ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 21 เดินทางพันลี้ (2)
จากนั้นข้าก็ป่วย โลหิตและเสียงกรีดร้องเหล่านั้นทำให้ข้านอนหลับไม่สบายและกินข้าวไม่ลง ขณะเร่งร้อนเดินทัพ อาการป่วยของข้าก็เริ่มหนักขึ้น ต่อมาในค่ำคืนหนึ่ง เสี่ยวซุ่นจื่อก็มาหาข้าที่กระโจม ดึงข้าให้ลุกขึ้นพลางพูดว่า “ข้ารู้ว่าท่านป่วยด้วยเหตุใด เก็บความเห็นใจราคาถูกของท่านไปเสียเถิด พวกเราสองแคว้นกลายเป็นศัตรูกันแล้ว พวกเราสู้รบกัน หากพ่ายแพ้ก็ไม่มีชีวิตรอด อันใดคือเมตตาคุณธรรม อันใดคือความอัปยศอดสู ข้ารู้เพียงว่า ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าต้องอยู่ต่อไปเพื่อท่าน เช่นนั้นท่านเล่า อย่างน้อยท่านก็มีชีวิตอยู่เพื่อข้าเถิด จำไว้ ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ หากข้ายังชำระหนี้บุญคุณนี้ไม่หมด จะไม่ยอมให้ท่านตายเป็นอันขาด”
ข้าเห็นน้ำตาบนใบหน้าของเสี่ยวซุ่นจื่อลางๆ จึงกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เสี่ยวซุ่นจื่อ พี่น้องข้า ข้ารู้ว่าเจ้าเห็นข้าเป็นดั่งพี่น้อง แต่ข้ามักข่มเหงรังแกเจ้า ส่วนเจ้ามักคอยดูแลและคุ้มครองข้า หากข้าจากไปแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องลำบากอีก เจ้าไม่ติดหนี้บุญคุณอันใดกับข้าอีก”
เสี่ยวซุ่นจื่อตบหน้าข้าอย่างแรงครั้งหนึ่ง พูดว่า “ท่านคิดว่าข้าติดตามท่านทำไมกันเล่า แต่ไหนแต่ไร ท่านไม่เคยดูถูกข้า ท่านคิดว่าข้าเสี่ยวซุ่นจื่อเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ท่านสอนข้าอ่านหนังสือ ช่วยข้าฝึกวรยุทธ์ หากไม่มีท่าน ผู้ใดจะเห็นค่าเสี่ยวซุ่นจื่อผู้นี้เล่า หากท่านตาย ข้าจะตายตามท่านด้วย เกิดชาติหน้าข้าจะเป็นพี่น้องท่าน ให้ท่านปกป้องข้าไปชั่วชีวิต”
น้ำตาของข้าไหลลงมาเป็นสาย ใช่แล้ว ข้าจะตายได้อย่างไร ข้ายังมีพี่น้องอยู่คนหนึ่ง หากข้าตาย เสี่ยวซุ่นจื่อจะมิอยู่โดดเดี่ยวตัวคนเดียวหรือไร ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเสี่ยวซุ่นจื่อวิ่งเข้าหาข้าเป็นเพราะข้าเห็นเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เป็นมนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้อ มิใช่ขันทีตัวเล็กๆ มิใช่ขันทีที่ไร้ศักดิ์ศรี
หึ แคว้นสู่จะนับเป็นอะไรได้ คนของพวกเจ้าตายแล้วเกี่ยวข้องอันใดกับข้า ไม่ต้องพูดถึงแคว้นสู่เลย ต่อให้ทหารหนานฉู่ตายไปจะเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า ช่วงนี้ข้าป่วยหนัก นอกจากเสี่ยวซุ่นจื่อและหมอทหารแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมาเยี่ยมข้าสักคน แม้เต๋อชินอ๋องจะมาสองครั้ง แต่ภายหลังก็ลืมข้าจนสิ้น
