ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 25 กลลวงลูกโซ่อำมหิต (2)
เมิ่งอวิ๋นแห่งแคว้นสู่รู้ข่าวการศึกพลันตกใจจนเป็นลมล้มพับไปหลายครั้ง ถึงกับหลั่งน้ำตากลางท้องพระโรง “บรรพบุรุษสร้างชาติ จวบจนวันนี้เป็นเวลาหกสิบปีแล้ว ยามนี้กลับล่มสลายดั่งหมอกควัน แม้ตายข้าก็ไม่กล้าพบหน้าบรรพบุรุษ”
เมื่อหารือกับเหล่าขุนนาง บางคนเสนอให้ยอมแพ้ เมิ่งอวิ๋นใคร่ครวญหลายครั้งหลายครา สุดท้ายจึงกุมพระพักตร์เสด็จกลับวังหลัง เหล่าขุนนางมองหน้ากัน ได้แต่แยกย้ายกันไป
เวลาล่วงเลยจนกระทั่งขึ้นปีใหม่ รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบ ปีซินเว่ย[1] เดือนหนึ่ง เหล่าขุนนางและราษฎรแห่งต้ายงและหนานฉู่ล้วนเฉลิมฉลองชัยชนะ แคว้นสู่ทั้งบนล่างตกอยู่ในความเศร้าสลด รอทัพต้ายงและทัพหนานฉู่รวมพลเข้าสู่นครเฉิงตูแห่งแดนสู่
ทหารทุกชั้นยศในกองทัพล้วนเต็มไปด้วยความปีติยินดี ข้าดื่มสุราอยู่ในกระโจมแม่ทัพไปสองสามจอกก็ขอตัวลากลับไปยังที่พำนักของตน ล้มตัวลงนอนบนเตียง คิดถึงอนาคตท่ามกลางความสะลึมสะลือ
คราวนี้มีเพียงจ้าวเจวี๋ยที่รู้ว่าข้าเป็นผู้เสนอแผน ข้าขอให้เขาอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จ้าวเจวี๋ยก็รับปากแล้ว เขาคงรู้สึกว่าแผนการนี้ของข้าอำมหิตเกินไปกระมัง แต่กลับไม่ทราบว่า นั่นเป็นเพราะข้าจะไปจากหนานฉู่แล้ว หากผู้อื่นรู้ว่าเป็นแผนการของข้า เกรงว่าข้าคงมิอาจอยู่สงบไปชั่วชีวิต ความยินดีจากชัยชนะมีไม่มากนักเพราะข้ารู้ว่า เมื่อคืนหานจางร้องไห้เสียใจอยู่ในห้อง แม้เสียงของเขาจะเบามากเพื่อหลบเลี่ยงภรรยาก็ตาม
ความจริงหากเทียบกับแผนการของข้า แผนการของยงอ๋องต่างหากจึงจะเรียกว่าโหดเหี้ยมอำมหิต แผนการเปิดเผยตรงไปตรงมา ทำให้ผู้อื่นคิดว่าเขาฉกฉวยผลประโยชน์ท่ามกลางไฟสงคราม ยามนั้นข้าไม่ได้บอกจ้าวเจวี๋ยไปว่ายงอ๋องยังมีเป้าหมายอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือคิดใช้โอกาสนี้สืบหาเครือข่ายข่าวกรองของหนานฉู่ คิดไปคิดมา เขาคงทำเช่นนี้เพื่อประมวลสถานการณ์การสงบศึกระหว่างต้ายงและหนานฉู่กระมัง กระทั่งอาจใช้ประโยชน์จากสายส่งข่าวกรองไปให้เต๋อชินอ๋องผ่านทางสู่จง ยงอ๋องสมควรฉวยโอกาสนี้เข้าควบคุมเส้นทางเดินข่าวและกลุ่มสายลับของหนานฉู่ไปได้ไม่น้อย เมื่อถึงตอนนั้น ย่อมกำจัดอำนาจอิทธิพลของหนานฉู่ไปได้อย่างง่ายดาย นี่นับเป็นอุบายระดับใดกัน
