ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 48 หนทางไกลนับพันลี้ (1)
หลังจากเดินทัพอย่างเร่งร้อนหลายวัน ยงอ๋องก็ไปรวมตัวกับกองทัพต้ายงทัพอื่นๆ สำเร็จ กองทัพหลายแสนของยงอ๋องออกเดินทัพถอยสู่ดินแดงต้ายง มีกองทัพส่วนหนึ่งรับผิดชอบระวังหลัง ทำให้กองทัพหนานฉู่ที่ไล่ติดตามมาด้านหลังจำต้องยืนส่งอยู่เพียงห่างๆ ดังนั้นการเดินทัพต่อมาจึงเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น
ข้าที่เป็นเชลยกลับได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ไม่ต้องอยู่ร่วมกับเชลยคนอื่นๆ ยงอ๋องสั่งให้ตระเตรียมกระโจมหลังหนึ่งสำหรับข้ากับเสี่ยวซุ่นจื่อ แม้จะเป็นกระโจมสำหรับเดินทัพ ทว่ากลับสบายและพิถีพิถันยิ่ง บนพื้นปูด้วยผ้าสักหลาด ช่องว่างของกระโจมถูกหุ้มด้วยหนังสัตว์อย่างแน่นหนา ลมหนาวของสารทฤดูมิอาจพัดผ่านเข้ามาได้แม้แต่น้อย มุมหนึ่งของกระโจมมีเตียงหลังใหญ่วางอยู่ ใหญ่พอที่จะให้บุรุษสองคนนอนแบบสบายๆ อีกด้านหนึ่งของกระโจมมีโต๊ะไม้สนทรงเหลี่ยมตั้งไว้ มีเก้าอี้สองตัววางอยู่ฝั่งละตัว บนโต๊ะมีชุดน้ำชาดินเผาวางเรียงราย ตรงกลางกระโจมยังมีกระถางไฟสำริดอันวิจิตรอยู่ด้วย ตอนนี้กาน้ำที่แขวนอยู่ด้านบนกำลังส่งเสียงเดือดหวีดหวิว ทำให้อากาศอบอุ่นไปทั่วทั้งกระโจม
เสี่ยวซุ่นจื่อได้ยินเสียงน้ำเดือดก็นำไปชงชาร้อนให้ข้าอย่างช่ำชอง ข้ายืดมือขึ้นบิดขี้เกียจก่อนลุกขึ้นนั่ง หลายปีมานี้ข้าประสบเหตุหลายครั้ง ทำให้ข้ามีอาการป่วยฝังแน่น แม้จะยืนหยัดฝึกชี่กงเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง แต่โรคเก่ายังกำเริบอยู่หลายหน ข้าเคยคิดจะพักรักษาตัวให้ดี แต่อาการป่วยทางใจยากรักษา รวมกับที่ผู้เป็นหมอมิอาจรักษาโรคให้ตนเองได้ ดังนั้นหลายปีมานี้ข้าจึงป่วยออดๆ แอดๆ อยู่เสมอ แม้จะกล่าวว่าข้าชอบใช้เรื่องรักษาตัวเป็นข้ออ้าง แต่ร่างกายข้าไม่ค่อยดีจริงๆ
เสี่ยวซุ่นจื่อพยุงข้าลุกขึ้น บ่นพึมพำว่า “คุณชายไม่ยอมพักรักษาตัวให้ดี คราวนี้ไปต้ายง ต้องคลุกฝุ่นตลอดทาง เกรงว่าคุณชายจะป่วยอีกแล้ว”
ข้าทอดถอนใจ “ทำอะไรไม่ได้ เจ้าก็รู้ว่าอาการป่วยของข้าเป็นมาอย่างไร กว่าครึ่งเป็นอาการป่วยทางใจ ความจริงตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่เดินทัพคราวนี้ทำให้ข้าคิดถึงเรื่องโจมตีสู่เมื่อปีนั้นขึ้นมาอีก น่าเสียดายที่เต๋อชินอ๋องขี่กระเรียนกลับสวรรค์ไปแล้ว ส่วนข้ากลับอยู่ในค่ายทหารต้ายง เมื่อย้อนคิดถึงเรื่องในอดีตยังอดเสียดายไม่ได้ เฮ้อ”
