ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 35 วิญญาณภักดีปลิดปลิว (2)
นายทหารผู้นี้รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าเจอครอบครัวน่าสงสัยขอรับ…”
คำพูดยังไม่ทันจบ แม่ทัพผู้นั้นก็ปรายตามองมาที่ข้า เขาชะงักไปแวบหนึ่งแล้วหัวเราะออกมา “ข้าก็คิดว่าเป็นผู้ใด ที่แท้ก็คือใต้เท้าเจียง เจียงฮั่นหลินนี่เอง คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้พบกันที่นี่”
ตั้งแต่แม่ทัพผู้นั้นมาถึง ข้าก็ได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน “ที่แท้เป็นองครักษ์หวงผู้ติดตามข้างกายฉีอ๋องนี่เอง คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบกันเช่นนี้”
แม่ทัพผู้นั้นเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ในอดีตองค์ชายเป็นทูตไปที่หนานฉู่ ใต้เท้าได้รับราชโองการให้มาคอยติดตามรับใช้ ท่านดูแลครบถ้วนทั้งยังมากมารยาท ผู้แซ่หวงให้รู้สึกซึ้งใจนัก วันนี้สองแคว้นรบรา ใต้เท้าเป็นขุนนางของหนานฉู่ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่หมู่บ้านห่างไกลเช่นนี้เล่า”
ข้าใจสั่น จำได้ว่าเมื่อครู่เขาบอกว่าฉีอ๋องต้องการสถานที่รักษาตัว จึงตอบไปว่า “ขอกล่าวตามจริงโดยไม่ปิดบัง สหายเก่าของผู้น้อยคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส ใช้ยารักษามิได้ผล ผู้น้อยพอรู้วิชาแพทย์จึงจะเดินทางไปรักษาเขา”
แม่ทัพหวงเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจดังคาด กล่าวว่า “ที่แท้ใต้เท้าเจียงก็เชี่ยวชาญการแพทย์ ตอนนี้ฉีอ๋องถูกธนูจนบาดเจ็บ หมอทหารไม่มีวิธีรักษา จึงทำได้เพียงเร่งรุดกลับไปยังต้ายง ตอนนี้อาการทวีความรุนแรงระหว่างเดินทาง ขอใต้เท้าเจียงช่วยตรวจดูให้องค์ชายหน่อยเถิด”
ข้ากล่าวอย่างยินดี “ผู้รู้วิชาแพทย์ย่อมไม่มีใจคิดแบ่งแยก ผู้น้อยย่อมไม่กล้าปฏิเสธ”
แม่ทัพหวงรีบออกคำสั่งให้คนไปเชิญฉีอ๋องมาที่นี่โดยพลัน ทหารผู้นั้นมีสีหน้าหวาดระแวง ข้าได้ยินเขากระซิบกับแม่ทัพหวงว่า “เขาเป็นขุนนางหนานฉู่ จะรักษาองค์ชายด้วยใจจริงหรือ”
แม่ทัพหวงก็กระซิบตอบไปว่า “ตอนแรกยามข้าอยู่เจี้ยนเย่เคยคบค้าสมาคมกับใต้เท้าเจียงท่านนี้แล้ว เขาเป็นคนรักอิสระไม่ยึดติดสิ่งใด ไม่คร่ำครึอยู่กับศักดิ์ฐานะ องค์ชายกล่าวว่าคนผู้นี้มีจิตใจดีงาม มิอาจดูแคลนเป็นอันขาด ต้องดูแลเขาให้ดี ข้าคิดว่าเขาคงไม่ลืมเลือนความสัมพันธ์เก่าก่อน อีกทั้งตอนนี้เขาอยู่ในมือทหารของเรา จะอย่างไรก็ไม่กล้าเล่นลูกไม้อันใดแน่”