ข้าวฝืนหยัดตัวขึ้นมา กล่าวว่า “หยิบยาจากขวดกระเบื้องสีขาวในห่อสัมภาระของข้ามาให้ข้าสองเม็ด”
เสี่ยวซุ่นจื่อรีบไปปฏิบัติตามนั้น ข้ากลืนยาลูกกลอนลงไปอย่างยากลำบาก “ข้าต้องพักผ่อนครู่หนึ่ง พรุ่งนี้เช้าเตรียมอาหารเช้าดีๆ ให้ข้าสักหน่อย”
สามวันต่อมา ข้านอนหลับไปถึงสามวันเต็ม ในที่สุดก็ได้กินอาหารเช้าที่เสี่ยวซุ่นจื่อส่งมาให้แล้ว ข้าเดินออกไปนอกกระโจม มองท้องฟ้าสว่างสดใส ผายมือทั้งสองออกไป สูดหายใจลึกๆ จากนั้นจึงบอกกับเสี่ยวซุ่นจื่อว่า ข้าเพิ่งหายป่วย ให้ไปบอกกับผู้ตรวจตราหวังว่า วันนี้ข้าจะขอโดยสารไปกับรถม้าของเขา
ข้าล้มหมอนนอนเสื่อไปสิบกว่าวัน ระหว่างนั้น ทัพหนานฉู่มีความคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี การที่หนานฉู่ตีปาจวิ้นจนแตกพ่าย ทำให้เมืองเล็กๆ เหล่านั้นสูญเสียความมั่นใจในการป้องกันเมืองไปจนสิ้น ดังนั้นด้วยการใช้กลยุทธ์โจมตีแข็งกร้าว หลอกล่อนุ่มนวลเช่นนี้ ทำให้เดินทัพเร็วกว่าที่คาดไว้ ไม่ทราบว่าสถานการณ์ฝั่งต้ายงเป็นเช่นไร ยังไม่มีข่าวใดส่งมาจากทางนั้น
ต่อมา ข้าเพิ่งหายจากการป่วยหนัก จึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบไม่มาก มักใช้เวลาว่างไปกับการเขียนบทกวีต่างๆ นานา ข้าไม่ได้พูดจามากความ แม้เต๋อชินอ๋องเคยมาถามไถ่อาการป่วยของข้าอย่างห่วงใยบ้าง แต่ข้าก็ไม่ยกโทษให้เขา ก่อนหน้านี้ให้ความสำคัญกับข้าเพียงนั้น พอข้าป่วยขึ้นมาก็โยนข้าทิ้งไว้ด้านข้างทันที ดังนั้นข้าจึงทำเพียงกล่าวขอบคุณไปอย่างเฉยเมย และมักไปอยู่กับผู้ตรวจตราหวัง เพราะไม่ต้องกังวลว่าเขาจะทำให้ข้าลำบากใจ ข้าก็เป็นพวกคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้เอง ใครจะทำไมเล่า
ระหว่างเดินทัพทำศึก ทัพใหญ่แห่งหนานฉู่ก็มาถึงหน้าเมืองลั่วแล้ว พวกเราไปรวมตัวกับทัพเรือที่มาถึงก่อนหน้านี้ เมืองลั่วเป็นเมืองอุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นเส้นทางสู่นครเฉิงตู ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นสู่ ขณะนี้ ที่นี่มีกองทัพแคว้นสู่รวมตัวกันอยู่ห้าหมื่นนาย เว่ยเสียน ขุนพลเลื่องชื่อแห่งแคว้นสู่นำทหารสองหมื่นนายมาตั้งค่ายบริเวณภูเขาหน้าอำเภอลั่วเพื่อเป็นแนวป้องกัน แม่ทัพใหญ่หลงปู้นำทหารสามหมื่นเฝ้ารักษาการณ์ที่เมืองลั่ว ทัพบกและทัพเรือของหนานฉู่โจมตีรุนแรงดังอสนีบาต เข้าโจมตีด่านฝูสุ่ย ขุนพลรักษาการณ์ต่อสู้นองเลือดหลายวัน สุดท้ายจึงทิ้งด่านหนีไปตั้งค่ายที่ฝูเฉิง ต่อไปนี้จะเป็นสงครามยืดเยื้ออย่างมิอาจเลี่ยง
