ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 34 วิญญาณภักดีปลิดปลิว (1)
เต๋อชินอ๋องถูกลอบสังหารระหว่างทาง เมื่อไปถึงเซียงหยางกลับต้องสู้ศึกด้วยกายที่เจ็บหนัก ฉีอ๋องเห็นเต๋อชินอ๋องกลับมาพลันท้อแท้ไร้ขวัญกำลังใจ รีบถอยทัพไปโดยพลัน ผ่านไปไม่ถึงสิบวัน เจ้าแคว้นออกราชโองการตำหนิชินอ๋องว่าไร้ความสามารถสู้ศึก ปล่อยทัพต้ายงหนีไปได้ ชินอ๋องร่ำไห้ ช้ำใจจนกระอักเลือด สิ้นใจกลางราตรี สามทัพร่วมไว้ทุกข์ เซ่นสังเวยแด่อ๋องผู้ทรงคุณธรรม
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน บันทึกหยกคุณธรรม
จ้าวเจวี๋ยกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ศรทองจ่างซุน ขนงโก่งแพรเขียว ศรเงินตวนมู่ รากษสอาภรณ์แดง เห็นศรเงินอยู่ที่นี่ย่อมรู้ว่ารากษสเพลิงเฉียวเยี่ยนเอ๋อร์ต้องอยู่ที่นี่ด้วย คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะลอบเข้ามาที่หนานฉู่แล้ว”
ตวนมู่ชิวลูบคันศรเบาๆ พลางกล่าว “ใต้หล้านี้มีผู้ใดไม่ทราบบ้าง ต้ายงรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเป็นเรื่องที่จะช้าจะเร็วก็ต้องเกิดขึ้น ต่อให้เป็นผู้เลิศวรยุทธ์ของหนานฉู่ก็มิแคล้วต้องเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อต้ายง”
จ้าวเจวี๋ยตวาดอย่างขุ่นเคือง “หุบปาก”
เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่เขาทุกข์ใจที่สุด ต้ายงเชิดชูทหารแกร่ง ทั้งยังไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพื้นเพ ดังนั้นคนในยุทธภพของหนานฉู่หลายคนจึงไปเข้าร่วมกับต้ายง หากต้องการเป็นขุนนางระดับสูงในหนานฉู่จะต้องมีปูมหลังสะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้นกองกำลังทหารในหนานฉู่จึงไม่อาจสู้ต้ายงได้
เฉียวเยี่ยนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “โอหังยิ่งนัก ถึงกับกล้าตวาดพวกข้าเชียวหรือ ศิษย์พี่ตวนมู่ ระวังหลังให้ข้าด้วย” กล่าวจบก็ชักกระบี่ออกมาจากด้านหลัง โถมทะยานเข้ามาดุจเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ องครักษ์ของจ้าวเจวี๋ยรีบชักดาบเข้าสู้
องครักษ์เหล่านี้เชี่ยวชาญในการตั้งกระบวนรับมือยอดฝีมือ แต่เฉียวเยี่ยนเอ๋อร์นับเป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง ดังนั้นแม้จะใช้หนึ่งต้านหกก็ไม่มีสีหน้าหวั่นเกรง ยิ่งไปกว่านั้นเฉียวเยี่ยนเอ๋อร์ยังใช้กระบวนท่าดุดันก้าวร้าว มิด้อยไปกว่าความแกร่งกร้าวขององครักษ์เหล่านี้เลย
สายตาของตวนมู่ชิวจับจ้องอยู่กับการต่อสู้ ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็สะพายคันศรแล้วยิงออกไป เงาศรสีเงินพุ่งออกไปราวภูตพราย แทงทะลุลำคอองครักษ์นายหนึ่งทันที