ทว่าข้าไม่มีกะจิตกะใจบอกกล่าวต่อเต๋อชินอ๋องแล้ว ในจุดนี้หากพวกเขาคิดไม่ได้ก็นับว่าโง่เขลาเต็มที ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่กล้าล่วงเกินต้ายงจริงๆ และยามนี้จ้าวเจวี๋ยเริ่มหวาดระแวงข้าแล้ว ทำให้ข้าไม่สนใจจะช่วยเหลือเขาอีก เฮ้อ เดิมทีข้าหวังจริงๆ ว่าหนานฉู่จะได้พบกับความรุ่งเรืองโชติช่วง ทว่าจ้าวเจวี๋ยผู้นี้ไม่มีความสามารถเช่นก่วนจ้ง[2] และเยว่อี้[3] กลับคล้ายเป้าซูหยา[4] เสียมากกว่า คนผู้นี้แยกแยะขาวดำดีชั่วชัดเจนเกินไป ไม่รู้จักเมินเฉยต่อสายตาผู้อื่น
หนานฉู่ไม่มีความหวังแล้วจริงๆ หรือ ข้าคิดอย่างปวดใจ
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบเดือนหนึ่ง สองทัพมิได้เร่งร้อนเข้าช่วงชิงผลประโยชน์ ต่างฝ่ายต่างรักษากำลังบำรุงทัพ ดูแลพื้นที่ที่ตนครอบครองให้สงบมั่นคง จวบจนถึงวสันตฤดูที่อากาศอบอุ่นบุปผาเบ่งบาน นี่นับเป็นเหมันต์สุดท้ายสำหรับแคว้นสู่
แม้แคว้นสู่จะเสียกำลังทหารส่วนใหญ่ไปแล้ว แต่มิอาจทำให้สถานการณ์สงบโดยง่าย ความภาคภูมิใจในชาติและความดื้อรั้นของประชาชนแคว้นสู่ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียว เกิดกบฏไปแล้วเจ็ดครั้ง ลอบสังหารอีกยี่สิบสามครั้ง แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดเพ่งเล็งข้าเป็นพิเศษเพราะข้ามิใช่ผู้มีชื่อเสียงอันใด เหล่าบัณฑิตเลื่องชื่อแห่งแดนสู่ก็ไม่ยอมโอนอ่อนเชื่อฟัง แม้มิอาจต่อต้านซึ่งหน้าก็ยังต่อต้านเงียบๆ สถานการณ์เช่นนี้อันตรายยิ่ง ทำให้เส้นผมของจ้าวเจวี๋ยขาวไปแล้วหลายเส้น ทั้งๆ ที่ได้รับชัยชนะแต่กลับยากลำบากเพียงนี้
สุดท้าย ความคิดเห็นของสองทัพก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากสู่อ๋องยอมแพ้ สถานการณ์สมควรดีขึ้นเสียหน่อย ดังนั้นต้ายงและหนานฉู่จึงแลกเปลี่ยนสารเพื่อหารือกัน สุดท้ายจึงตัดสินใจบุกแดนสู่พร้อมกันก่อนวันที่หนึ่ง เดือนสอง คิดใช้ทหารเข้าควบคุมนครเฉิงตู
จ้าวเจวี๋ยมาหาข้าอีกครั้งก่อนออกเดินทัพ ตอนนี้เขาชอบมาพบข้าเป็นการส่วนตัวยิ่งนัก ทั้งยังไม่เผยแผนการของข้าให้ผู้อื่นรับรู้เสียด้วย คงเพราะรู้สึกว่าแผนการข้าอำมหิตเกินไปกระมัง ทว่าข้าค่อนข้างชอบวิธีการเช่นนี้ เพราะมันปลอดภัยดี หากไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป็นความคิดของข้าย่อมดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ระยะนี้ข้าก็ออกความเห็นไปไม่น้อย ล้วนเป็นความคิดโหดเหี้ยมอำมหิตทั้งสิ้น ดังนั้นข้าจึงให้หานจางไปจากข้า เขาเป็นคนแคว้นสู่ หากตอนนี้ยังรั้งอยู่ข้างกายข้าเกรงว่าจะอันตรายเกินไป หากเขาเกิดรู้สึกว่าการสังหารข้าคุ้มค่ากับชีวิตครอบครัวเขาทั้งหมดขึ้นมาข้าคงมิพ้นตายอย่างอนาถ
