ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 23 ปากหวานก้นเปรี้ยว (2)
หยางช่านเป็นบัณฑิตบ้าผู้เลื่องชื่อแห่งแคว้นสู่ ยามปกติยโสอหังการด้วยคิดว่าตนเองมากความรู้ ความสามารถ ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ทว่าเมื่อเห็นกองทัพยงอ๋องมีวินัยเคร่งครัด ทั้งภาพพยัคฆ์หน้ากระโจมก็ดุดันกล้าแกร่งจนทำให้อดใจสั่นไม่ได้ เขาจัดอาภรณ์ของตนให้เรียบร้อยก่อนเดินเข้าไปในกระโจมใหญ่ พบว่ามีบุรุษในเครื่องแบบทหารผู้หนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะบัญชาการ คนผู้นั้นเต็มไปด้วยสง่าราศีดูโดดเด่น บุคลิกอ่อนโยน ทว่าแฝงซ่อนไปด้วยกลิ่นอายน่าครั่นคร้าม
ยงอ๋องหลี่จื้ออายุสามสิบเอ็ดปี แม้คลุกคลีอยู่กับสนามรบมานานปี แต่กลับไม่มีไอสังหารแม้แต่น้อย เขาสวมเกราะเบาสีดำ ด้านนอกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมไหม สีหน้าสง่างามและสุขุมประหนึ่งนั่งว่างๆ อยู่ในบ้านตนเอง มิได้กำลังนำทัพออกรบ ซ้ายมือของเขามีแม่ทัพสิบกว่านายยืนเรียงแถว แต่ละคนมีบุคลิกมั่นคงดุดัน ขวามือมีคนยืนอยู่สิบกว่าคน บ้างเป็นขุนนางในชุดทางการ บ้างก็เป็นเสนาธิการในชุดธรรมดา เห็นได้ว่ากองกำลังใต้บัญชาของเขาเฟื่องฟูทั้งบุ๋นบู๊
เมื่อหยางช่านเข้ามาในกระโจมก็ยืนอยู่เช่นนั้นไม่ยอมคุกเข่า กล่าวเสียงดังว่า “ราชทูตแห่งแคว้นสู่ หยางช่านน้อมพบยงอ๋อง ทรงพระเจริญพันปี”
แม่ทัพเหล่านั้นพากันถลึงตาอย่างเดือดดาล แม่ทัพผู้มีรูปโฉมหยาบกร้านผู้หนึ่งตวาดลั่น “เป็นเพียงทูตตัวเล็กๆ พบองค์ชายแล้วเหตุใดจึงไม่คุกเข่า”
หยางช่านตอบ “แม้หยางช่านเป็นสามัญชน แต่จะอย่างไรก็เป็นประชาชนแคว้นสู่ แม้องค์ชายเป็นผู้สูงศักดิ์ แต่อย่างไรก็เป็นขุนนางต้ายง บัดนี้หยางช่านได้รับพระบัญชาจากท่านเจ้าแคว้นให้มาเป็นทูต จะคุกเข่าคารวะได้อย่างไร”
นักกลยุทธ์ผู้หนึ่งบุคลิกสุภาพอ่อนโยน อายุประมาณห้าสิบปี เอ่ยอย่างสุขุมมากมารยาท “แคว้นสู่เป็นดั่งตะวันใกล้ลับเหลี่ยมฟ้า ถูกทหารต้ายงสองแสนของเราตั้งทัพปิดล้อม เจ้าแคว้นของเจ้าไม่มีหวังคว้าชัย แต่ยังส่งทูตเช่นเจ้ามา ทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใดเล่า”