ดังนั้นจึงได้แต่จัดแจงให้ทหารยามของทัพเรือตรวจตราเข้มงวด ให้ทัพเรือล่องเรือไปตามแม่น้ำฝูเพื่อเป็นทัพหนุน ประตูทางทิศเหนือของอำเภอลั่วอยู่ติดแม่น้ำฝู ประตูใต้ล้วนเป็นภูเขา เต๋อชินอ๋องอาศัยทัพเรือลำเลียงทหารไปโจมตีเมืองลั่วทางประตูตะวันออกและตะวันตกสองทาง ทว่าเว่ยเสียนก็นำทหารมาตีขนาบได้ทุกครั้ง ในเวลาหลายวันมานี้ ทหารทั้งสองทัพต่อสู้โรมรันหลั่งเลือดกันนับครั้งไม่ถ้วน ทัพใหญ่ของหนานฉู่ยังไม่ได้เปรียบอันใด
เต๋อชินอ๋องเห็นทหารเหนื่อยแล้วจึงสั่งถอนทัพ นอกจากส่งกองเรือออกแล่นลาดตระเวนเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ทำได้เพียงตั้งทัพอยู่ที่ฝูเฉิงเพื่อฟื้นฟูกำลังเตรียมทำสงครามต่อไป แม้จะห่างจากหนานฉู่อีกไกล แต่ด้วยการขนส่งทางน้ำและทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ของสู่จง ทัพหนานฉู่จึงหาเสบียงได้ไม่ขาดแคลน สงครามจมลงสู่สถานการณ์หยุดชะงัก
วันที่ยี่สิบเจ็ด เดือนสิบเอ็ด ในที่สุดก็ได้รับรายงานจากต้ายง
ต้ายงมียงอ๋องหลี่จื้อนำทัพสองแสนนาย เนื่องจากซื้อตัวขุนพลรักษาการณ์ด่านหยางผิงไว้ก่อนแล้วจึงทะลวงด่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย รบชนะมาตลอด และใช้เวลาไปสองเดือนเพื่อโจมตียึดหนานเจิ้ง สำหรับด่านตงชวน แม้จะเป็นของแคว้นสู่ ทว่าความเจริญและมั่งคั่งล้วนไปกองอยู่ที่ซีชวน ดังนั้นคนตงชวนจึงคิดกล่าวโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อหลี่จื้อตีทะลวงเข้าไปได้แล้ว กองทัพของเขาก็ไม่แตะต้องผลประโยชน์ของราษฎรแม้แต่น้อย เพียงสยบทหารพ่ายไปทั่วสารทิศ กำจัดศัตรูจนหมดสิ้น ไม่ถึงสามเดือนตงชวนก็สงบ หลี่จื้อยกทัพต่อไปยังไปด่านเจียเหมิง หากด่านเจียเหมิงแตก ก็ไม่มีอุปสรรคใดขวางกั้นเส้นทางสู่นครเฉิงตูอีก
เมิ่งอวิ๋น เจ้าแคว้นสู่ถูกโจมตีจากสองด้าน ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก สุดท้ายตัดสินใจส่งทัพหนุนเร่งด่วน โดยให้ทหารเก้าหมื่นไปช่วยทหารรักษาการณ์ที่ด่านเจียเหมิง และส่งทหารอีกสองหมื่นไปช่วยเมืองลั่วทำให้นครเฉิงตูว่างเปล่า
วันที่ยี่สิบ เดือนสิบเอ็ด ทหารกองหนุนสองหมื่นนายเข้าสู่เมืองลั่วสำเร็จด้วยการสนับสนุนจากกองทัพของเว่ยเสียนสองหมื่นและกองทหารรักษาเมืองอีกสามหมื่น
เมื่อเต๋อชินอ๋องได้รับรายงานสงครามพลันหน้าดำคร่ำเครียด หากต้ายงจะถอยทัพ ยังรักษาด่านหยางผิงไว้ได้ ส่วนตงชวนจะต้องถูกควบคุมโดยต้ายงแน่แล้ว ส่วนตน หากไม่ได้เมืองลั่วย่อมไม่สามารถต่อต้านทัพสู่ ทั้งยังมิอาจตัดใจถอยทัพไปยังปาจวิ้น ดังนั้นตอนนี้หนานฉู่จึงร้อนใจเรื่องโจมตีแคว้นสู่ยิ่งกว่าต้ายงเสียอีก
