ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 33 ความโกลาหลใกล้อุบัติ (2)
จริงดังคาด ไม่นานฉีอ๋องก็ยกทัพบุกจิงเซียงอีกครั้ง ฉีอ๋องคนนี้ความอดทนต่ำยิ่ง หากเป็นยงอ๋อง เกรงว่าคงรอนานกว่านี้เสียหน่อยค่อยว่ากัน ส่วนหรงเยวียนนับว่าพอมีความสามารถอยู่บ้าง ยังรักษาสถานการณ์ของจิงเซียงให้มั่นคงอยู่ได้
เซียงหยางเร่งส่งสารมาไกลแปดร้อยลี้ ทำให้ท่านเจ้าแคว้นได้สติโดยพลัน รีบส่งจ้าวเจวี๋ยกลับไปยังเซียงหยางโดยเร็ว จ้าวเจวี๋ยไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบพาองครักษ์เดินทางทันที ออกไปนอกเมืองได้ไม่นาน จ้าวเจวี๋ยก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสะอาดสะอ้านผู้หนึ่งนั่งอยู่ในศาลาสิบลี้ บนโต๊ะหินกลางศาลามีกาสุราจัดเรียงเอาไว้หนึ่งกาและจอกเหล้าสองจอก ด้านหลังของเขามีชายวัยกลางคนหน้าตาดาษดื่นผู้หนึ่งยืนอยู่ รอบศาลามีเด็กรับใช้อายุสิบห้าสิบหกปียืนอยู่สองคนทุกช่วงระยะหนึ่ง จ้าวเจวี๋ยแย้มยิ้มเล็กน้อย กระโดดลงจากอานม้าเดินมายืนต่อหน้าบุรุษหนุ่มผู้นั้น กล่าวอย่างมากมารยาทว่า “ขอบคุณที่สุยอวิ๋นช่วยเหลือ จ้าวเจวี๋ยซาบซึ้งยิ่งนัก วันนี้ต้องให้ท่านมาส่ง รู้สึกละอายใจจริงๆ”
ข้าลุกขึ้นยืนมอบคารวะกลับไป “องค์ชายมีจิตใจสูงส่งมากคุณธรรม ลูกไม้ชั่วช้าเช่นนั้นย่อมทำร้ายองค์ชายไม่ได้แน่นอน องค์ชายไปจิงเซียงครานี้ เส้นทางเบื้องหน้ายังอีกยาวไกล ดังนั้นสุยอวิ๋นจึงมาส่งโดยเฉพาะ”
เด็กรับใช้ผู้หนึ่งเดินขึ้นมารินสุราลงจอกให้พวกเรา จากนั้นจึงถอยออกไปอย่างระวังกิริยา จ้าวเจวี๋ยเห็นเด็กรับใช้มีมือเท้าคล่องแคล่ว ทั้งยังมีรูปลักษณ์โดดเด่น จึงเกิดความสนใจใคร่รู้ กล่าวไปว่า “หลายปีมานี้สุยอวิ๋นคงมีชีวิตที่ดีกระมัง บ่าวรับใช้หลายคนนี้ เพียงเห็นก็รู้ว่าเป็นบ่าวผู้มีเอกลักษณ์โดดเด่นดังบ่าวตระกูลใหญ่ ทั้งยังมีกลิ่นอายของผู้รู้ตำรับตำราด้วย”
ข้าแย้มยิ้มบาง ยกจอกสุราขึ้นกล่าวว่า “ขอดื่มให้องค์ชายหนึ่งจอก ขออวยพรให้ท่านเดินทางไปจิงเซียงโดยสวัสดิภาพ”
จ้าวเจวี๋ยยกสุราขึ้นดื่มลงไปอึกเดียวหมด “น่าเสียดายที่สุยอวิ๋นไม่ยอมไปจิงเซียงกับข้า หากมีสุยอวิ๋นนั่งบัญชาการ จิงเซียงจะต้องปลอดภัยไร้อันตรายเป็นแน่”
ข้าหัวเราะเบาๆ “องค์ชายจะไม่ดูแคลนความสามารถของท่านหรงเกินไปหรือ”