หยางช่านก้มตัวเล็กน้อยพลางพูด “เจ้าแคว้นของข้ารู้ตัวว่าล่วงเกินต้ายงเข้าแล้ว ยามนี้ทหารบุกถึงประตูเมือง จะไม่ให้นึกพรั่นพรึงได้อย่างไร ทว่าหากแคว้นสู่ของข้ายังไม่เสียดินแดน ในฐานะที่เป็นราษฎรแคว้นสู่ ย่อมไม่กล้าสร้างความอัปยศแก่แว่นแคว้น หากต้ายงให้อภัย อนุญาตให้แคว้นสู่ของข้าถวายบรรณาการเข้าสวามิภักดิ์ แม้หยางช่านเป็นคนโอหัง ก็ย่อมเคารพขุนนางคนสำคัญแห่งต้ายง”
นักกลยุทธ์หนุ่มผู้หนึ่ง รูปโฉมธรรมดา แต่มีดวงตาลึก จมูกโด่งดังเหยี่ยว เอ่ยเย็นชาว่า “ยามนี้แคว้นสู่ใกล้เพลี่ยงพล้ำ ด่านเจียเหมิงใกล้แตกพ่าย ไม่ทราบว่าแคว้นสู่อาศัยสิ่งใดมาร้องขอ ในเมื่อแคว้นข้าตีคว้าชัยเพื่อครอบครองทุกสิ่งได้ เหตุใดต้องไว้ชีวิตพวกเจ้าด้วย”
หยางช่านเงยหน้าตอบ “ยามนี้แม้แคว้นสู่จะพ่ายแพ้ราบคาบ ทว่าด่านเจียเหมิงและปาจวิ้นยังอยู่ในการควบคุม มิแน่ว่าอาจเอาตัวรอดไปได้ หากแคว้นท่านดื้อรั้นจะทำลายแคว้นสู่ให้มลายสิ้น เจ้าแคว้นของข้าจะยอมยกดินแดนแคว้นสู่ทั้งหมดให้หนานฉู่ ถึงตอนนั้นหนานฉู่ได้ครองแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ของสู่จง ทั้งยังได้ครองจิงเซียง แม้ต้ายงจะแข็งแกร่งก็ทำได้เพียงมองดูหนานฉู่ยิ่งใหญ่ หากยอมถอยทัพสงบศึก เจ้าแคว้นของข้าไม่เพียงแต่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง ทั้งจะไม่เรียกคืนดินแดนตงชวนนอกด่านเจียเหมิงด้วย ท่านเจ้าแคว้นชิงชังที่เจ้าแคว้นหนานฉู่ทรยศหักหลังพันธมิตร หลังจากนี้ไป หากคิดแค้นเคืองย่อมมุ่งแก้แค้นเพียงหนานฉู่ ต้ายงได้ดินแดนครึ่งหนึ่งของพวกเรา ทั้งยังได้นั่งดูแคว้นสู่ของข้ากับหนานฉู่รบราสังหารกันเองเพื่อชำระหนี้แค้น เช่นนี้มิใช่ว่าดีมากหรือ”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็เงียบงันไม่พูดจา พวกเขาโจมตีด่านเจียเหมิงต่อเนื่องกันหลายวันแล้ว ทว่ายังมิอาจครอบครอง จะมากจะน้อยก็ทำให้พวกเขาเกิดความคิดถอยทัพ เพียงแต่กลยุทธ์ถูกกำหนดไว้แล้วย่อมมิอาจเปลี่ยนแปลง ดังนั้นสายตาของทุกคนจึงไปรวมกันอยู่บนร่างของยงอ๋องหลี่จื้อ
หลี่จื้อแย้มยิ้มบางเบา เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นราษฎรแคว้นสู่เป็นอย่างไร”
หยางช่านตอบอย่างฉะฉาน “ราษฎรในแดนสู่ล้วนมากปัญญาความสามารถ ทางบุ๋นมีเซียวเหอเป็นอัจฉริยะ ทางบู๊มีป้าหวังผู้หาญกล้า ด้านกลยุทธ์มีเหลียงผิงมากปัญญา อัจฉริยะในแคว้นสู่ล้วนเป็นผู้มากคุณธรรม ทั้งยังซื่อสัตย์จริงใจ แม้หยางช่านไร้ความสามารถ ยังขอบังอาจเทียบชั้นบัณฑิตเถียนเหิง แม้หยางช่านด้อยความรู้ ยังกล้าเดินตามรอยเท้าเนี่ยเจิ้งจิงสิง”