ผ่านไปไม่นานฉีอ๋องก็มาถึง แม่ทัพหวงและคนอื่นๆ หามฉีอ๋องเข้าไปในห้อง ข้าเห็นสีหน้าของเขาแดงก่ำดุจเปลวเพลิง หมดสติไม่รู้สึกตัว หลังเข้าไปจับชีพจรแล้วข้าก็เงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “องค์ชายถูกศรพิษของหนานฉู่ นั่นเป็นพิษงูที่ได้มาจากหนานหมาน หากไม่ใช่เพราะองค์ชายมีกำลังภายในล้ำเลิศลึกล้ำ อีกทั้งมีพระวรกายแข็งแรงและเสวยยาถอนพิษได้ทันเวลาคงทนไม่ไหวนานแล้ว ตอนนี้พิษทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาภายในสามวันก็ไม่ต้องรักษาแล้ว”
ทุกคนตื่นตะลึงยิ่ง แม่ทัพวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ามีวิธีรักษาอย่างไร”
ข้าใช้สายตาสอบถามมองกลับไป แม่ทัพผู้นั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าฝานเหวินเฉิง เป็นแม่ทัพและผู้อารักขาใต้บัญชาฉีอ๋อง”
ข้าแย้มยิ้มพราย “ท่านแม่ทัพไม่จำเป็นต้องร้อนใจ ผู้น้อยมาได้ทันเวลาพอดี เพียงข้าฝังเข็มให้องค์ชายและเขียนเทียบยาให้สักเทียบ จะต้องรักษาชีวิตฉีอ๋องไว้ได้เป็นแน่ เพียงแต่หลังจากนี้ฉีอ๋องจะต้องรักษาตัวครึ่งปี”
แม่ทัพฝานและแม่ทัพหวงมีสีหน้ายินดี จากนั้นข้าจึงฝังเข็มให้ฉีอ๋องภายใต้การจับจ้องของพวกเขาโดยให้ชื่อจี้เป็นผู้ช่วย ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามก็เสร็จสิ้นขั้นตอนฝังเข็มอันสลับซับซ้อน จากนั้นก็เขียนเทียบยาแก้พิษให้พวกเขา เนื่องจากกองทัพของพวกเขามีสมุนไพรครบครันและเทียบยาของข้าก็ไม่ต้องการสมุนไพรวิเศษวิโสอันใด ไม่นานฉีอ๋องก็ได้กินยาแก้พิษ สีหน้ากลายเป็นปกติ นอนหลับด้วยอาการสงบยิ่งขึ้น
แม่ทัพหวงเข้ามาขอบคุณข้ายกใหญ่ ทั้งยังส่งข้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องปีกด้วยตัวเอง เฉินเจิ่นเห็นพวกเขาออกไปแล้วจึงถามเสียงเบา “ใต้เท้า พรุ่งนี้พวกเขาจะปล่อยพวกเราไปหรือ”
ข้ากล่าวเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าฉีอ๋องเป็นคนฉลาด หากเขาไม่ปล่อยข้า ข้าย่อมมีวิธีเอาชีวิตเขา”
เช้าวันต่อมาฉีอ๋องฟื้นสติแล้ว แม่ทัพหวงรีบเรียกข้าไปจับชีพจรให้ฉีอ๋อง หลี่เสี่ยนนอนอยู่บนเตียง มองข้าด้วยรอยยิ้มบางเบา กระทั่งข้าประกาศว่าพิษในร่างกายของเขาไม่เป็นอันตรายแล้ว ทว่าต้องกินยาตามเทียบของข้าต่อไปจึงจะล้างพิษได้ทั้งหมด
หลี่เสี่ยนพูดยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบกันโดยบังเอิญ ลำบากใต้เท้าต้องช่วยชีวิตข้าไว้แล้ว เช่นนั้นใต้เท้าเจียงกลับไปกับข้าเสียเลยเป็นอย่างไร”
ข้าตอบอย่างเรียบเฉย “องค์ชายตรัสเช่นนี้คงไม่สมควร กระหม่อมเป็นขุนนางของหนานฉู่ จะไปพึ่งพาต้ายงได้อย่างไร หากองค์ชายไม่คิดถึงบุญคุณช่วยชีวิต เพียงสังหารกระหม่อมไปก็พอ”
