ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 52 ควันหลงที่ยังมิจางหาย (1)
รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสาม (หนานฉู่ รัชศกจื้อฮวาปีที่หนึ่ง) วันที่สามเดือนสิบเอ็ด มีราชโองการเพิ่มมุกประดับ[1] ให้ฉีอ๋อง ผู้คนล้วนทราบดีว่าการเพิ่มมุกนี้มีสาเหตุมาจากยงอ๋อง
…พงศาวดารยง พระราชประวัติไท่จง
เมื่อออกมาจากตำหนักชุ่ยหลวน จี้กุ้ยเฟยก็สูดหายใจลึกเพื่อระบายความอัดอั้นในใจ เหลียงหวั่นเป็นศิษย์รักคนสำคัญของฟ่านฮุ่ยเหยาผู้เป็นเจ้าสำนัก ทั้งยังเป็นหมากตัวสำคัญของสำนักเฟิงอี้ นางมีผลงานที่โดดเด่นในเจียงหนาน ทั้งยังประสบความสำเร็จในการเจรจาข้อตกลงกับรัชทายาทหลี่อัน คิดไม่ถึงว่าคราวนี้จะถึงกับล้มเหลวครั้งใหญ่ที่เจียงหนาน จะไม่ให้นางรู้สึกปวดใจได้อย่างไร
เจ้าสำนักส่งสารลับมาแล้ว สั่งให้ตนตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เหลียงหวั่นกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนให้ดี ตนรู้ดีว่าเจ้าสำนักสงสัยว่ายงอ๋องเป็นผู้ลงมือ จะอย่างไรยงอ๋องก็ไม่พอใจเหลียงหวั่นมานานแล้ว มิฉะนั้นคงไม่ส่งคนไปสร้างเครือข่ายข่าวกรองขึ้นใหม่เป็นแน่ ทว่าเมื่อฟังจากคำพูดขององค์หญิงฉางเล่อที่เป็นผู้ประสบเหตุเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ กลับไม่ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
จี้กุ้ยเฟยยิ้มเย็นชา นอกจากยงอ๋องแล้วจะเป็นผู้ใดไปได้ หากพวกนั้นเป็นคนหนานฉู่จะต้องไม่ปล่อยองค์หญิงฉางเล่อกลับมาโดยสวัสดิภาพเป็นแน่ นอกเสียจากจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของยงอ๋องจึงจะปฏิบัติต่อองค์หญิงฉางเล่ออย่างมากมารยาทเพียงนั้น แต่ก็ไม่มีข้อพิสูจน์ใด ตนไม่อาจชี้นิ้วตำหนิยงอ๋องหลี่จื้อโดยไร้สาเหตุได้
เมื่อคิดถึงราชโองการขององค์จักรพรรดิ จี้กุ้ยเฟยก็ยิ่งรู้สึกหัวใจเย็นวาบประหนึ่งน้ำแข็ง วันนี้ที่ศาลบรรพชน หลี่หยวนประกาศว่ายงอ๋องสร้างผลงานด้านการรบมานานหลายปี ช่วงไม่กี่ปีมานี้ทั้งทำลายสู่รบชนะฉู่ ผลงานสูงล้ำไร้ที่เปรียบ ยามนี้ตำแหน่งราชการใดก็ไม่อาจยกย่องความสำเร็จของเขาได้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีพระราชโองการแต่งตั้งยงอ๋องเป็นจอมทัพเทียนเช่อ (ยุทธการสวรรค์) กินตำแหน่งต้าซือถู[2] มีตำแหน่งเหนืออ๋องทุกพระองค์ พระราชทานศักดินาสองหมื่นครัวเรือน ชุดกุ้นเหมี่ยน[3] หนึ่งชุด เกี้ยวทองหนึ่งหลัง หยกหนึ่งคู่ ทองคำหกพันชั่ง วงดนตรีเก้าเครื่อง องครักษ์ถือกระบี่ประดับสี่สิบนาย เกียรติยศเช่นนี้ แม้จะเป็นรัชทายาทก็เหนือกว่าเพียงเล็กน้อย
