหลังประชุมเสร็จ
เมื่อเต๋อชินอ๋องยอมรับแผนการ พวกเราก็ขุดร่องลึกมากมายบริเวณใกล้ๆ สนามรบต่อจากหลุมที่ขุดไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นเดินอ้อม และให้ทหารหมื่นนายซ่อนตัวอยู่ในหลุม ด้านบนคลุมด้วยเสื่อน้ำมัน บนเสื่อคลุมด้วยดินเหลืองอีกชั้น สายสืบที่มาตรวจสอบ สังเกตเพียงค่ายที่ว่างเปล่าดังคาด มิได้สังเกตหลุมที่มีทหารซ่อนตัวอยู่เลย หลังเถียนเหวยออกเดินทัพ พวกเราก็ถือโอกาสที่ทหารรักษาเมืองประมาท เข้าโจมตีเมืองแบบฉับพลัน
ผลก็คือทหารรักษาการณ์ที่หย่อนยานถูกพวกเราโจมตีจนพ่ายแพ้ ข้าขึ้นมาบนกำแพงเมืองเพราะอยากเห็นสถานการณ์เสียหน่อย แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญเป็นเพราะกลัวว่าหากทหารแคว้นสู่กลับมาแล้วจะคิดแก้แค้นโดยฆ่าเสนาธิการที่ถูกทิ้งไว้ด้านนอกอย่างพวกเรา ด้วยเหตุผลเช่นนี้ พวกเราจึงเข้าเมืองมาทั้งหมด แน่นอนว่ามีองครักษ์คุ้มครองอย่างเข้มงวด เพื่อมิให้พวกเราถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ
จากนั้นข้าจึงบอกไปว่า อยากขึ้นไปบนกำแพงเพื่อดูสถานการณ์รอบนอกเสียหน่อย เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มจนตาหยี ส่งทหารราชองครักษ์มาคุ้มครองข้าสองนาย พวกเขาก็คือทหารราชองครักษ์ที่คอยคุ้มครองหวังไห่ผู้ตรวจตราทัพนั่นเอง ผู้ตรวจตราหวังรู้แล้วว่า เสี่ยวซุ่นจื่อมีวรยุทธ์ไม่เลว ทั้งยังดีต่อข้ามาก ดังนั้นจึงรับปากและส่งคนมาคุ้มครองข้าตามนั้น เสี่ยวซุ่นจื่อบอกว่าสองคนนี้มีพื้นฐานวรยุทธ์ไม่เลว อย่างน้อยก็คุ้มครองข้าได้จนกว่าทัพหนานฉู่จะกลับมาช่วย
ข้าเดินอยู่ท่ามกลางทะเลเลือดอย่างระมัดระวังด้วยไม่อยากแปดเปื้อนโลหิต ทว่าใต้ฝ่าเท้ากลับมีโลหิตมากมายดุจสายธาร เพียงไม่นานรองเท้าข้าก็เปียกชุ่มไปด้วยเลือด แต่ยังโชคดี อย่างน้อยบนตัวก็ไม่เปื้อน ขณะที่ข้าอดทนต่อกลิ่นอายของสนามรบและเสียงกรีดร้องจนเดินมาถึงบนกำแพง ด้านบนก็เหลือทหารสู่เพียงไม่กี่คน และอีกไม่นานคงถูกสังหารจนสิ้น ข้ามองไปด้านล่าง เห็นทัพสู่กลับมาพอดี
แม่ทัพในชุดเกราะสีแดงจ้องมองมาบนกำแพงอย่างตะลึงพรึงเพริด ด้านหลังมีฝุ่นดินตลบคลุ้งดุจเกลียวคลื่น ข้าเห็นธงของทัพเราในนั้น แม่ทัพเกราะแดงพลันตวาดลั่น ทะยานตัวเข้าโรมรันกับทัพเรา จากนั้นข้าเห็นทหารม้ากองนี้ถูกทหารของพวกเราโอบล้อม พวกเขาอ่อนแอ พ่ายแพ้ สิ้นหวัง สุดท้ายแม่ทัพเกราะแดงยกกระบี่เชือดคอตนเอง แม้เผชิญหน้ากับความตาย เขายังคงตวาดกึกก้อง
ข้าใจสั่น สงครามไม่เหมือนกับที่เขียนบรรยายในตำราประวัติศาสตร์ที่ข้าอ่านจริงๆ ในความคิดของทหารหนึ่งหมื่นนายแห่งทัพสู่เมืองปาจวิ้น กองทัพหนานฉู่คือศัตรูชั่วช้า ฆ่าสังหารพวกเขา แย่งชิงเมืองพวกเขา แต่พวกเราจะทำอย่างไรได้เล่า ชั่วขณะนี้ ข้ารู้สึกเกลียดชังสงครามอย่างลึกล้ำเสียแล้ว เพื่อผลประโยชน์ของต้ายงและหนานฉู่ แคว้นสู่จำเป็นต้องล่มสลาย ใช้เลือดที่หลั่งรินดุจสายธารมาแปรเปลี่ยนเป็นความปีติยินดีของทุกคน นี่…มันคุ้มค่าจริงๆ หรือ