ขณะนี้เองมีเสียงดังแว่วมาจากนอกกระโจม “ได้ยินว่าท่านเจียงสุขภาพไม่ดี ข้าจึงมาเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะ”
จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงหัวเราะ ยงอ๋องหลี่จื้อเดินเข้ามา เขาสวมใส่อาภรณ์ตามศักดิ์องค์ชายทั้งร่าง ด้านหลังยังมีที่ปรึกษาติดตามมาอีกสองคน คนทั้งสามเดินเข้ามาในกระโจม ข้าฝืนลงจากเตียง ทว่าหลี่จื้อกลับเดินเข้ามากดข้าไว้ พูดว่า “ท่านเจียงไม่ต้องลุก ได้ยินว่าท่านเจียงไม่สบาย ข้ายุ่งอยู่กับกิจทหาร ยามนี้จึงค่อยมีเวลาปลีกตัวออกมาเยี่ยมเยียน เสียมารยาทแล้ว”
กล่าวจบก็นั่งลงข้างเตียง มองสีหน้าข้าอย่างเป็นกังวล
ข้าเห็นบัณฑิตสองคนนั้นนั่งลงเช่นกัน จึงกล่าวอย่างถ่อมตัวว่า “สุยอวิ๋นโรคเก่ากำเริบจึงมิอาจลงจากเตียง ขอทุกท่านโปรดอภัยด้วย ได้ยินมานานว่าข้างกายยงอ๋องมากด้วยอัจฉริยบุคคล มิทราบว่าทั้งสองท่านมีนามว่าอะไร”
คนหนึ่งอายุมากแล้ว รูปโฉมเกลี้ยงเกลา เป็นบัณฑิตวัยห้าสิบกว่าปี เขาลุกขึ้นกล่าวว่า “กวนซิวแห่งเป่ยไห่น้อมพบท่านเจียง ท่านเจียงเป็นอัจฉริยะด้านอักษร ชื่อเสียงระบือทั่วทั้งใต้หล้า ผู้แซ่กวนเคยอ่านบทกวีของท่านเจียงแล้ว ติดตราตรึงใจ ดั่งกลิ่นหอมรัญจวนมิจางหาย ทำให้อดหยิบขึ้นมาพลิกอ่านอีกหลายครั้งมิได้จริงๆ”
อีกคนหนึ่งเป็นบัณฑิตตาเรียวคิ้วบาง สวมอาภรณ์ขาว บุคลิกสง่ามากราศี เขาพูดยิ้มๆ ว่า “วันนั้นท่านเจียงใช้บทกวีแตกสลายเพียงครู่บีบบังคับสู่อ๋องจนตาย ข้ายังคงคิดถึงจนกระทั่งวันนี้ ข้าต่งจื้อขอรับ”
ข้ากล่าวเรียบๆ “ได้ยินมานานว่าใต้ธงของยงอ๋องมีเสนาธิการมากสามารถอยู่มาก กวนซิวแห่งเป่ยไห่เชี่ยวชาญเรื่องการจัดการเสบียงกรังสำหรับทหารและม้า ต่งจื้อแห่งลั่วหยางเชี่ยวชาญการเดินทัพแปรกระบวน ยังมีโก่วเหลียนแห่งอิ่งชวนอีกผู้หนึ่งเชี่ยวชาญการทูตออกเจรจาทั่วหล้า สามท่านนี้ถูกเรียกขานเป็นสามยอดอัจฉริยะ วันนี้ได้พบนับว่าชื่อเสียงเล่าลือไม่เกินจริง น่าเสียดายที่ได้พบเพียงสอง ทำให้สุยอวิ๋นต้องทอดถอนใจกับความไร้วาสนาของตนแล้ว”
ต่งจื้อกล่าวยิ้มๆ “ตอนนี้พี่โก่วไม่อยู่ในกองทัพจึงมิอาจพบกัน เขาเคารพเลื่อมใสท่านเจียงเป็นอย่างยิ่ง วันนั้นท่านเจียงติดตามเต๋อชินอ๋องมายังกองทัพต้ายง พวกเราสามคนไม่อยู่ที่กองทัพพอดี ภายหลังกลับอำลากันอย่างเร่งร้อน ไม่มีโอกาสพูดคุยสนทนา วันนี้ท่านเจียงกลับมาอยู่ใต้บัญชาองค์ชายแล้ว เชื่อว่าวันหน้าคงได้ร่ำสุราสนทนากันบ้าง”