หลี่เสี่ยนรีบพูด “ใต้เท้าอย่าได้โกรธเกรี้ยวไป บุญคุณช่วยชีวิตนี้ ข้าจะกล้าลืมที่ไหนกัน หากใต้เท้าไม่เต็มใจ ข้าย่อมไม่บีบบังคับ”
ข้ารู้สึกลิงโลดในใจ ข้ารู้แล้วว่าหลี่เสี่ยนริษยายงอ๋อง ยงอ๋องเป็นคนให้ความสำคัญกับคุณธรรมน้ำมิตร หากอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้คงไม่ทำให้ข้าลำบากใจเป็นแน่ เช่นนั้นขอเพียงข้าพูดออกไปดังที่กล่าว ฉีอ๋องย่อมไม่ทำเรื่องอย่างการทรยศลืมบุญคุณเป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงรักษาฉีอ๋องอย่างไม่มีเงื่อนไข
หลี่เสี่ยนเห็นข้าลดโทสะลงแล้วจึงถามอีกครั้ง “ข้าได้ยินว่าใต้เท้าเจียงจะไปรักษาสหายคนหนึ่ง ไม่ทราบว่าข้ารู้จักหรือไม่”
ข้าเห็นความระแวงในดวงตาฉีอ๋องจึงตอบไปเรียบๆ “คนผู้นี้องค์ชายย่อมรู้จัก ก็คือเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยแห่งหนานฉู่”
หลี่เสี่ยนบันดาลโทสะครั้งใหญ่ “ที่แท้เจ้าก็ไปรักษาเขานี่เอง มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหนกัน เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าไปรักษาเขาหรือ”
ข้ากล่าวอย่างเย็นชืด “ต้ายงและหนานฉู่ทำสงครามกัน ทว่าเต๋อชินอ๋องกลับถูกลอบสังหารระหว่างทาง ทั้งยังเสด็จไปทำศึกด้วยกายที่บาดเจ็บ ข้ารักษาองค์ชายได้โดยไม่กังวลว่าในอนาคตองค์ชายจะมารุกรานอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าองค์ชายกลับหวาดกลัวเต๋อชินอ๋องปานนี้ ถึงกับต้องการให้เขาตกตายไปในมือนักฆ่า”
หลี่เสี่ยนกล่าวคำใดไม่ออก เนิ่นนานผ่านไปจึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “ข้าว่าต่อให้จ้าวเจวี๋ยหายดีแล้วก็มิอาจสกัดกั้นทัพม้าของต้ายงได้แน่ ช่างเถิด เจ้าไปรักษาเขาเถิด บอกเขาด้วยว่าข้าจะต้องทำให้เขาตกตายอยู่ในมือข้าให้ได้”
ข้าโค้งคำนับเล็กน้อย แสดงท่าทีรับบัญชา
สามวันต่อมา อาการบาดเจ็บของฉีอ๋องดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงปล่อยตัวข้า เมื่อถึงยามที่พวกเราจะแยกทางกัน เขาที่อยู่บนหลังม้ายังพูดอีกว่า “ใต้เท้าเจียง จะช้าจะเร็วหนานฉู่ก็ต้องล่มสลายในมือข้า เมื่อถึงตอนนั้นใต้เท้าเจียงก็มาหาข้าได้ ข้าจะต้องรักษาชีวิตครอบครัวของใต้เท้าเจียงทั้งหมดเป็นแน่”
ข้าทำเพียงเงียบงันไม่กล่าวคำใด ส่วนเขาจะคิดว่าข้าเงียบเพราะไม่พอใจหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เขาเถิด
หลังจากแยกกับฉีอ๋อง ข้าก็เร่งเดินทางตลอดคืน ในที่สุดก็มาถึงเซียงหยาง ไป๋อี้และแม่ทัพรักษาเมืองจำข้าได้ข้าจึงเข้าเมืองได้ทันที ข้ารีบทะยานไปที่พำนักของเต๋อชินอ๋อง เพิ่งมาถึงประตูก็ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้ดังมาจากด้านใน ข้าชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงพุ่งตัวเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