คุมเชิงกันมาหลายวันแล้ว แต่กลับไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย จะไม่ให้เขาร้อนใจได้อย่างไร สิ่งที่มีค่าพอจะทำให้สบายใจบ้างก็คือทัพหนุนของหนานฉู่มาถึงแล้ว ตอนนี้ทัพบกทัพเรือของหนานฉู่มีจำนวนรวมกันเก้าหมื่น อย่างน้อยคงไม่ต้องถอยทัพ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากต้ายงและหนานฉู่โจมตีจากทั้งสองฝั่งจะช้าจะเร็วแคว้นสู่ก็ต้องแตกพ่าย เพียงแต่สุดท้ายหนานฉู่อาจไม่ได้นครเฉิงตู
ช่วงนี้ข้าค่อนข้างว่าง ในแต่ละวันนอกจากกินข้าวก็เดินเล่นไปทั่ว แน่นอนว่าข้าไม่เดินไปไกลนักเพื่อระมัดระวังมือสังหารของทัพสู่ที่อาจแฝงตัวเข้ามา ยิ่งไปกว่านั้น หากทำตัวเอ้อระเหยเกินไปย่อมทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจ อย่างไรเสีย ตอนนี้ข้าก็มิอาจสอดมือยุ่งเรื่องการทหารแล้ว หรงเยวียนฉวยโอกาสตอนที่ข้าป่วยแย่งชิงอำนาจที่ปรึกษาด้านกิจทหารของข้าไปจนสิ้น เขาอ้างว่าที่ทำเช่นนี้เพราะว่าข้าป่วยหนัก บอกว่าข้ายังล้มหมอนนอนเสื่ออยู่ แต่ข้าก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย คิดว่าจากสถานการณ์ตอนนี้สมควรไม่มีโอกาสพ่ายแพ้อันใดแล้ว
ว่างที่ข้าว่าคือไม่มีสิ่งใดให้ทำจริงๆ ดังนั้นข้าจึงไปคุยกับเสี่ยวซุ่นจื่อเรื่องหาองครักษ์ เสี่ยวซุ่นจื่อขบคิดอยู่พักใหญ่ รู้สึกลำบากใจยิ่ง เขาไม่รู้จักยอดฝีมือมากนักจึงไม่อาจแนะนำให้ข้าได้ จากที่เขาพูด ยอดฝีมือที่เขาเคยพบ หากเป็นคนที่เคยประมือกันก็ถูกเขาสังหารไปหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องเป็นผู้มีใจซื่อสัตย์ภักดีด้วย ส่วนนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เขาถามข้าว่าต้องการหาขันทีน้อยมาเป็นลูกศิษย์ให้เขาสอนวรยุทธ์หรือไม่ จากนั้นค่อยส่งมาคุ้มกันข้า ทว่ากลับถูกข้าปฏิเสธ สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะใช้เวลานานเกินไป อีกสาเหตุหนึ่งเพราะขันทีไม่อาจออกจากวังได้บ่อยๆ
เสี่ยวซุ่นจื่อคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงพูดขึ้นว่า “มิเช่นนั้น อีกสองสามปีข้าจะแกล้งตายเพื่อออกจากวัง จากนั้นค่อยไปหาท่าน เป็นอย่างไร”
เดิมทีข้าอยากพยักหน้า แต่หากผู้อื่นจำเสี่ยวซุ่นจื่อได้หรือผู้อื่นสืบรู้ฐานะของเขาคงลำบาก ดังนั้นข้าจึงตอบไปเสียเลยว่า “เอาเช่นนี้แล้วกัน กลับไปคราวนี้ข้าคิดจะลาออกจากราชการแล้ว อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่ชอบอยู่ในวัง มิสู้พวกเราสองคนออกเดินทางพเนจรไปทั่วหล้าเป็นอย่างไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อครุ่นคิด จากนั้นจึงกล่าวอย่างดีอกดีใจว่า “เช่นนี้ก็ไม่เลว ข้าอยากเดินทางมานานแล้ว เบื่อเจี้ยนเย่จะแย่แล้ว พวกเราจะไปที่ใดกันดี”