ข้าทำเพียงมองหลี่จื้อ แย้มยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ตอบโต้คำพูดของต่งจื้อทำให้สีหน้าของเขาย่ำแย่ยิ่ง ข้าเพียงเอ่ยบอกเรียบๆ ว่า “แม้สุยอวิ๋นจะป่วยกาย แต่ปัญญายังแข็งแรงแจ่มชัด หากพี่ต่งมีสิ่งใดจะสอบถามก็รีบถามสุยอวิ๋นมาเถิด สุยอวิ๋นย่อมมิกล้าปฏิเสธ”
สนทนาไปครู่หนึ่ง พวกเขาเห็นข้ามีสีหน้าเอือมระอาจึงรีบกล่าวอำลาแล้วออกไป หลี่จื้อกำชับให้ข้าพักผ่อนให้ดี กล่าวว่าจัดเตรียมรถม้าสำหรับเดินทางให้ข้าแล้ว ทั้งยังกำชับให้เสี่ยวซุ่นจื่อดูแลเรื่องอาหารการกินให้ดี หากต้องการสิ่งใดให้รีบบอกกวนซิวได้เลย
จนกระทั่งพวกเขาออกไป ข้าจึงทิ้งตัวพิงเตียง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เสนาธิการทั้งหลายของยงอ๋องกระตือรือร้นยิ่ง แต่ข้าว่าโก่วเหลียนผู้นั้นคงจิตใจคับแคบ มิฉะนั้นเหตุใดยงอ๋องจึงไม่พาเขามาด้วยกันเล่า”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้ม “คราวนี้คุณชายฉลาดเฉลียวยิ่งนัก โก่วเหลียนผู้นั้นก็อยู่ในค่าย เพียงแต่นิสัยไม่ดี ยงอ๋องจึงไม่ได้เชิญเขามาด้วยกันเพื่อมิให้ล่วงเกินคุณชาย”
เมื่อยงอ๋องและเสนาธิการทั้งสองเดินออกมาจากกระโจมมาแล้วก็ทอดถอนใจ “เดิมทีข้าคิดว่าเขาใช้อาการป่วยเป็นข้ออ้าง ไม่นึกว่าจะนอนป่วยจนลุกไม่ขึ้นจริงๆ เฮ้อ สุขภาพเขาไม่ค่อยดี ข้ากลับบีบบังคับให้เขาเดินทางไกล มิน่าเล่า จะอย่างไรเขาก็ยังเย็นชาใส่ข้า”
ต่งจื้อกล่าวปลอบ “องค์ชายไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าว่าแม้คนผู้นี้จะนอนป่วย แต่สติปัญญากลับแจ่มชัดยิ่ง เชื่อว่าคงไม่ขุ่นเคืองเพราะองค์ชายพาเขาออกเดินทางมาด้วยเป็นแน่ แม้กระหม่อมจะมิอาจมองทะลุจิตใจคนผู้นี้ แต่กระหม่อมคิดว่าเขายอมผ่อนปรนให้องค์ชายอยู่บ้าง มิได้ปฏิเสธซึ่งหน้า เห็นได้ว่าคนผู้นี้มิใช่ว่าจะไม่ยอมจำนน”
หลี่จื้อยิ้มเจื่อน “เจียงเจ๋อผู้นี้ทำตัวไหลลื่นตามสถานการณ์ แม้ข้าจะบีบบังคับให้เขาเป็นขุนนาง เขาก็คงไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าอยากให้เขาทำงานรับใช้อย่างจริงใจกลับเป็นเรื่องยาก ตอนแรกเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยก็ให้ความสำคัญกับเขา เพียงแต่อาจฝืนใจบีบบังคับไปบ้าง ภายหลังเขาจึงไม่ยอมติดตามกองทัพไปทำงานอีก จ้าวเจวี๋ยเป็นถึงเสด็จอาของเจ้าแคว้นแห่งหนานฉู่ เขายังรับใช้อย่างฉาบฉวยเพียงนี้ ข้ากลัวว่าเขาจะรับใช้ข้าอย่างฉาบฉวยเช่นกัน”