จ้าวเจวี๋ยขมวดคิ้ว สองคนนี้ คนหนึ่งเชี่ยวชาญการคร่าสังหารระยะใกล้ อีกคนถนัดการโจมตีระยะไกล เมื่อร่วมมือกันกลับกลายเป็นไร้จุดอ่อน ตนนำองครักษ์มาด้วยเพียงแปดนาย เกรงว่าจะถูกพวกเขาฆ่าสังหารไปทีละคนเสียมากกว่า
เขามองไปยังองครักษ์ด้านหลัง กล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้าไปรับมือตวนมู่ชิวกับข้า”
องครักษ์คนนั้นพยักหน้ารับ ทั้งสองวิ่งทะยานเข้าใส่ตวนมู่ชิวพร้อมกัน ตวนมู่ชิวเห็นแต่ไกลแล้วจึงรีบตั้งศรเงินยิงกระบวนเดียวสองดอก สังหารองครักษ์ไปอีกสองนาย ตอนนี้จ้าวเจวี๋ยมาถึงด้านหน้าเขาแล้ว ใช้กระบี่ยาวเสือกแทงเข้าไป ตวนมู่ชิวก็ออกเคล็ดวิชาตัวเบา หลบเลี่ยงการโจมตีของจ้าวเจวี๋ยไปได้ วิชาตัวเบาของเขาอัศจรรย์ยิ่ง จ้าวเจวี๋ยและองครักษ์ผู้นั้นมิอาจทำให้เขาบาดเจ็บได้เลย
ทว่าตวนมู่ชิวก็มิอาจตั้งคันศรยิงออกไปได้เช่นกัน ทำได้เพียงใช้คันศรเงินสกัดการโจมตีของอีกฝ่ายเท่านั้น คันศรเงินของเขาสร้างขึ้นด้วยความพิเศษบางอย่าง กระทั่งกระบี่หยกของจ้าวเจวี๋ยยังมิอาจสร้างความเสียหายให้มันได้ ทุกคนต่อสู้โรมรันกัน ความจริงวรยุทธ์ของตวนมู่ชิวมิอาจเทียบจ้าวเจวี๋ย คิดผละตัวหนีไปหลายครั้ง แต่กลับถูกจ้าวเจวี๋ยสกัดไว้ได้ร่ำไป ทว่าแม้จ้าวเจวี๋ยคิดสังหารเขาก็มิอาจกระทำได้เช่นกัน
ทางฝั่งเฉียวเยี่ยนเอ๋อร์กลับได้เปรียบกว่า หากรอจนกระทั่งนางสังหารองครักษ์จนหมดแล้วมาสนับสนุนตวนมู่ชิว เช่นนั้นจ้าวเจวี๋ยย่อมไม่มีทางหนีรอดไปอย่างมีชีวิตอีก ขณะที่จ้าวเจวี๋ยกำลังร้อนใจดุจไฟแผดเผานั้นเอง หางตาของเขาก็เห็นเงาร่างสองสาย กลับเป็นเต้าหลีและไป๋อี้ ทั้งสองคนหนึ่งถือกระบี่สั้นอีกคนถือหน้าไม้ขนาดเล็ก กำลังทะยานเข้าใกล้เฉียวเยี่ยนเอ๋อร์
ในขณะที่จ้าวเจวี๋ยกำลังให้ความสนใจทั้งสอง จู่ๆ หน้าไม้ในมือของเต้าหลีก็ยิงลูกศรออกไปห้าดอกต่อเนื่องกลายเป็นดังสายธาราวาววับ เฉียวเยี่ยนเอ๋อร์ปฏิกิริยาว่องไวดุจภูตพราย พยายามหลบเลี่ยงเต็มที่ ในตอนนี้เอง กระบี่สั้นในมือไป๋อี้ก็เสือกแทงเข้าไปรวดเร็วรุนแรงดุจอสนีบาต แทงไปยังร่างบอบบางชดช้อยของเฉียวเยี่ยนเอ๋อร์
ดวงตาของเฉียวเยี่ยนเอ๋อร์ฉายแววโชติช่วง วาดกระบี่ในมือเป็นกำแพงสกัดกั้นรวดเร็วดุจทวยเทพ ทั้งสองเข้าสู้ประชิดตัว ไป๋อี้ชิงถอยหลังไปก่อน มือทั้งสองเต็มไปด้วยโลหิต ส่วนเฉียวเยี่ยนเอ๋อร์ก็ถูกแทงไปที่ท้อง ใบหน้างามดุจหยกของนางขมวดมุ่น รีบสกัดจุดห้ามเลือด ปากก็ตวาดลั่นว่า “ศิษย์พี่”
จากนั้นจึงแทงกระบี่ไปที่จ้าวเจวี๋ย จ้าวเจวี๋ยรีบพลิกตัวหลบอย่างว่องไว ตวนมู่ชิวถือโอกาสนี้พุ่งตัวออกไป ในมือปรากฏลูกธนูห้าดอกใช้ยิงออกไปเพื่อสกัดกั้นองครักษ์ที่หมายสังหารเฉียวเยี่ยนเอ๋อร์ จากนั้นจึงหันไปยิงบีบจ้าวเจวี๋ยดอกหนึ่งแล้วจึงทะยานตัวเข้ามาเคียงข้างเฉียวเยี่ยนเอ๋อร์ โอบศิษย์น้องของตนไว้แล้วเหาะทะยานออกไป