ทหารเฝ้าประตูส่วนใหญ่จำข้าได้ ข้าพุ่งตรงไปยังห้องบรรทมของเต๋อชินอ๋อง เห็นหรงเยวียนทรุดตัวแผดเสียงร้องไห้อยู่กับพื้น บนเตียงคือจ้าวเจวี๋ยที่หน้าขาวซีดราวกระดาษ เต้าหลียืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยเศร้าหมอง พอพวกเขาเห็นข้าเข้ามา หรงเยวียนก็พูดว่า “สุยอวิ๋น เจ้ามาช้าไปแล้ว”
ข้าตะโกนอย่างเสียกิริยา “เต้าหลี เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงรักษาชีวิตเขาไว้ไม่ได้”
เต้าหลีเดินโค้งตัวเข้ามา “ใต้เท้า ผู้น้อยให้องค์ชายเสวยยาแล้ว ยาเห็นผลชัดเจน แม้องค์ชายจะขึ้นไปบัญชาการทำศึกติดต่อกันหลายวันแต่อาการบาดเจ็บก็มิได้เลวร้ายเกินไป ผู้ใดจะทราบ…วันนี้ท่านเจ้าแคว้นกลับออกราชโองการตำหนิองค์ชาย องค์ชายอ่านราชโองการจบก็ทั้งโกรธเกรี้ยวและเจ็บใจจนกระอักเลือด ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็…ก็จากไปแล้ว”
หรงเยวียนเดินเข้ามา กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า “สุยอวิ๋น เจ้าอย่าตำหนิเขาเลย เขาพยายามเต็มที่แล้ว”
ข้าถามเสียงเย็น “ราชโองการอยู่ที่ใด”
หรงเยวียนถอนใจยาว ชี้ไปบนโต๊ะด้านข้าง ข้าเดินเข้าไปหยิบราชโองการสีเหลืองขึ้นมาอ่าน พลันรู้สึกโทสะอัดแน่นอยู่ในอก กระทั่งได้รสคาวหวานในปาก กระอักเลือดออกมาคำโต ในราชโองการเขียนถ้อยคำเย็นชาเอาไว้ว่า
‘เสด็จอารู้พิชัยสงครามอย่างลึกซึ้ง มีทั้งทหารชั้นยอดหนึ่งแสนในมือ มีทั้งชัยภูมิล้ำเลิศของเซียงหยาง เหตุใดทำศึกเนิ่นนานแล้วจึงไร้ผลงาน กลับปล่อยทัพต้ายงเคลื่อนทัพไปมาตามใจ หรือจะสมคบกับศัตรู หวังว่าผู้บัญชาการสูงสุดอย่างท่านจะเข้าใจถึงความอ่อนล้าโรยแรงของแว่นแคว้น รีบสู้ศึกให้ได้ชัยโดยไว’
ข้าวางราชโองการลง ผลักชื่อจี้และเต้าหลีที่จะเข้ามาประคองข้าออกไปพลางทอดมองไปที่โต๊ะ ด้านบนมีสารอยู่ฉบับหนึ่ง ข้าคิดจะเปิดออกดู หรงเยวียนคิดเข้ามาหยุดยั้งทว่าไม่นานก็ยืนนิ่ง ข้าก้มหน้าอ่าน ด้านบนเป็นตัวอักษรทรงพลัง แต่กลับมีรอยโลหิตเปื้อนอยู่หลายจุด
‘จ้าวเจวี๋ยถือวงศ์ตระกูลเป็นที่เลื่อมใส หากตนกลับไร้ความสามารถ ครั้นได้รับความเมตตาจากเจ้าแคว้นพระองค์ก่อนแต่งตั้งให้คุมทัพจึงมิกล้าไม่ทุ่มเท จนใจที่ร่างกายทรุดโทรมเจ็บป่วย งานใหญ่มิทันสำเร็จกลับต้องร่วงโรยกลางทางพานให้นึกเสียใจยิ่ง ยามนี้ต้ายงเหิมเกริมเข้ารุกราน หนานฉู่เหนื่อยล้าแสนสาหัส เป็นกาลวิกฤติแห่งการคงอยู่หรือดับสูญ