ข้าคิดครู่หนึ่ง “แคว้นสู่ต้องล่มสลายเป็นแน่ หากต้ายงและหนานฉู่ยังไม่ตีกัน พวกเราก็ไปดูที่ต้ายงเสียหน่อย พอต้ายงกับหนานฉู่ตีกัน พวกเราก็ไปเป่ยฮั่น พอถึงตอนที่ต้ายงตีกับเป่ยฮั่น พวกเราก็กลับหนานฉู่ เวลาหลายสิบปีคงพอให้พวกเราพเนจรทั่วหล้าแล้ว หากยามใดเบื่อหน่ายก็ค่อยหาที่สงบๆ อยู่กัน”
ใบหน้าของเสี่ยวซุ่นจื่อเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ขณะที่พวกเราสองคนกำลังวาดหวังกับอนาคตอยู่นั้น จู่ๆ เสี่ยวซุ่นจื่อก็พลิ้วตัวเข้าไปยังพุ่มไม้ในลานโดยไม่มีสัญญาณบอกใบ้ เงาร่างพลิ้วไหวดุจภูตพราย รวดเร็วสุดเปรียบ ไม่นานเงาร่างสีเทาในพุ่มไม้ก็ดีดตัวขึ้นมา คนทั้งสองโรมรันสู้กันก่อนกระโดดแยก เสี่ยวซุ่นจื่อถอยไปหลายจั้ง กระโดดหมุนตัวกลางอากาศแล้วเข้าโจมตีอีกครั้ง คนผู้นั้นโต้ตอบอย่างฉุกละหุก สุดท้ายถูกฝ่ามือเสี่ยวซุ่นจื่อซัดเข้าที่หน้าอก ทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
ข้าเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อพยักหน้าให้จึงค่อยๆ เดินเข้าไปดู คนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี หน้าตาธรรมดา เป็นประเภทที่ว่าหากเดินเข้าไปในกลุ่มคนก็จะแยกแยะไม่ออก เขาสวมเครื่องแบบทหารของหนานฉู่ แต่ข้ามองออกว่าขนาดชุดแลดูไม่สอดคล้องกับร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นยังได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ด้วย คนผู้นี้ต้องเป็นสายลับของกองทัพสู่อย่างแน่แท้
เดิมทีสมควรส่งตัวไปให้เบื้องบน หนึ่งเพื่อผลงาน สองเพราะเป็นหน้าที่ แต่เมื่อคิดว่าหากเต๋อชินอ๋องทราบถึงคำพูดของพวกเราเมื่อครู่ คงนึกระแวงจนอยากสังหารเสียบัดนั้น ข้าจึงส่งสายตาให้เสี่ยวซุ่นจื่อ เสี่ยวซุ่นจื่อเข้าใจความหมาย จึงใช้ฝ่ามือซัดไปยังศีรษะของคนผู้นั้นทันควัน
คนผู้นั้นเบิกตาโพลงอย่างเจ็บปวด ทันเห็นการเคลื่อนไหวของเสี่ยวซุ่นจื่อพอดี เขากลิ้งไปมาบนพื้นอย่างยากลำบาก เสี่ยวซุ่นจื่อหัวเราะเย็นชา ฝ่ามือผันแปรว่องไว โจมตีไปยังศีรษะของคนผู้นั้นอีกครั้ง ข้าเห็นความเศร้าที่อัดแน่นอยู่ในดวงตาของคนผู้นั้น ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงเอ่ยปากไปว่า “หยุดมือ”
ฝ่ามือของเสี่ยวซุ่นจื่อซัดไปถึงกระหม่อมของคนผู้นั้นแล้ว เมื่อได้ยินข้าสั่งให้หยุดก็ดึงการโจมตีกลับมา ทะยานร่างถอยมายืนหลังข้า ข้ากล่าวด้วยเสียงขรึม “สหาย ข้าต้องฆ่าเจ้าแน่นอนแล้ว แต่หากเจ้ามีคำสั่งเสียใด ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา”
ดวงตาของคนผู้นั้นเกิดประกายตื่นเต้น เอ่ยปากว่า “ใต้เท้าได้โปรดปล่อยตัวภรรยาข้าเถิด”
ข้าตะลึงงัน ข้าไปฉุดภรรยาเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ดูเหมือนว่าข้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนี้นะ