กวนซิวเอ่ยว่า “องค์ชายวางใจเถิด แม้คนผู้นี้จะมีหัวใจเย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่นับว่าเลือดยังอุ่น มิเช่นนั้นคงไม่ถวายฎีกาทัดทานฉบับนั้นเป็นแน่ ขอเพียงองค์ชายปฏิบัติกับเขาอย่างจริงใจ เชื่อว่าจะได้ความจงรักภักดีจากเขาแน่นอน ข้าได้ยินว่ายามนั้นที่เขาห่างเหินกับเต๋อชินอ๋อง กว่าครึ่งมีสาเหตุมาจากหรงเยวียนเสนาธิการของเต๋อชินอ๋อง ข้าจึงกังวลเรื่องนิสัยของโก่วเหลียนนัก คนผู้นี้ยากจะยอมรับผู้อื่น มักยั่วยุอยู่หลายครั้งหลายหน เกรงว่าจะไปสร้างความรำคาญให้เจียงสุยอวิ๋น”
ต่งจื้อกล่าวเสริม “พี่กวนคิดมากไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าหากโก่วเหลียนไปอาจมีผลงานที่พวกเราคิดไม่ถึงก็เป็นได้ เจียงเจ๋อผู้นี้ แม้ด้านนอกสง่างามดุจบัณฑิตอ่อนโยน แต่ภายในกลับหยิ่งผยอง นิสัยคล้ายคลึงโก่วเหลียนยิ่ง ข้าคิดว่าคงไม่มีผลลัพธ์ย่ำแย่อันใดหรอก”
ขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนาปราศรัยซ้ำไปซ้ำมาอยู่ที่นี่ โก่วเหลียนที่พวกเขากังวลก็มาถึงกระโจมข้าแล้ว โก่วเหลียนผู้นี้มีความหยิ่งผยองสูงยิ่ง เมื่อรู้ว่าหลี่จื้อไปถึงเจี้ยนเย่เพื่อบีบบังคับพาตัวเจียงเจ๋อกลับมาด้วยกัน ทั้งยังดูแลใส่ใจอย่างยิ่งยวด ในใจโก่วเหลียนพลันรู้สึกไร้รสชาติ คราวนี้หลี่จื้อพากวนซิวและต่งจื้อไปเยี่ยมไข้แต่กลับไม่พาตนไปด้วย ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบาย ด้วยความชาญฉลาดมากปัญญาของเขาย่อมรู้ดีว่าหลี่จื้อกลัวว่าตนจะไปล่วงเกินเจียงเจ๋อ นี่ยิ่งทำให้เขายิ่งรู้สึกไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสที่หลี่จื้อเพิ่งออกไปไม่นานมาที่กระโจมข้า
ตอนนี้ข้ายังเป็น ‘เชลย’ ของทัพต้ายง แม้หลี่จื้อจะเคยรับสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารบกวนข้า แต่โก่วเหลียนมีฐานะสูงส่งในกองทัพ ดังนั้นทหารที่คอยเฝ้าข้าจึงมิได้ขัดขวาง ปล่อยให้เขาเดินเข้ามาในกระโจมข้าเช่นนั้น
เมื่อข้าเห็นบุรุษหนุ่มจมูกงองุ้มดุจเหยี่ยวก็คาดเดาฐานะเขาได้ทันที เขายืนประจันหน้าข้าอย่างไร้มารยาท มองสำรวจข้าอยู่พักใหญ่ ข้าจึงโบกมือหยุดโทสะของเสี่ยวซุ่นจื่อแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ทราบว่าท่านคือลิ้นเชือดเฉือนโก่วเหลียนหย่งเฉวียนหรือ”
โก่วเหลียนตกใจเล็กน้อย พูดว่า “คิดไม่ถึงว่าหนึ่งบทกวีคร่าชีวิตสู่อ๋องอย่างเจียงสุยอวิ๋นจะรู้จักคนต่ำต้อยเช่นข้าด้วย นับเป็นเกียรติจริงๆ ไม่รู้ว่าท่านจ้วงหยวนที่ในอดีตเคยดูแคลนสู่อ๋องไว้ว่า ‘ตกเป็นเชลยไร้ศักดิ์ไร้สุวรรณ สังขารเกศาพลันเสื่อมถอยขาวโพลน’ รู้ว่าจะเกิดเรื่องวันนี้นานแล้วหรือไม่ ข้าเห็นสีหน้าท่านซีดเซียวปานนั้น ร่างกายเจ็บป่วยโรยรา สมควรนับได้ว่า ‘สังขารเกศาพลันเสื่อมถอยขาวโพลน’ กระมัง”
