ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 29 หยกงามแหลกลาญ (2)
เมื่อฟังถึงตรงนี้ข้าพลันตัวอ่อนยวบทรุดเข่าลงกับพื้น แผดเสียงร้องอย่างน่าสังเวช หมดสติไปโดยพลัน เมื่อข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นใบหน้าร้อนใจของเสี่ยวซุ่นจื่อ ข้ารีบดึงเขาเข้ามาถามว่า “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เพียวเซียงตายได้อย่างไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบอย่างอาดูร “ข้านำศพของแม่นางหลิ่วกลับมาแล้ว หลังจากตรวจสอบสอบอย่างละเอียดพบว่าแม่นางหลิ่วถูกผู้อื่นบังคับขืนใจอย่างทารุณ จากนั้นจึงใช้พลังภายในที่อ่อนนุ่มดุจสตรีตัดเส้นชีพจรของนางจนตาย แม้จะชะล้างพลังและปกปิดอย่างแนบเนียนแล้ว แต่ร่องรอยและพลังภายในที่เหลืออยู่ในร่างย่อมไม่อาจปิดบังข้าได้”
ข้าหลับตาอย่างเจ็บปวดใจ หากเพียวเซียงไม่คิดรักษาความบริสุทธิ์เพื่อข้า จะเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ข้าถามต่อไปว่า “เป็นใคร ผู้ใดสังหารนาง”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบ “ข้าตรวจสอบมาแล้ว เยี่ยนเหนียงบอกว่าเหลียงหวั่นส่งคนมา กล่าวว่ามีแขกสูงศักดิ์ต้องการพบแม่นางหลิ่ว เยี่ยนเหนียงคิดว่าเหลียงหวั่นคงไม่สร้างความลำบากให้แม่นางหลิ่ว อีกทั้งนางก็มิกล้าล่วงเกินแขกสูงศักดิ์จากต้ายง ดังนั้นจึงบีบให้แม่นางหลิ่วไปพบแขก ข้าไปตรวจสอบที่หอหมิงเยว่มาแล้วกลับไม่พบแขกสูงศักดิ์อันใด ข้าจึงจับบ่าวไพร่ของพวกเขามาสอบถามคนหนึ่งจึงได้รู้ว่าแม่นางหลิ่วถูกทารุณที่หอหมิงเยว่จริงๆ หากข้ามองไม่ผิด อาจเป็นเหลียงหวั่นลงมือ ข้าลองลอบโจมตีนางแล้ว พบว่าพลังภายในของนางสอดคล้องกับพลังที่ทำร้ายแม่นางหลิ่ว”
ข้าร้องอย่างปวดร้าว “เหลียงหวั่น ดี ดี เสี่ยวซุ่นจื่อ พยุงข้าไปพบเพียวเซียงที”
ข้าเดินไปถึงห้องปีกห้องหนึ่ง ในโลงศพไม้ที่วางอยู่ในห้องมีร่างของเพียวเซียงนอนอยู่ ข้าพิศมองใบหน้างดงามราวยังมีชีวิตอยู่ของนาง สีหน้าเช่นนั้นเจือไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและเสียใจ ข้าร้องไห้สะอึกสะอื้น นางตายแล้วจริงๆ สตรีที่ข้ารัก สตรีที่ข้าต้องการแต่งนางเป็นภรรยา ถูกคนสังหารจนตายไปเช่นนี้
“เหลียงหวั่น!” ข้าแผดเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