จ้าวเจวี๋ยผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง มองไปยังเต้าหลีและไป๋อี้ พูดยิ้มๆ ว่า “โชคดีที่มีพวกเจ้าอยู่”
ตอนนี้เอง จู่ๆ เขากลับเห็นทุกคนมีสีหน้าสั่นสะท้านและสิ้นหวัง จ้าวเจวี๋ยตัดสินใจฉับไว รีบพุ่งทะยานตัวไปเบื้องหน้า แต่สายไปเสียแล้ว
พบว่ามีใบมีดคมกริบแทงทะลุเกราะอ่อนเข้ามาที่ท้องของเขา ดีที่จ้าวเจวี๋ยเบี่ยงตัวหลบทันเวลาจึงทุเลาลงบ้าง จ้าวเจวี๋ยเห็นองครักษ์เหล่านั้นเหาะทะทะยานเข้ามา ทว่าผู้ที่เร็วที่สุดกลับเป็นเต้าหลีและไป๋อี้
ไป๋อี้ทะยานผ่านร่างตนไป ไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลัง ส่วนเต้าหลีเข้ามาพยุงตน หยิบขี้ผึ้งออกมาจากสาบเสื้อ จากนั้นจึงบี้ขี้ผึ้งให้แหลกและนำยาที่ซ่อนอยู่ด้านในมายัดใส่ปากตน จ้าวเจวี๋ยรู้สึกว่าความเจ็บปวดเมื่อครู่ทวีขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งต้องแผดเสียงร้องแล้วหมดสติไป
เมื่อจ้าวเจวี๋ยได้สติก็พบว่าตนนอนอยู่บนโต๊ะในโรงน้ำชา เต้าหลี ไป๋อี้และองครักษ์คนอื่นๆ ล้วนมองมาที่ตนด้วยความกังวลที่อัดแน่น องครักษ์ที่ไปรับมือตวนมู่ชิวกับตนนอนทอดร่างเป็นศพอยู่ไม่ไกล เขายิ้มอย่างสังเวชใจ “คิดไม่ถึงว่าข้างกายข้าจะมีสายต้ายงอยู่ด้วย เขาติดตามเข้ามาปีกว่าแล้วกระมัง”
เต้าหลีเดินเข้ามากล่าวว่า “องค์ชาย กระหม่อมพันแผลห้ามเลือดให้ท่านชั่วคราวแล้ว ทั้งยังถวายโอสถให้พระองค์เสวยแล้ว ภายในหนึ่งเดือน ขอเพียงองค์ชายสงบใจให้เยือกเย็น ย่อมไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่องค์ชายบาดเจ็บสาหัส หากกลับไปเจี้ยนเย่ได้ ก็ให้คุณชายของกระหม่อมตรวจรักษาด้วยตนเองเถิด เชื่อว่าจะหายเป็นปกติได้ภายในครึ่งปีแน่”
จ้าวเจวี๋ยคิดครู่หนึ่ง “พวกเขาลอบสังหารกลางทาง เชื่อว่าไม่ยินดีปล่อยข้ากลับเซียงหยางกระมัง หากข้ากลับไปไม่ได้ เกรงว่าทางเซียงหยางคงเป็นอันตราย เช่นนั้นไปเซียงหยางเถิด”
องครักษ์นายหนึ่งพูดอย่างเจ็บใจ “องค์ชายบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้จะเข้าสู้ศึกได้อย่างไรกลับ ไปรักษาตัวที่เจี้ยนเย่เถิด”
ทว่าจ้าวเจวี๋ยกลับกล่าวอย่างไม่แยแส “ไม่จำเป็นต้องพูดจามากความ ข้าจะเสียดายชีวิตจนละเลยบ้านเมืองไปได้อย่างไร รีบออกเดินทาง มุ่งหน้าสู่เซียงหยาง”
ทุกคนทำได้เพียงฟังคำสั่ง เต้าหลีและไป๋อี้สบตากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความจนใจและเลื่อมใส ทุกคนยังคิดเกลี้ยกล่อม แต่จ้าวเจวี๋ยกลับไม่ฟัง เต้าหลีจึงทำได้เพียงพันแผลให้จ้าวเจวี๋ยใหม่ให้แน่นหนา