บัดนี้จ้าวเจวี๋ยใกล้สิ้นใจ จึงขอบังอาจทูลเตือนตามตรง ตั้งแต่หนานฉู่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เหล่าขุนนางล้วนเงยหน้ายืมจมูกต้ายงหายใจ ขอเข้าพึ่งพิงด้วยหวาดกลัวภัยสงคราม เข้าร่วมศัตรูด้วยใจชั่วช้า ขอเจ้าแคว้นใกล้ชิดขุนนางประเสริฐ ห่างไกลคนเถื่อนถ่อย มิลุ่มหลงวังหลัง ใส่ใจราชกิจ จดจ่อการทหาร
ไกลมีเป่ยฮั่น ใกล้มีต้ายง จะรักษาความสงบสุขของหนานฉู่ได้นานเพียงใดกัน
ภารกิจปกป้องเซียงหยางต้องใส่ใจให้หนัก หรงเยวียนผู้นี้เป็นคนสนิทของข้า ทั้งมากความสามารถและเชี่ยวชาญการทหาร หากจ้าวเจวี๋ยลาลับ สมควรแต่งตั้งคนผู้นี้เป็นผู้นำทัพให้ปกปักเซียงหยาง ย่อมคุ้มครองเซียงหยางให้พ้นภัยได้
เจิ้นหย่วนโหวลู่ซิ่น คนผู้นี้นับเป็นคนสัตย์ซื่อ กระทำการเด็ดเดี่ยว สามารถเป็นผู้บัญชาการสูงสุดได้
จ้าวเจวี๋ยใกล้สิ้นใจ มิทราบจะเอ่ยคำใด เพียงท่านเจ้าแคว้นได้รับสารฉบับนี้ แม้ตายจ้าวเจวี๋ยก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว’
ข้าวางสารฉบับนั้นลง เมื่อคิดถึงภาพที่จ้าวเจวี๋ยเจ็บช้ำโศกเศร้าเต็มอกจนกระอักเลือดออกมาขณะเขียนจดหมาย น้ำตาพลันไหลพรากดุจหยาดพิรุณ “องค์ชาย เหตุใดจึงต้องดื้อรั้นปานนี้ หากตอนแรกยอมฟังคำข้า บัญชาการทัพด้วยตัวเองแต่แรก ท่านจะมีวันนี้หรือ”
หรงเยวียนเดินเข้ามาพูดว่า “ก่อนตายองค์ชายคิดถึงใต้เท้ายิ่ง อยากผลักดันให้ใต้เท้ามารักษาการณ์ที่เซียงหยาง แต่หลังจากใคร่ครวญแล้วก็กล่าวว่า ‘สุยอวิ๋นเป็นผู้สง่างามมากน้ำใจ มีหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า จนใจที่ฉลาดเพียงปกป้องตนเอง มิยอมเสียสละตนเพื่อบ้านเมือง ท่านหรงโปรดนำคำข้าไปบอกต่อสุยอวิ๋นด้วยเถิด หากวันหน้าหนานฉู่ล่มสลาย หวังว่าท่านจะเห็นแก่หน้าจ้าวเจวี๋ย หลงเหลือควันธูป เซ่นไหว้เพื่อหนานฉู่บ้าง’”
ข้าเงียบไปนาน สุดท้ายจึงเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านหรงโปรดระงับความโศกเศร้าก่อนเถิด ท่านเจ้าแคว้นมิใช่คนไร้เมตตา เมื่อเห็นจดหมายบังคมทูลขององค์ชายจะต้องเสียใจเป็นแน่ เรื่องที่จะให้ท่านรักษาการณ์อยู่ที่เซียงหยางคงกระทำได้ สุยอวิ๋นเศร้าโศกท้อแท้ คิดจะลาออกจากราชการแล้วเดินทางไกล วันหน้าค่อยพบกันใหม่”
กล่าวจบข้าก็หมุนตัวเดินจากไป เมื่อเดินไปถึงประตูใหญ่ ยามข้าแหวกผ้าม่านรถม้าก็ได้ยินเสียงประทัดดังสะเทือนมาจากไกลๆ ดังทั้งสิ้นสิบสองครั้ง เป็นการประกาศว่าแม่ทัพสิ้นใจกลางกองทัพ
ข้าปล่อยม่านลง กล่าวอย่างเรียบเฉย “ออกเดินทางได้”
รถม้าเคลื่อนตัวไป ข้าผลักหน้าต่างรถม้าให้เปิดออก มองไปยังท้องฟ้าอันมืดครึ้มด้านนอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกอย่างจริงจังว่า หนานฉู่คงจบสิ้นแล้ว