วันต่อๆ มา ข้าแข็งทื่อราวกับซากศพเดินได้ หลังจากฝังศพเพียวเซียงส่งนางสู่ภพภูมิที่ดีแล้ว ข้าก็เกิดป่วยขึ้นมาจริงๆ การป่วยครั้งนี้กินเวลาถึงครึ่งปี เป็นอาการป่วยที่หลงเหลือจากแดนสู่ปะทุขึ้นอีกครั้ง จากนั้นข้าจึงเริ่มฝึกฝนพลังภายในเพื่อรักษาสุขภาพใหม่ตั้งแต่ต้น ทำให้สังขารที่เจ็บป่วยของข้าค่อยๆ ดีขึ้น ใบหน้าฟื้นคืนสู่ปกติ ทว่ากลับคละเคล้าไปด้วยความโศกเศร้าอยู่หลายส่วน
หลังจากข้าป่วยได้ไม่นานก็ได้ยินว่าเจ้าแคว้นพระราชทานตำแหน่งให้แก่เต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ย และอนุญาตให้เขาพกกระบี่เข้าเฝ้าได้ เมื่อพบเจ้าแคว้นก็ไม่ต้องคุกเข่าคารวะ ข้ามิแปลกใจนัก เดิมทีเต๋อชินอ๋องก็เป็นเสด็จอาของเจ้าแคว้นอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดด้วย เช่นนี้หากจะพระราชทานตำแหน่งจริงๆ ก็ไม่มีตำแหน่งใดให้พระราชทานแล้ว ข้าจึงฝืนร่างกายเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้เฉินเจิ่นนำไปมอบให้จ้าวเจวี๋ย
ไม่นานจ้าวเจวี๋ยก็บอกปัดบำเหน็จรางวัล กล่าวว่าเดิมทีตนก็เป็นเสด็จอาของเจ้าแคว้นอยู่แล้ว ศักดิ์ฐานะนี้ถือว่ามากด้วยเกียรติยศ ไม่มีความจำเป็นต้องพระราชทานตำแหน่งอีกต่อไป ตอนนี้หากเจ้าแคว้นคิดว่ามีผลงานแล้วมิได้รับพระราชทานรางวัลนับเป็นการเสียหน้าแว่นแคว้น ก็ขอให้ท่านเจ้าแคว้นพระราชทานที่นาและเงินทองให้มากเสียหน่อย
เจ้าแคว้นยินดีดังคาด ทรงพระราชทานรางวัลอย่างยิ่งใหญ่ ผ่านไประยะหนึ่งเต๋อชินอ๋องก็ทูลขอไปเฝ้ารักษาการณ์ที่จิงเซียงด้วยตัวเอง เจ้าแคว้นจึงอนุญาตอย่างเปรมปรีดิ์
ก่อนเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยจะไปรักษาการณ์อยู่ที่จิงเซียงเคยมาเยี่ยมข้าแล้ว เมื่อเห็นข้าป่วยหนักก็รีบสั่งให้หมอหลวงมารักษาข้า ต่อมา แม้ตัวเขาอยู่ที่เซียงหยางแล้วก็ยังส่งยาและของบำรุงมาให้ข้าอีกหลายครั้ง เสี่ยวซุ่นจื่อบอกว่าจ้าวเจวี๋ยส่งคนมาจับตาดูการเคลื่อนไหวของข้าอยู่ตลอด แต่ไม่จำเป็นต้องสนใจ อย่างไรเสียตอนนี้ข้าก็เอาแต่นอนรักษาตัวอยู่บนเตียงทั้งวี่ทั้งวัน เขาย่อมไม่สนใจตรวจสอบการเคลื่อนไหวของคนข้างกายข้าแน่ ส่วนร่องรอยและการเคลื่อนไหวของเสี่ยวซุ่นจื่อ ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดค้นพบ
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ข้ากังวลใจยิ่ง เดิมทีท่านเจ้าแคว้นต้องการฟื้นฟูตำแหน่งจักรพรรดิ แต่เหล่าขุนนางกลับทัดทาน กล่าวว่ายามนี้เพิ่งสยบสู่ สูญเสียกำลังทหารไปอย่างสาหัส สมควรรออีกระยะหนึ่ง เดิมทีเจ้าแคว้นไม่พอใจนัก ภายหลังได้รับจดหมายจากฉีอ๋องจึงค่อยล้มเลิกความคิดไปอย่างเศร้าสลด