เสี่ยวซุ่นจื่อสิ้นเปลืองความคิดไปมากมายเพื่อคุ้มครองข้า ถึงกับเลือกคนที่เหมาะสมออกมาจากคุกหนานฉู่ผู้หนึ่ง คนผู้นั้นชื่อเฉินเจิ่น เป็นมือสังหารและสายลับของทัพสู่ หลังจากเมืองแตกก็ถูกจับกุมตัวเพราะตรวจสอบพบว่าเขาเคยลอบสังหารแม่ทัพของทัพเราหลายครั้งหลายครา เดิมทีควรรับโทษตาย ทว่าคนผู้นี้มีนิสัยอำมหิต เลือดเย็นโดยสันดาน ไม่สนใจผู้อื่นนอกจากตนเอง หากมิใช่ว่าคราวนี้เมืองแตกเร็วเกินไปเขาคงหนีไปนานแล้ว
เสี่ยวซุ่นจื่อมองว่านิสัยเลือดเย็นของเขาควบคุมง่าย จึงบอกให้ข้าทูลขอชีวิตเขาต่อจ้าวเจวี๋ย จ้าวเจวี๋ยกำลังคิดว่าไม่มีสิ่งใดตอบแทนข้าอยู่พอดี จึงอนุญาตโดยง่าย เสี่ยวซุ่นจื่อใช้วิธีการลึกลับบางอย่างกับร่างกายของเขา แต่ข้ายังคงไม่วางใจ จึงให้เสี่ยวซุ่นจื่อนำยาพิษออกฤทธิ์ช้าที่ข้าปรุงไปให้เขากินอีกครั้ง แน่นอน พวกเราบอกเขาเพียงว่ายาแก้พิษอยู่กับเสี่ยวซุ่นจื่อ เช่นนี้ข้าจึงมีผู้คุ้มกันที่เชื่อใจได้เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง หากพูดตามคำของเสี่ยวซุ่นจื่อ คนผู้นี้จะไม่คิดสละชีพเพื่อสังหารข้าเป็นแน่ และด้วยนิสัยรักตัวกลัวตายของเขาจะทำให้เขาไม่คิดทรยศข้า นับเป็นผู้คุ้มกันที่ยอดเยี่ยมที่สุด
เมื่อจ้าวเจวี๋ยนั่งลงก็เอ่ยปากอย่างหวั่นวิตก “พวกเราจะเข้ายึดครองเฉิงตูแล้ว ถึงตอนนั้นไม่มีแคว้นสู่เป็นกันชน จะรับมือต้ายงเช่นไรดี นอกจากนี้ท่านเจ้าแคว้นส่งราชโองการลับมาให้ข้าแล้ว ทรงห้ามมิให้พวกเราล่วงเกินต้ายง”
ในส่วนนี้ข้าวางแผนคร่าวๆ ไว้นานแล้ว “กระหม่อมคิดว่าความขัดแย้งสำคัญอยู่ที่นครเฉิงตู หากผู้ใดจับสู่อ๋องเป็นเชลยศึกได้ ผู้นั้นจึงจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด เรื่องนี้พวกเราไม่จำเป็นต้องแย่งชิงกับต้ายง แย่งชิงไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด กระหม่อมคิดว่าทำให้สู่อ๋องไม่ตกอยู่ในมือต้ายงก็พอแล้ว กระหม่อมได้ยินมาว่าสู่อ๋องเหินห่างอัจฉริยะ สนิทสนมคนถ่อย โปรดปรานพระชายาจินเหลียน และขันทีจางฉวนแห่งตำหนักใน ได้ยินว่าพระชายาจินเหลียนเป็นสตรีงามไร้ผู้ใดเปรียบ พวกเราก็มอบนางสนมและข้าราชบริพารแห่งแคว้นสู่ทั้งหมดให้ต้ายงไปเสีย หากยงอ๋องจับตัวพวกเขาไปเป็นเชลยศึกที่แคว้น เช่นนั้นด้วยความงดงามของพระชายาจินเหลียนจักต้องได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิต้ายงเป็นแน่ ถึงตอนนั้น พวกเราก็วางแผนยุแยงวังหลังของต้ายงเสีย หากยงอ๋องสังหารพวกเขา แม้จะน่าเสียดาย แต่เมื่อจักรพรรดิต้ายงทราบเรื่องจะต้องบันดาลโทสะแน่นอน บุรุษสูงวัยมักโปรดปรานสตรีงามเป็นที่สุด โดยเฉพาะบุรุษที่มิค่อยฉลาดเฉลียวเช่นจักรพรรดิต้ายง ไม่ว่าแผนนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลว พวกเราก็ทำให้ความสัมพันธ์พ่อลูกห่างเหินได้ แน่นอนว่าพวกเรามีของที่ต้องครอบครองให้ได้เช่นกัน หลังจากเข้าเมืองแล้วขอให้องค์ชายส่งท่านหรงไปที่กรมคลังเพื่อรวบรวมแผนที่ บัญชีราษฎร์และตำราต่างๆ นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พวกเราดูแลซีชวนได้อย่างสะดวกราบรื่น ส่วนเงินทองของล้ำค่า พวกเราก็ต้องแย่งชิงเช่นกัน ประการแรกเพื่อปกปิดเรื่องตำราสำคัญที่พวกเราช่วงชิงมา ประการที่สองเพื่อนำมาเลี้ยงฉลองและตกรางวัลให้เหล่าทหารและเป็นบรรณาการแก่เจ้าแคว้น ส่วนเรื่องอื่นพวกเราไม่จำเป็นต้องสนใจ จวนขุนนางสู่เหล่านั้นก็ปล่อยให้ต้ายงจัดการไปเถิด”
จ้าวเจวี๋ยได้ยินก็พยักหน้าระรัว “ที่ใต้เท้าเจียงกล่าวว่าทำให้พ่อลูกเหินห่าง ช่วยอธิบายให้ละเอียดเสียหน่อยได้หรือไม่”
ข้าคิดว่า อย่างไรเสีย ข้าก็จะไปจากหนานฉู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเก็บงำซ่อนเร้นอันใดอีก จึงกล่าวไปว่า “เรื่องที่ยงอ๋องและรัชทายาทหลี่อันแห่งต้ายงแย่งชิงราชบัลลังก์กันเป็นเรื่องที่ผู้คนรับรู้ทั้งใต้หล้า ต้ายงสร้างชาติด้วยการทหาร หลี่อันต้องตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนเป็นแน่ คราวนี้ยงอ๋องทำลายแคว้นสู่ได้สำเร็จ ผลงานยิ่งใหญ่เพียงนี้ หลี่อันคงไม่พอใจยิ่ง เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ส่งสายลับไปกระจายข่าวลือที่ต้ายง กล่าวว่ายงอ๋องต้องการครอบครองตงชวน คิดตั้งตนเป็นใหญ่…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ จ้าวเจวี๋ยก็เข้าใจกระจ่าง มองข้าด้วยสายตาลึกล้ำ ทั้งยังอัดแน่นไปด้วยความหวาดหวั่น ก่อนกล่าวอย่างเลื่อมใสศรัทธา “แผนการของใต้เท้าเจียงยอดเยี่ยมยิ่ง คุ้มครองให้หนานฉู่สงบสุขไปได้อีกหลายปีทีเดียว ไม่ทราบว่าใต้เท้ามีความต้องการใดหรือไม่ ข้าจะช่วยเหลือเต็มที่แน่นอน”
ข้าคิดในใจว่าคราวนี้ความปรารถนาของข้าคงเป็นจริงแล้วกระมัง จึงรีบกล่าวไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คราวนี้กระหม่อมเหนื่อยล้าจากสงคราม ทั้งยังเจ็บป่วยไม่หาย เมื่อกลับไปแล้วหวังจะลาออกจากราชการ กลับไปที่บ้านเกิด หากองค์ชายอนุญาต โปรดทูลต่อเจ้าแคว้นด้วยเถิด กระหม่อมจะซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง”
จ้าวเจวี๋ยขมวดคิ้วมุ่น ในใจคิดว่า เจียงเจ๋อผู้นี้จิตใจลึกล้ำยากคาดเดา หากไม่คิดแสวงอำนาจย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากไปเข้ากับแคว้นอื่น เช่นนั้นหนานฉู่ย่อมตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจ้าวเจวี๋ยจึงกล่าวตัดบทไปว่า “ใต้เท้าเจียงกล่าวเช่นนี้ย่อมไม่ดีนัก ท่านเฉลียวฉลาดเหนือผู้คน ข้ายังคิดพึ่งพิง เหตุใดจึงคิดลาจากกันเร็วเช่นนี้เล่า หากใต้เท้าเจียงไม่ชอบวุ่นวายเรื่องการเมือง ข้าจะทูลขอท่านเจ้าแคว้น ให้ใต้เท้าเจียงพักรักษาตัวในสำนักฮั่วหลิน หากไม่มีเรื่องใดก็ไม่จำเป็นต้องจัดการงานราชการ”