จ้าวเจวี๋ยลุกขึ้นพูด “เอาละ หนทางยาวไกลพันลี้ สุดท้ายยังต้องลาจาก ทัพจิงเซียงอยู่ในภาวะเร่งด่วน ข้าต้องรีบเดินทาง ขออำลาเพียงเท่านี้เถิด รอให้ข้าโจมตีต้ายงจนถอยทัพไปเสียก่อน ข้ากับท่านค่อยรวมตัวร่ำสุรากันอีกครั้ง แต่หากโชคร้าย เช่นนั้นขอให้สุยอวิ๋นไปเซ่นไหว้ข้าสักครา”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ จอกสุราในมือข้าคล้ายสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย วันนี้ข้าเสี่ยงทายให้เขาครั้งหนึ่ง สองปีที่ผ่านมาวิชาดูดวงเสี่ยงทายของข้าค่อยๆ พัฒนาจนได้ดั่งใจแล้ว ทว่าเช้าวันนี้ หลังจากข้าแช่น้ำจุดธูป ก็เริ่มทำนายเสี่ยงทายให้เขา แต่กลับได้ดวงเลวร้าย แสดงความหมายถึงการสิ้นชีพก่อนวัยอันควร ตอนนี้ได้ยินคำพูดแฝงนัยอัปมงคลของจ้าวเจวี๋ยก็ยิ่งรู้สึกหนาวยะเยือกในใจ
จ้าวเจวี๋ยกระโดดขึ้นหลังม้า กำลังจะทะยานไป ข้ารีบพูดขึ้นว่า “องค์ชาย ข้ามีบ่าวรับใช้อยู่สองคน แม้จะอายุน้อยทว่ายังพอคุ้นเคยเรื่องวรยุทธ์ ให้พวกเขาไปเซียงหยางกับองค์ชายแทนสุยอวิ๋นเถิด นับเป็นการแสดงความเสียใจที่สุยอวิ๋นมิอาจร่วมทางกับองค์ชายได้ เต้าหลี ไป๋อี้ พวกเจ้าออกมาพบองค์ชายเร็ว”
จ้าวเจวี๋ยมองดูเด็กทั้งสองที่เดินก้าวออกมาอย่างนอบน้อม เผยรอยยิ้มเจื่อน “สุยอวิ๋น การเดินทางยากลำบาก อย่าทรมานเด็กเหล่านี้เลย”
ข้ากล่าวเรียบเฉย “พวกเขาเชี่ยวชาญวิชาเกาทัณฑ์และการควบม้า ไม่ถ่วงเวลาเดินทางองค์ชายเป็นแน่”
เดิมทีจ้าวเจวี๋ยคิดจะโน้มน้าวข้าอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นข้าตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอีกทั้งเวลาบีบคั้นจึงทำได้เพียงสะบัดแส้อำลา แล้วควบม้าไป
จ้าวเจวี๋ยเร่งเดินทางตลอดทาง นอกจากเปลี่ยนม้าระหว่างทางแล้ว กระทั่งกินข้าวและนอนหลับก็ยังกระทำบนหลังม้า เดิมทีเขากังวลว่าเด็กทั้งสองที่เจียงเจ๋อส่งมาอยู่ข้างกายจะทนไม่ไหว แต่ทุกครั้งที่มองไปกลับเห็นเด็กทั้งสองมีท่าทีผ่องแผ้ว ดังนั้นจ้าวเจวี๋ยจึงไม่เป็นห่วงพวกเขาอีก เบื้องหน้ายังมีเส้นทางอีกสามร้อยกว่าลี้ เปลี่ยนม้าอีกครั้งหนึ่งก็สมควรถึงเซียงหยางแล้ว
จ้าวเจวี๋ยที่อยู่บนหลังม้าบิดเอวแก้เมื่อย กล่าวว่า “เอาละ เบื้องหน้ามีโรงน้ำชาอยู่แห่งหนึ่ง พวกเราพักผ่อนที่นี่สักครู่ กินข้าวกลางวันสักมื้อ จากนั้นก็เดินทางตรงไปที่เซียงหยางเลย เป็นอย่างไร”
ทุกคนดีใจยิ่งนัก หลายวันมานี้พวกเขาตะลุยเดินทางอย่างบ้าคลั่งทำให้เหนื่อยแทบตายแล้วจริงๆ แม้ต่อไปจะยังต้องเร่งเดินทาง แต่ได้พักผ่อนครู่หนึ่งก็นับว่าดี