ในดวงตาของหลี่จื้อมีประกายเย็นยะเยือกวาบผ่านโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ถามต่อไปว่า “ยามนี้ผู้ที่อยู่ใต้ปกครองสู่อ๋องมีกี่คนที่เป็นเช่นท่าน”
หยางช่านตอบ “ครบครันทั้งบุ๋นบู๊ ผู้มากปัญญาและความกล้ามีมากมาย นับแล้วยังเกินร้อย ส่วนผู้ที่เหมือนข้ามีมากดุจรถศึก”
หลี่จื้อถามต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านทูตกินตำแหน่งใดเล่า”
หยางช่านตอบ “ภายใต้การปกครองของท่านเจ้าแคว้นราษฎรล้วนมั่งคั่ง ตัวข้าเป็นเพียงคนเถื่อนถ่อย ชอบเพียงชีวิตสุขสำราญกลางท้องทุ่งทั้งวันคืน”
หลี่จื้อหัวเราะเบาๆ “ท่านฑูตเดินทางมาไกลคงเหนื่อยเป็นแน่ เชิญกลับไปที่ด่านก่อนเถิด หากมีคำตอบเมื่อใดจะส่งไปแจ้งท่านทูตแน่นอน”
หยางช่านคารวะอำลา เพิ่งออกจากกระโจมไปได้ไม่ไกล บัณฑิตในอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งก็เดินออกจากกระโจมมาเงียบๆ คนผู้นี้คิ้วบาง ตาเรียวยาว ลักษณะออกจะเสเพลอยู่บ้าง เขาเอ่ยถามว่า “ท่านหยาง บัณฑิตบ้าแห่งแคว้นสู่ เหตุใดจึงใช้แผนโอหังก่อน นอบน้อมทีหลังเล่า”
หยางช่านตอบ “ยโสโอหังก่อนเพื่อไม่ทรยศต่อจิตใจตนเอง นอบน้อมทีหลังเพื่อแว่นแคว้นแดนสู่ของข้า”
บัณฑิตอาภรณ์ขาวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยปาก “ผู้น้อยเซวียนซง นามรองฉางชิง วันหน้าหากมีสิ่งใดไหว้วาน สามารถส่งจดหมายมาหาผู้น้อยได้ ขอเพียงไม่ใช่เรื่องใหญ่ระดับแว่นแคว้น ฉางชิงย่อมพยายามเต็มที่”
หยางช่านกล่าวขอบคุณ แล้วจึงเดินทางผ่านด่านเจียเหมิงเพื่อไปรายงานผลที่เฉิงตู หลังจากนั้น ต้ายงก็ไม่ตีเมืองอีกนานครึ่งเดือน ความกดดันที่ด่านเจียเหมิงได้รับลดลงไม่น้อย
ไม่กี่วันต่อมา สายลับหนานฉู่นำข่าวนี้ควบม้าพันลี้เร่งส่งให้ถึงมือเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ย จ้าวเจวี๋ยบันดาลโทสะหนัก ระยะนี้สถานการณ์ของเขาไม่ดีนัก ตีเมืองลั่วมานานกลับยังไม่สำเร็จ มิเสียทีที่หลงปู้เป็นยอดขุนพลแห่งแคว้นสู่จริงๆ มักฉวยโอกาสออกมาทำศึกยามสถานการณ์ทัพหนานฉู่เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้หนานฉู่จำต้องถอยทัพอยู่บ่อยๆ ส่วนเว่ยเสียนนั้นเชี่ยวชาญการโจมตีค่ายศัตรู ตีค่ายเล็กทุกสามวันตีค่ายใหญ่ทุกห้าวัน ทำให้ทหารหนานฉู่มิอาจข่มตานอน หลงปู้และเว่ยเสียนประสานกำลังตอบรับซึ่งกันและกัน ทำให้ทางทัพหนานฉู่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ มาตลอดหนึ่งเดือน อีกทั้งกองเสบียงด้านหลังก็มักถูกรุกรานจากทหารทัพสู่ที่แตกพ่าย จ้าวเจวี๋ยถึงกับอับจนหนทาง
ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม กลับได้รับข่าวอันน่าตกตะลึงเช่นนี้ หากแคว้นสู่และต้ายงสงบศึกกันจริงๆ เช่นนั้นหนานฉู่คงถึงคราวล่มสลายแล้ว ยามนี้เขาจึงค่อยคิดถึงเจียงเจ๋อขึ้นมา
จ้วงหยวนหนุ่มผู้นี้ แม้มีนิสัยแปลกประหลาดไปบ้าง แม้จ้าวเจวี๋ยบีบบังคับให้เจียงเจ๋อเข้าร่วมกองทัพ และยามที่เจียงเจ๋อป่วยหนักเนื่องจากได้รับความตกใจจากสงครามก็ไม่ได้ไปถามไถ่ให้มากความ ทว่านี่จะตำหนิจ้าวเจวี๋ยไม่ได้ ประการแรก เพราะจ้าวเจวี๋ยคิดว่าเจียงเจ๋อยังคงเป็นขุนนางของหนานฉู่ เช่นนั้นในเมื่อมีความสามารถ เหตุใดจึงไม่ตอบแทนแว่นแคว้นเล่า ต่อมาจ้าวเจวี๋ยยุ่งอยู่กับกิจทหาร ยุ่งอยู่กับการเดินทัพตั้งทัพ ทั้งยังต้องโจมตีเมืองต่อเนื่อง นั่นใช่เรื่องง่ายที่ไหนกัน อีกทั้งหลังเจียงเจ๋อฟื้นไข้ก็เย็นชาต่อกิจทหารยิ่ง จ้าวเจวี๋ยคิดว่าเจียงเจ๋อเพิ่งฟื้นจากการป่วยหนักจึงยังเฉื่อยชาอยู่บ้าง อีกอย่าง เขาสังเกตเห็นว่าเสนาธิการคนสนิทอย่างหรงเยวียนค่อนข้างกีดกันเจียงเจ๋อ เขาไม่อยากทำลายความสัมพันธ์กับหรงเยวียน เพราะจะอย่างไรหรงเยวียนก็เชี่ยวชาญกลยุทธ์ทางการทหารมาก เป็นดั่งแขนขาที่เขามิอาจขาด ดังนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วจึงต้องไม่แยแสเจียงเจ๋ออย่างเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุผลนานัปการ ทำให้จ้าวเจวี๋ยและเจียงเจ๋อยิ่งห่างเหินกันเรื่อยๆ ทว่าตอนนี้จ้าวเจวี๋ยกลับเห็นความสำคัญของเจียงเจ๋ออีกครั้ง เจียงเจ๋อโดดเด่นเหนือผู้อื่น ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข่าวกรองและจัดการเอกสารเท่านั้น ที่สำคัญกว่าก็คือวิสัยทัศน์ของเจียงเจ๋อในด้านกลยุทธ์ทางการทหาร เมื่อดูจากศึกปาจวิ้น จะเห็นว่าเจียงเจ๋อเชี่ยวชาญการวางแผนการรบล่วงหน้าเพื่อเป้าประสงค์ของสงคราม ทั้งยังหาวิธีทำลายอุปสรรคจากข่าวกรองที่มีมากมายมหาศาลดุจทะเลลึกได้อีกด้วย แม้งานเช่นนี้จะใช้คนที่ระมัดระวังรอบคอบมาแทนได้ แต่คนเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ตอนนี้จ้าวเจวี๋ยพบกับสถานการณ์อันยากลำบากกลับคิดถึงเจียงเจ๋อขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ทางหรงเยวียนจะทำอย่างไรเล่า