เดิมทุกคนไม่กล้าสะบัดบังเหียนเร่งให้ม้าทะยานว่องไวด้วยกลัวว่าจ้าวเจวี๋ยจะเหนื่อยล้า แต่จ้าวเจวี๋ยกลับเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเซียงหยางมากกว่า ถึงกับรีบเร่งเดินทางโดยไม่สนใจบาดแผล ทุกคนสิ้นไร้หนทาง ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่กลับค่ายทหารคงมิแคล้วถูกลอบสังหารอีกเป็นแน่ จึงทำได้เพียงเร่งความเร็วยิ่งขึ้น
จนกระทั่งจ้าวเจวี๋ยเข้ามายังเซียงหยางก็เป็นยามพลบค่ำของวันต่อมาแล้ว พวกเขาใช้ประโยชน์จากความมืดลอบพบกับคนของหรงเยวียน ดังนั้นจ้าวเจวี๋ยจึงเข้าเซียงหยางไปได้อย่างราบรื่น
เต้าหลีและไป๋อี้หารือกัน เต้าหลียังคงรั้งอยู่เพื่อดูแลอาการบาดเจ็บของจ้าวเจวี๋ย สิ่งที่เขาเรียนจากเจียงเจ๋อก็คือการแพทย์ แม้จะไม่ลึกซึ้งมากพอ ทว่ายังเลิศล้ำกว่าหมอทหารในเซียงหยาง ส่วนไป๋อี้เดินทางกลับไปรายงานเจียงเจ๋อที่เจี้ยนเย่
เมื่อข้าได้ทราบข่าวจากปากไป๋อี้ว่าจ้าวเจวี๋ยได้รับบาดเจ็บก็อดถอนใจไม่ได้ ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีตั้งแต่ก่อนจ้าวเจวี๋ยออกเดินทางแล้ว ตอนนี้จ้าวเจวี๋ยต้องออกทำศึกด้วยร่างกายที่บาดเจ็บ หรือลางสังหรณ์ของข้าจะเป็นจริง ข้าคิดๆ ดูแล้ว แม้จ้าวเจวี๋ยจะระแวงข้าอยู่บ้าง แต่สุดท้ายยังคงเป็นนายที่ดี ดังนั้นหลังข้าลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจไปเซียงหยางสักครา
เพื่อให้สมบูรณ์ครอบคลุม ข้าจึงพาเฉินเจิ่นและพวกชื่อจี้อีกเจ็ดคนติดตามไปด้วย พวกเรารวมตัวกันนอกเมืองแล้วรีบรุดเดินทางไปยังเซียงหยางทันที เนื่องจากทักษะการขี่ม้าของข้าไม่ดีจึงได้แต่นั่งรถม้าไปแทน แม้จะโคลงเคลงไปบ้าง แต่จะอย่างไรก็ยังสบายกว่าขี่ม้า
ข้าได้รับข่าวกรองจากค่ายลับมาตลอดทาง ยามนี้ฉีอ๋องหลี่เสี่ยนเคลื่อนทัพบุกโจมตีครั้งใหญ่ ทว่ามีจ้าวเจวี๋ยนั่งบัญชาการด้วยตนเอง กองทัพต้ายงจึงต้องล่าถอยโดยมิอาจคว้าชัย แม้ไม่อาจเข้าใกล้สนามรบ แต่ข้ายังคงรู้สถานการณ์คร่าวๆ หลายวันมานี้ทัพต้ายงเสียทหารไปสี่หมื่นนายจากศึกเซียงหยาง ข้าคิดว่านี่คงถึงขีดจำกัดของฉีอ๋องแล้วกระมัง
ยามข้าอยู่ห่างจากเซียงหยางอีกราวสองร้อยกว่าลี้ก็ได้ข่าวว่าต้ายงถอยทัพแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจากรายงานของค่ายลับ กองทัพต้ายงน่าจะถอยทัพออกจากดินแดนหนานฉู่และอาจเจอกับข้า เช่นนั้นกล่าวได้ว่าเพียงข้าเงยหน้าก็เจอทัพต้ายงได้เลยทีเดียว เพื่อเลี่ยงพวกเขาข้าจึงออกคำสั่งให้รออยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งชั่วคราว เท่าที่ข้าทราบ ที่ผ่านมาทัพต้ายงไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ระหว่างทาง คงไม่ปล้นสะดมหมู่บ้านที่ข้าอยู่กระมัง