ข้าเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ได้ยินมานานว่าพี่หย่งเฉวียนเคยเป็นเสนาธิการของแม่ทัพจางเชินแห่งสวีโจว จางเชินไม่ยอมภักดี นำทัพบุกยึดดินแดนส่วนหนึ่ง ยามนั้นพี่หย่งเฉวียนอยู่ใต้กองธงของเขานับว่าได้รับเกียรติยศมากล้น ภายหลังยงอ๋องทำศึกกับจางเชิน ท่านได้รับคำสั่งให้เป็นทูตไปยังค่ายของต้ายง ผู้ใดจะรู้ ท่านกลับหมกมุ่นในบารมีขององค์ชาย หลังจากกลับไปก็เกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้แม่ทัพจางวางเกราะทิ้งอาวุธยอมจำนน ต่อมาท่านทำงานให้ยงอ๋อง ออกเป็นทูตเจรจาทั่วหล้า ปฏิบัติภารกิจอย่างไม่คิดอับอาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเป็นทูตให้จางเชินในตอนแรกหรือไม่จึงถูกผู้คนกล่าวประณามหยามเหยียด ทำให้ท่านต้องเพียรพยายามมากปานนั้น สุดท้ายจึงประสบความสำเร็จกระมัง”
โก่วเหลียนพลันหน้าแดง เรื่องที่เขาเคยเรียกร้องให้จางเชินยอมจำนน แม้จะเป็นคำพูดที่ฟังดูสวยหรู แต่เขารู้สึกว่าการที่ตนมิได้โน้มน้าวให้ยงอ๋องถอยทัพ กลับไปทำงานให้ยงอ๋องแทน นับว่าเป็นความอัปยศต่อหน้าที่อย่างมิอาจเลี่ยง คิดไม่ถึงว่ากลับถูกคนผู้หนึ่งพูดจาทิ่มแทงจนแทบกระอักเลือด จึงกล่าวไปอย่างอับอายว่า “ยงอ๋องมีบุคลิกดังหงส์มังกร ใจกว้างสง่างาม มิอาจสั่นคลอนได้ด้วยวาจา ข้าจะล้มเหลวกลับมาก็มิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด ยิ่งไปกว่านั้นที่ข้าที่โน้มน้าวให้แม่ทัพจางยอมแพ้ ย่อมสร้างผลงานชดเชยแทนได้ กลับเป็นท่าน ในเมื่อรู้ว่าต้ายงจะเป็นผู้รวบรวมใต้หล้าได้อย่างแท้จริง เหตุใดจึงไม่ยอมจำนน”
ข้ากล่าวยิ้มๆ ว่า “คำพูดนี้ของพี่หย่งเฉวียนย่ำแย่ไปหรือไม่ ข้ากล่าวว่าแม่ทัพจางไม่ยอมภักดี เป็นเพราะตอนนั้นการรวมจงหยวนเป็นหนึ่งขึ้นอยู่เพียงชั่วขณะนั้น ผู้คนยินดีสวามิภักดิ์แล้ว แต่แม่ทัพจางกลับใช้กำลังทหารแบ่งแยกดินแดน ไม่รู้จักภารกิจของตน ด้วยเหตุนี้จึงนึกดูแคลน ส่วนหนานฉู่ของข้าแม้เป็นแคว้นเล็กๆ แต่ก่อตั้งแคว้นมานานเหนือต้ายง สุยอวิ๋นเป็นจ้วงหยวนแห่งหนานฉู่ เมื่อสอบเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อแล้วก็รับหน้าที่อยู่ในสำนักฮั่นหลินมานานปี ซาบซึ้งในพระคุณของแว่นแคว้นอย่างลึกล้ำ จะทอดทิ้งบ้านเมืองหันไปรับใช้ต้ายงได้อย่างไร สุยอวิ๋นรู้สึกละอายยิ่ง นายเก่ายังอยู่จะไปรับใช้นายใหม่ได้อย่างไร”