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าแคว้นก็หลงใหลในสุรานารีทั้งวันคืน ทั้งยังหลงใหลนางบำเรอที่มาจากแคว้นสู่เป็นพิเศษ โดยมีกวีและบัณฑิตตามเสด็จกลุ่มหนึ่งอยู่เป็นเพื่อน เอาแต่ร่ำสุราเคล้าดนตรี ขับลำนำแต่งโคลงกลอน ทั้งยังนำอักษรภาพและตำราเลื่องชื่อต่างๆ ที่ได้มาจากแดนสู่เข้าไปเก็บไว้ที่ตำหนักฉงเหวินด้วย นอกจากเรื่องนี้ที่ข้าค่อนข้างชื่นชม เรื่องอื่นล้วนเลอะเลือนทั้งสิ้น ทั้งยังโยนงานราชการทั้งหมดไปให้อัครมหาเสนาบดีซั่งเหวินจวินดูแล โดยตรัสทำนองว่า ‘นอกมีเสด็จอา ในมีอัครมหาเสนาบดี เช่นนั้นตัวข้าเพียงกินดื่มเฉลิมฉลองทั้งวันคืนเป็นพอ’
ด้วยการนำของเจ้าแคว้นเช่นนี้ ขุนนางหลายคนก็ยิ่งกระทำตามอำเภอใจ ข้าส่งคนไปรวบรวมบทประพันธ์ของพวกเขามาแล้ว ล้วนเป็นบทกวีลามกอนาจารทั้งสิ้น อนาถเสียจนมิอาจทนมอง
หนานฉู่หลงใหลดุจฝันมัวเมาเพียงนี้ ต้ายงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ข่าวที่ว่ายงอ๋องปรารถนาตั้งตนเป็นใหญ่แพร่ไปถึงหูของรัชทายาทหลี่อันแล้ว หลี่อันถึงกับเร่งรุดไปร้องห่มร้องไห้เบื้องพระพักตร์จักรพรรดิหลี่หยวนแห่งต้ายง หลี่หยวนเรียกตัวยงอ๋องกลับแคว้นโดยพลัน ปล่อยเขาว่างเว้นจากงานราชการไปเช่นนั้น ครึ่งปีมานี้ยงอ๋องอยู่ที่ฉางอัน ใช้ชีวิตกระสับกระส่ายตั้งแต่ตะวันขึ้นยันตะวันตก พบการลอบสังหารและแผนชั่วช้านับครั้งไม่ถ้วน
ข้าเพิ่งได้ยินข่าวนี้ไม่นานก็มีคนลึกลับผู้หนึ่งมาเยี่ยมเยียนข้าถึงที่พำนัก ตัวเขาสกปรกมอมแมม เรียกตัวเองว่าเป็นองครักษ์ของยงอ๋อง ข้ารับสารจากยงอ๋องมาอ่าน ในนั้นเขียนว่าตอนนี้เขาถูกผู้อื่นพูดจาให้ร้าย คิดว่าเก้าในสิบส่วนคงเกี่ยวข้องกับแผนการของข้า ตอนแรกข้ารับปากจะช่วยเขาวางกลยุทธ์แล้ว และเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหนานฉู่ จึงอยากถามข้าว่าสมควรป้องกันตัวเองเช่นไร
ข้ายิ้มฝาดเฝื่อน ยงอ๋องช่างใช้ประโยชน์ผู้อื่นจนหยดสุดท้ายจริงๆ คิดไปคิดมา ข้าก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา และเพื่อความปลอดภัยข้าจึงใช้มือซ้ายเขียนอักษร ทั้งยังไม่จั่วหัวและไม่ใส่ชื่อผู้เขียนด้วย
“ยอมเสียบางสิ่งก่อนเพื่อให้ได้รับบางสิ่ง นอกมีศัตรูแกร่ง ในไร้ปัญหา”
ยงอ๋องชาญฉลาดมากไหวพริบดังคาด ไม่นานข้าได้ยินว่ายงอ๋องหลี่จื้อถูกวางยาพิษในจอกสุรากลางงานเลี้ยงต้อนรับที่จักรพรรดิต้ายงจัดขึ้น หลังจากดื่มเข้าไป หลี่จื้อก็กระอักเลือดไม่หยุด หากมิใช่ว่าหมอเทวดาซังเฉินอยู่ที่ฉางอันพอดีเกรงว่าหลี่จื้อคงสิ้นชีพไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิต้ายงจึงบันดาลโทสะอย่างหนัก ส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องพัวพันเป็นวงกว้าง หลี่อันจึงค่อยยอมรามือ