บ่ายวันนั้นทัพต้ายงเคลื่อนตัวผ่านหมู่บ้านจริงๆ ก่อนหน้านั้นด่านหน้าของทัพต้ายงล่วงหน้ามายังหมู่บ้านก่อนแล้ว ทั้งยังออกคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุกครัวเรือนออกจากบ้าน ข้าเปลี่ยนไปสวมชุดแพรสีเขียว พวกชื่อจี้ก็เปลี่ยนไปสวมอาภรณ์เช่นชาวบ้านธรรมดา ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจใคร ความจริงพวกเขาไม่ได้คิดอยู่ที่หมู่บ้านเช่นกัน จึงทำเพียงควบคุมเส้นทางในหมู่บ้านเอาไว้
ทว่าจู่ๆ กลับได้ยินเสียงสับสนอลหม่านดังจากด้านนอก จากนั้นก็มีคนตะโกนผ่านประตูมาว่า “คนข้างในออกมาเสีย นี่คือการตรวจตราของกองทัพ”
เฉินเจิ่นเดินมาอยู่ข้างกายข้างเงียบๆ ใช้สายตาสอบถามมองมาที่ข้า ข้าคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าเล็กน้อย
เฉินเจิ่นแสดงท่าทีกระสับกระส่าย เดินไปเปิดประตู กล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนว่า “นายท่านไว้ชีวิตด้วย นายท่านไว้ชีวิตด้วย”
ผู้ที่มาทุบประตูคือทหารสวมเกราะดำคนหนึ่ง ดูจากการแต่งกายและการพกดาบแล้วคงมิใช่ทหารธรรมดา เขามองมาในบ้านครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องตกใจ พวกเราขอใช้ห้องหน่อย พวกเจ้าไปอยู่ที่ห้องปีกเสีย ห้ามเดินเพ่นพ่าน ห้ามส่งเสียงดัง”
ข้าลุกขึ้นยืน เดินนำชื่อจี้ออกไปด้านนอก ทว่าทหารคนนั้นกลับเรียกว่าเอาไว้ “เจ้าชื่ออะไร มีตำแหน่งอันใด”
ข้าตอบอย่างสุขุมสงบนิ่ง “ผู้น้อยเจียงสุยอวิ๋น เป็นเพียงบัณฑิตจนๆ ผู้หนึ่ง ไม่มีตำแหน่งลาภยศ นายท่านมีสิ่งใดจะชี้แนะหรือขอรับ”
ดวงตาของทหารผู้นั้นฉายแววระแวงสงสัย ไม่ทันไรก็พลันตื่นตัวขึ้นมา ตวาดว่า “ทหาร จับพวกเขาเอาไว้ พวกเขาเป็นสาย” หลังสิ้นเสียงของเขา ทหารกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา ถือดาบหอกล้อมพวกเราเอาไว้ เฉินเจิ่นถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ขวางข้าไว้ด้านหลังแต่มิได้ลงมือ เขารู้ว่าตอนนี้ห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด
ข้าถามเขาด้วยสีหน้าฉงน “เหตุใดนายท่านจึงกล่าวว่าข้าเป็นสายเล่า”
ในดวงตาของทหารผู้นั้นปรากฏแววเย็นยะเยือกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้าว่าเจ้าไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตากระมัง ดูจากกิริยาการเคลื่อนไหวของเจ้าแล้ว เจ้าจะต้องเป็นคนที่ถูกชุบเลี้ยงอย่างสุขสบายมานานปีเป็นแน่ ทั้งยังมีบุคลิกเหนือผู้อื่นเช่นนี้ หากเจ้าเป็นสาย เหตุใดจึงกล่าวว่าตนไม่มีตำแหน่งอันใดเล่า”
ข้าคิดไม่ถึงว่าทหารผู้นี้จะชาญฉลาดมากไหวพริบปานนั้นจึงอดมองสำรวจอีกฝ่ายไม่ได้ ขณะที่ข้ากำลังคิดว่าจะรับมือสถานการณ์เบื้องหน้าเช่นไร เสียงฝีเท้าม้าก็ทะยานเข้ามา คนบนหลังม้าตะโกนว่า “ยังเตรียมห้องไม่เสร็จอีกหรือ องค์ชายต้องการสถานที่รักษาตัวเร่งด่วน”