เต้าหลีและไป๋อี้ได้ยินคำสั่งของจ้าวเจวี๋ย เต้าหลีก็ชิงลงจากม้ารีบเดินไปยังโรงน้ำชา กำชับให้เถ้าแก่เก็บกวาดและนำชาร้อนขึ้นโต๊ะสองสามตัว แม้โรงน้ำชาแห่งนี้จะเล็กแต่ยังมีกับแกล้มเช่นถั่วลิสงคั่วเกลืออยู่ด้วย เต้าหลีจึงสั่งขึ้นโต๊ะมาด้วยเลย ใช้จนเถ้าแก่ผู้นั้นวิ่งวุ่นไปทั่ว ไม่นานก็เก็บโต๊ะเรียบร้อย
ส่วนไป๋อี้กลับไปขออ่างสำริดมาล้างให้สะอาดแล้วใส่น้ำไว้ จากนั้นจึงหยิบผ้าออกมาจากสัมภาระ เมื่อจ้าวเจวี๋ยนั่งลงก็มาปรนนิบัติเขาล้างหน้าและปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าอาภรณ์ แม้จ้าวเจวี๋ยจะเป็นราชนิกุล แต่หลายปีมานี้ได้แต่ขลุกอยู่กับศึกสงคราม จะคาดหวังการเสพสุขอย่างขุนนางตระกูลใหญ่ก็คงไม่ทันแล้ว เมื่อเห็นเด็กรับใช้คู่นี้มากสามารถทั้งยังรู้ความก็อดยินดีไม่ได้ จนกระทั่งเขานั่งลงดื่มชาร้อนแก้วหนึ่ง กลืนถั่วลิสงคั่วเกลือและเสบียงแห้งลงไปแล้ว ก็พบว่าเต้าหลีและไป๋อี้กินเสร็จนานแล้ว ยามนี้กำลังขอซื้อเสบียงสำหรับม้ากับเถ้าแก่ผู้นั้น
จ้าวเจวี๋ยอดพูดไม่ได้ว่า “นับเป็นเด็กที่มีความสามารถจริงๆ เจียงจ้วงหยวนร้ายกาจยอดเยี่ยมยิ่ง สามารถฝึกฝนบ่าวรับใช้ได้ถึงขั้นนี้เชียว”
องครักษ์คนหนึ่งของเขาพูดยิ้มๆ “หากใต้เท้าชอบ กลับไปก็พูดกับใต้เท้าเจียงสักคำ ขอพวกเขาไว้ปรนนิบัติรับใช้ก็ได้แล้วขอรับ”
แม้จ้าวเจวี๋ยจะรู้ดีว่าสำหรับตระกูลใหญ่ ไม่ใช่แค่เด็กรับใช้เพียงสองคนเท่านั้น แม้แต่นางบำเรอหรือสาวงามก็ยังนำมาเป็นของขวัญของกำนัลอยู่บ่อยๆ แต่ยังคงส่ายหน้า “สุภาพบุรุษไม่แย่งชิงของรักผู้อื่น เด็กสองคนนี้คงมิได้ฝึกฝนออกมาโดยง่ายแน่นอน”
ทุกคนสนทนากันครู่หนึ่งจ้าวเจวี๋ยก็สั่งให้เดินทางต่อ ตอนนี้เอง จู่ๆ องครักษ์ผู้หนึ่งก็แผดเสียงร้องออกมา ทุกคนมองไป เห็นธนูเงินดอกหนึ่งแทงทะลุแขนเขา
ทุกคนต่างก็เป็นคนในตระกูลทหารจึงรีบหาที่กำบังอย่างฉับไว ไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะโหดเหี้ยมดังขึ้น บุรุษในอาภรณ์สีขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าอย่างเนิบช้า พบว่าคนผู้นี้มีหน้าตาหล่อเหลายิ่ง ร่างกายอันสง่ากำยำหยัดตรงอยู่ภายใต้ชุดนักรบสีขาว ที่บ่ามีคันศรสีเงินที่โค้งจนแทบเป็นวงสมบูรณ์สะพายอยู่ มีกระบอกเก็บลูกธนูสีเดียวกันแขวนอยู่ที่เอว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องแต่งกายหรือธนูโค้งล้วนวิจิตรประณีต เห็นได้ชัดว่าเจ้านายของพวกมันเป็นคนพิถีพิถันยิ่ง จ้าวเจวี๋ยรู้สึกหนาวยะเยือกในใจ “ที่แท้ผู้มมาเยือนคือศรเงินเจ้าสำราญตวนมู่ชิวนี่เอง”
บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะ “เป็นผู้น้อยเอง ได้ยินว่าเต๋อชินอ๋องจะเสด็จมาที่นี่จึงมาต้อนรับโดยเฉพาะ หากองค์ชายมิรังเกียจ เชิญเสด็จมาที่กระท่อมซอมซ่อของผู้น้อยหน่อยเถิด”
จ้าวเจวี๋ยเห็นคำพูดละมุนละม่อมทว่าความหมายที่แฝงอยู่กลับเย่อหยิ่งจองหองจึงกล่าวเสียงเย็นชา “ข้ามีกิจทหารเร่งรัดต้องจัดการ ไม่กล้ายืดเยื้อ เจ้าลอบยิงธนูโจมตีมา เชื่อว่าคงมาลอบสังหารข้ากระมัง”
ตวนมู่ชิวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยลอบโจมตีผู้ใด มิเช่นนั้นศรเมื่อครู่คงเอาชีวิตขององค์ชายไปแล้ว ส่วนเรื่องทหารผู้นั้นเป็นเพียงการทักทายของข้า เชื่อว่าองค์ชายคงไม่ตำหนิ”
จ้าวเจวี๋ยเอ่ยเสียงเย็น “ข้าปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาราวกับพี่น้องของตน เจ้าทำเรื่องชั่วช้าต่ำตมเช่นนี้ มิน่าเล่าจึงไม่มีผลงานใดในทัพต้ายง ใต้หล้านี้ผู้ใดไม่รู้จักศรทองจ่างซุนและศรเงินตวนมู่บ้าง แม่ทัพจ่างซุนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของยงอ๋อง นำทัพออกศึกทำสงคราม เป็นแม่ทัพไร้พ่าย ส่วนเจ้า ศรเงินตวนมู่ รู้จักเพียงต่อยตีสำมะเลเทเมาอยู่ในยุทธภพ”
เชื่อว่าคำพูดนี้ของจ้าวเจวี๋ยคงแทงใจตวนมู่ชิวกระมัง ดวงตาของเขาจึงปรากฏไอสังหารเย็นเยียบเพียงนั้น กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เดิมข้ามาที่นี่ก็เพื่อสกัดทางหนีขององค์ชายเท่านั้น ตอนนี้เมื่อดูแล้ว ข้าไม่ลงมือคงไม่ได้ ไม่ทราบว่าองค์ชายจะหนีจากศรเงินของข้าได้กี่ดอก”
เสียงหนึ่งดังแว่วตามมา “ข้ากล้าพนันเลยว่าเจ้ายิงเขาไม่ตายหรอก” สิ้นเสียง สตรีงามพิลาสอาภรณ์แดงนางหนึ่งก็เดินออกมา นางมีหน้าตางดงามชดช้อย ทว่ากลับมีคิ้วยาว ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายอัปมงคล เป็นดั่งรากษส[1] สาว จ้าวเจวี๋ยหัวเราะเสียงขืน “ที่แท้เจ้าก็มาด้วย มิแปลกใจเลย เดิมพวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ตัวติดกันมิอาจแยก”
สตรีนางนั้นกล่าวเสียงเย็นชา “เต๋อชินอ๋องก็รู้จักข้าด้วยหรือ ช่างเป็นเกียรติเสียจริง”
[1] รากษส หมายถึง ปีศาจหรืออสูรชั้นต่ำ