ผ่านไปไม่นานก็มีข่าวว่าเป่ยฮั่นเข้ารุกรานชายแดนต้ายง หลี่จื้อรีบส่งฎีกาขออาสาไปสกัดเป่ยฮั่น และได้รับอนุญาตตามคาด จักรพรรดิต้ายงเองก็อยากแยกพวกเขาพี่น้องออกจากกันชั่วคราวเพื่อให้พวกเขาสงบใจลงบ้าง
เมื่อข้าได้ทราบข่าวนี้ก็แย้มยิ้มบาง สำหรับข้าแล้วนี่เป็นการกระทำที่ทำเพียงหนึ่งได้ถึงสอง ยงอ๋องและเป่ยฮั่นปะทะกันมาหลายปีแล้ว รัชทายาทหลี่อันกุมกำลังทหารอยู่ในมือจะต้องสร้างความลำบากให้หลี่จื้อเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะพัวพันไปถึงต้ายง ทำให้วุ่นวายจนไม่มีเวลามาสนใจหนานฉู่ ในอนาคตหากข้าจะแก้แค้นก็ยังมียงอ๋องเป็นดั่งบรรพตให้พึ่งพิง ขอเพียงข้าใช้กลอุบายอย่างชาญฉลาดย่อมไม่มีผู้ใดเจาะจงมาสร้างความลำบากให้ข้าแน่นอน
ในขณะที่ข้ากำลังป่วยอยู่ เสี่ยวซุ่นจื่อก็ไปตรวจสอบเรื่องราวด้วยตัวเอง สุดท้ายจึงบอกว่าหากต้องการสังหารเหลียงหวั่น เขาลอบสังหารให้ได้ ทว่าข้าปฏิเสธไป แม้เหลียงหวั่นจะมีความผิดจนมิอาจอภัยแต่ผู้ที่ทำร้ายเพียวเซียงจนตายยังมีอีกคนหนึ่ง คนผู้นั้นให้เหลียงหวั่นทำตัวเป็นแม่เล้า ใช้นางเป็นหนังหน้าไฟเพื่อมิให้ตนเองมีปัญหา ฐานะของคนผู้นี้จะต้องพิเศษอย่างยิ่ง และเป็นคนที่เหลียงหวั่นไม่ยอมเปิดเผยตัวตน
ข้ารู้ดีว่าแม้สตรีนางนี้จะงดงามดังดอกท้อแต่กลับอำมหิตดังงูพิษ หากข้าจับนางได้ นางคงมิบอกว่าผู้ลงมือคือใคร ข้าจำเป็นต้องทำให้นางตกอยู่ในสถานการณ์ที่แม้ตายก็ตายตาไม่หลับจึงจะบีบบังคับให้นางคายความจริงออกมาได้ ดังนั้นตอนนี้จึงยังมิอาจสังหารนาง
เหลียงหวั่นโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ หลังจากเพียวเซียงตาย เพื่อปิดบังหูตาผู้คนมิให้ข่าวแพร่ออกไป ข้าจึงให้เยี่ยนเหนียงฝังศพนางแทนข้าเงียบๆ จากนั้นจึงบอกใบ้ให้เฉินเจิ่นนำทรัพย์สินของเพียวเซียงไปมอบให้นางส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือแบ่งให้เหล่าหญิงรับใช้ของเพียวเซียงและจัดแจงให้พวกนางออกไปจากเจี้ยนเย่ ไปใช้ชีวิตที่อื่นเสีย
ข้าจัดการเรื่องเหล่านี้โดยติดต่อกับเยี่ยนเหนียงผ่านเฉินเจิ่น เยี่ยนเหนียงรู้ว่าเพียวเซียงมีคนรักแล้วแต่กลับไม่รู้ว่าเป็นข้า ทว่าเห็นข้าใจกว้างเพียงนี้นางย่อมยินดี เมื่อนางจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น มือสังหารของเหลียงหวั่นก็มาตามคาด เหลียงหวั่นส่งคนมาจับตาดูเยี่ยนเหนียงนานแล้ว เมื่อเห็นนางจัดการทุกอย่างอย่างมีขั้นมีตอนก็ไม่ได้รีบร้อนลงมือ รอจนเรื่องราวเสร็จสิ้นนางจึงค่อยส่งคนมาสังหารเยี่ยนเหนียง