ขณะที่จ้าวเจวี๋ยกำลังกลัดกลุ้ม หรงเยวียนก็มาขอเข้าเฝ้า เมื่อพบจ้าวเจวี๋ยก็รีบคุกเข่า ปากก็บอกว่ามาขอรับผิด จ้าวเจวี๋ยงุนงงยิ่ง รีบพยุงหรงเยวียนขึ้นมาถามว่า “ท่านหรง เหตุใดจึงมากพิธีเพียงนี้”
หรงเยวียนกล่าวอย่างสำนึกผิด “กระหม่อมจิตใจคับแคบ กีดกันผู้มีความสามารถย่อมมีความผิดมหันต์ ช่วงนี้กระหม่อมคิดทุกวันคืนว่าจะโจมตีศัตรูอย่างไร แต่กลับคิดวิธีดีๆ ไม่ออก หากมีเจียงจ้วงหยวนอยู่ด้วย จะต้องคิดกลยุทธ์ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้แน่ องค์ชายโปรดเสด็จไปกับกระหม่อม ให้กระหม่อมรับโทษต่อหน้าเจียงจ้วงหยวนด้วยเถิด นับแต่นี้ จะร่วมแรงร่วมใจ หาทางตีเมืองลั่วให้ได้”
จ้าวเจวี๋ยเอ่ยอย่างยินดียิ่ง “ท่านรู้ความผิดแล้วแก้ไขย่อมเป็นเรื่องดี ข้าเองก็มีส่วนผิดที่ละเลยบัณฑิตเลื่องชื่อ พวกเราสองคนไปพบเจียงเจ๋อด้วยกันเถิด จะต้องได้รับการอภัยเป็นแน่ จากนั้นก็เชิญเจียงจ้วงหยวนมาร่วมวางแผน ทลายสถานการณ์ชะงักงันเช่นนี้เสีย”
ว่าแล้วก็ส่งรายงานในมือไปให้หรงเยวียน เมื่อหรงเยวียนอ่านจบสีหน้าพลันแข็งทื่อดั่งก้อนดิน เขาย่อมรู้ถึงสถานการณ์อันตรายในตอนนี้แล้ว หากแคว้นสู่ยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายงจริงๆ เมื่อแคว้นสู่ฟื้นฟูกองกำลังขึ้นมาได้ จะต้องเห็นหนานฉู่เป็นเป้าล้างแค้นแน่นอน เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็รีบเร่งให้จ้าวเจวี๋ยไปหาเจียงเจ๋อด้วยกัน
ยามนี้ข้ายังคงจมดิ่งอยู่กับชีวิตอันสุขสบายราวแขกเหรื่อ เมื่อรู้ว่าเถียนซู่อิงก็มีวรยุทธ์ ผู้ตรวจตราทัพหวังไห่จึงเห็นด้วย รีบส่งเถียนซู่อิงและเถียนซื่อกลับมาให้ข้าโดยพลัน พวกเขาได้อยู่พร้อมหน้าอีกครั้งย่อมมีความสุข เพียงแต่เถียนซู่อิงยังคงเฉยเมยต่อข้า จะอย่างไรข้าก็เป็นขุนนางระดับสูงของหนานฉู่ ทั้งยังเป็นผู้กระทำผิดที่ออกกลยุทธ์ทำให้บิดาของนางตาย ข้ายังคงไม่รู้ว่ายามนี้สถานการณ์ของหนานฉู่เลวร้ายประดุจมีเมฆครึ้มปกคลุมเหนือน่านฟ้าแล้ว
ขณะที่ข้ากำลังเขียนบทกลอนที่เพิ่งแต่งเสร็จ นอกประตูก็มีเสียงคนเอ่ยถาม “ใต้เท้าเจียงอยู่หรือไม่”