อะไรกัน ข้าตะลึงพรึงเพริด เหตุใดเรื่องราวจึงมิเป็นไปดังปรารถนาเล่า คืนนั้นข้าระบายกับเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างอัดอั้นตันใจ เสี่ยวซุ่นจื่อเอามือทาบอก กล่าวว่า “สวรรค์ ใต้เท้า ท่านยังไม่เข้าใจจิตใจของราชนิกุลเหล่านี้อีกหรือ หากปล่อยให้คนเช่นท่านหลุดมือ จะมิกลัวว่าท่านจะไปพึ่งพิงต้ายงไม่ก็เป่ยฮั่นหรือไร ผู้ใดใช้ให้ท่านแสดงความสามารถยอดเยี่ยมเพียงนั้นออกมาเล่า ดูแล้วท่านไม่เพียงแต่จะลาออกไม่ได้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปยังต้องเก็บงำประกายอีกด้วย รอโอกาสเหมาะสมจึงค่อยละทิ้งตำแหน่งขุนนางแล้วหนีไปเสียเลย”
ข้ามองเสี่ยวซุ่นจื่ออย่างกระอักกระอ่วน ทั้งรู้สึกผิดและเลื่อมใส
รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบ วันที่สิบห้าเดือนสอง หนานฉู่และต้ายงรวมพลเคลื่อนทัพสู่นครเฉิงตู ทั้งสองทัพล้อมเฉิงตูแน่นหนา กระทั่งไม่มีอะไรเล็ดรอดไปได้ เต๋อชินอ๋องเข้าพบยงอ๋องหลี่จื้อ ข้าอดรนทนไม่ไหว อยากเห็นจริงๆ ว่ายงอ๋องเป็นวีรบุรุษระดับใดกัน จึงขอตามจ้าวเจวี๋ยไปด้วย
เมื่อมาถึงค่ายใหญ่ของยงอ๋อง เพียงได้เห็นค่ายใหญ่ที่มีกลิ่นอายเสือซุ่ม มังกรซ่อน ข้าก็อดเลื่อมใสไม่ได้แล้ว ยงอ๋องหลี่จื้อออกมาต้อนรับพวกเราถึงประตูค่าย ข้าที่ติดตามอยู่ไกลๆ เห็นเขายืนอยู่ตรงประตูค่าย สวมใส่อาภรณ์และเครื่องประดับตามยศชินอ๋อง บุคลิกสง่างามสูงศักดิ์ แม้จะทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้น แต่ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของบุรุษผู้นี้เป็นจุดศูนย์รวมพลังอำนาจของทั้งค่าย
เมื่ออยู่ห่างจากค่ายร้อยเก้า เต๋อชินอ๋องก็ลงจากม้าเปลี่ยนเป็นเดินเท้า ข้าเองก็ทำตามนั้น เดินเข้าใกล้ค่ายเรื่อยๆ ยงอ๋องยิ้มแย้มต้อนรับ ยามนี้เอง ในที่สุดข้าก็พบเรื่องที่ทำให้ข้าต้องตะลึงพรึงเพริดครั้งใหญ่
ยงอ๋องหลี่จื้อผู้นี้ ข้าจำเขาได้
[1] ซินเว่ย คือ ปีที่แปดตามแผนภูมิฟ้า
[2] ก่วนจ้ง คืออัครมหาเสนาบดีผู้เลื่องชื่อแห่ง รัฐฉีในสมัยชุนชิว (770-476 ก่อนคริสตกาล)
[3] เยว่อี้ คือแม่ทัพเลื่องชื่อแห่งแคว้นฉี
[4] เป้าซูหยา เป็นขุนนางแห่งรัฐฉี แม้จะเป็นนักปกครองที่มีความสามารถ แต่เขามีชื่อเสียงเพราะเป็นเพื่อนของก่วนจ้ง และเป็นที่รู้จักเพราะสามารถมองบุคลิกลักษณะและพรสวรรค์ของแต่ละคนออก มีนิสัยแบ่งแยกดีเลวชัดเจน