ข้าเห็นว่านางไม่ได้ส่งคนมาจัดการเฉินเจิ่นจึงรู้ว่าเพียวเซียงไม่ได้เผยเรื่องที่ตนจะแต่งงานออกไปจริงๆ เสี่ยวซุ่นจื่อลอบติดตามมือสังหารของเหลียงหวั่นไป เห็นเขากลับไปรายงานเหลียงหวั่นด้วยตาตนเอง ตอนนี้เบาะแสทุกอย่างถูกกำจัดทิ้งหมดแล้ว หญิงรับใช้ของเพียวเซียงก็เดินทางไปไกลแล้ว ซึ่งนี่นับเป็นวิธีจัดการที่ดีสำหรับเหลียงหวั่นเช่นกัน เพราะหากนางฆ่าคนปิดปาก ย่อมดึงดูดความสงสัยผู้อื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อข้าฟังเสี่ยวซุ่นจื่อพูดถึงตรงนี้ก็สูดหายใจลึก เหลียงหวั่น เจ้าสมควรตายที่สุดแล้วจริงๆ ไม่ว่าเจ้าจะมีฐานะใดอยู่เบื้องหลัง ข้าจะต้องสังหารเจ้าจนไม่มีที่ให้ฝังร่างให้ได้
วันเวลาผ่านไประยะหนึ่ง อาการป่วยของข้าก็เริ่มดีขึ้น วันหนึ่งยามค่ำคืน ข้าจุดธูปเซ่นไหว้เพียวเซียงที่สวนด้านหลัง เมื่อคิดถึงความรักของพวกเราทั้งสองยังอดเจ็บปวดไปถึงจิตวิญญาณไม่ได้ ข้าภาวนาเงียบๆ ว่า “ข้าและเจ้าล้วนเป็นรักแรกพบ ได้พบเจอ ได้รักใคร่ ผู้ใดจะรู้สวรรค์กลับไม่เป็นใจ เจ้าได้รับความทุกข์ทรมานจนตาย เป็นดังหยกงามที่แหลกลาญ ไร้เงาคนรัก ไร้กลิ่นกายหอม หากวิญญาณของเจ้ามีจริง โปรดช่วยข้าหาตัวคนร้ายที่แท้จริง ข้าจะทำให้มันตายไปพร้อมเหลียงหวั่นผู้โหดเหี้ยมนั่นเสีย เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของเจ้าที่อยู่ในปรโลก”
เมื่อภาวนาจบข้าก็หยิบกล่องไหมเหนือกระถางธูปขึ้นมา ด้านในคือปิ่นทองและกำไลที่ข้าคิดมอบให้เพียวเซียง เห็นของแล้วก็พานให้คิดถึงตัวคน ยิ่งพานให้โศกาอาดูร ในกล่องไหมยังมีแหวนหยกอยู่อีกวงหนึ่ง นั่นคือของที่ได้มาในวันที่เพียวเซียงถูกทำร้าย กล่าวว่าต้องการมอบให้ข้า ส่วนเครื่องประดับอื่นของเพียวเซียงข้ามอบให้หญิงรับใช้ของนางไปหมดแล้ว มีเพียงแหวนวงนี้ที่ข้าเก็บไว้
เดิมทีเพียวเซียงซื้อแหวนวงนี้ให้ตัวเอง ตอนนั้นนางชอบสีเขียวมรกตและความโปร่งใสของมัน เพียงแต่ใหญ่ไปเสียหน่อย นางสวมไม่ได้จึงเก็บไว้ในกล่องไหมมาตลอด ข้าสวมแหวนที่นิ้วกลาง นี่เป็นของที่คนรักของข้าเหลือทิ้งไว้ ในกล่องไหมยังมีบทกวีอยู่อีกสองแผ่น ข้าหยิบออกมา ยามอ่านถึง ‘หวังตบแต่งเคียงคู่จนแก่เฒ่า แม้ถูกทอดทิ้งไร้ปรานีก็มิเขินอาย’ ในที่สุดน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างมิอาจกลั้น