สิ่งที่ทำให้จี้กุ้ยเฟยรู้สึกไม่ดียิ่งกว่าก็คือ ฝ่าบาทออกราชโองการอนุญาตให้จวนจอมทัพเทียนเช่อแยกตัวออกไปดูแลตัวเองได้ จากสมุดบัญชีรายชื่อที่หลี่จื้อนำขึ้นถวาย มีจ่างสื่อ (ผู้ช่วยทหารฝ่ายบัญชาการ) หนึ่งนาย ซือหม่า (ผู้ดูแลม้าศึก) หนึ่งนาย บ่าวรับใช้ใกล้ชิดสองนาย กุนซือเซ่นสุราสองนาย เตี่ยนเชียน (ผู้ดูแลเอกสาร) สี่นาย นายทะเบียนสองนาย ผู้บันทึกเรื่องราวสองนาย ทหารดูแลจากหกฝ่าย ฝ่ายละสองนาย (ได้แก่ ฝ่ายผลงาน โกดัง ทหาร ม้า เกราะ ทหารช่าง) และที่ปรึกษาทางทหารหกนาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ จวนจอมทัพเทียนเช่อของหลี่จื้อจึงกลายเป็นราชสำนักเล็กๆ ที่มีทุกอย่างครบครัน เช่นนี้แล้วฝ่าบาทจะเปลี่ยนใจแต่งตั้งหลี่จื้อเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์หรือไม่ คิดอยู่พักใหญ่จี้กุ้ยเฟยก็ส่ายหน้า แม้ยงอ๋องจะมีผลงานยอดเยี่ยม ทว่าหากรัชทายาทมิได้บกพร่องคุณธรรมชัดเจน จากความเข้าใจที่นางมีต่อจักรพรรดิ เกรงว่าคืนนี้จักรพรรดิคงเสียใจที่พระราชทานรางวัลให้ยงอ๋องมากเกินไปกระมัง คาดว่าผ่านไปอีกไม่กี่วันฝ่าบาทคงคิดทำทุกวิถีทางเพื่อลดทอนอำนาจของยงอ๋องเป็นแน่ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน อ๋องที่มีบารมีสูงกี่คนกันเชียวที่มีจุดจบที่ดี เมื่อคิดถึงตรงนี้ จี้กุ้ยเฟยก็เผยรอยยิ้มลำพองใจออกมา
ตอนนี้เอง ขันทีสวมอาภรณ์สีแดงผู้หนึ่งเดินกระหืดกระหอบเข้ามา กล่าวรายงานว่า “พระสนม ฝ่าบาททรงมีราชโองการลงมา วันนี้จะเสด็จไปยังที่พำนักของพระสนม ขอให้พระสนมรีบเสด็จกลับตำหนักเพื่อเตรียมตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ อีกครึ่งชั่วยามฝ่าบาทจะเสด็จไปถึงแล้ว”
จี้กุ้ยเฟยรู้สึกยินดียิ่ง นางรู้ดีแก่ใจ แม้ตนจะมีรูปโฉมงดงาม แต่เมื่อกล่าวถึงความรักและความโปรดปรานกลับไม่นับว่าโดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้นที่ผ่านมาตนแสดงท่าทีรักใคร่ฝ่าบาทน้อยนัก ทำให้ตนได้รับความโปรดปรานน้อยลงไปอีก แต่ในทางกลับกัน ตนมีความสัมพันธ์กับฝ่าบาทในฐานะคนของสำนักเฟิงอี้ซึ่งทำให้นางโดดเด่นกว่าผู้อื่น ดังนั้นฝ่าบาทจึงมักให้ตนเข้าร่วมหารืองานเกี่ยวกับแว่นแคว้นเสมอ คืนนี้ฝ่าบาทจะเสด็จมาพักที่ตำหนักตน ดูท่าทางคงกลุ้มใจเรื่องยงอ๋องเป็นแน่ ดูแล้วตนคงคิดไม่ผิด ฝ่าบาทเกิดใจระแวงยงอ๋องแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จี้กุ้ยเฟยก็ผลิยิ้มเบิกบานดุจบุปผาออกมา
มีคนชอบย่อมมีคนเกลียด หลังงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ก็มักเป็นเช่นนี้ ในจวนรัชทายาทอันยิ่งใหญ่สุกสกาว หลี่อันกวาดตำราบนโต๊ะทรงอักษรทั้งหมดลงพื้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ตวาดลั่นว่า “หลี่จื้อ หากข้าสังหารเจ้าไม่ได้ก็ไม่ขออยู่เป็นคน”
กล่าวจบก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ มองไปยังประตูห้องทรงอักษรด้วยสายตาอำมหิตคล้ายยงอ๋องจะโผล่ออกมาจากตรงนั้นก็มิปาน เนิ่นนานผ่านไปจึงกล่าวอย่างเหนื่อยล้าว่า “ใครก็ได้ ตามเส้าฟู่[4] มาพบข้าที”
ไม่นานก็มีบัณฑิตเคราดำหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาสวมชุดขุนนางเส้าฟู่ประจำองค์รัชทายาท เมื่อพบรัชทายาทก็มิได้คารวะ กลับเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ซ้ายมือของรัชทายาท กล่าวยิ้มๆ ว่า “องค์ชาย เหตุใดจึงโกรธเกรี้ยวเพียงนี้”
หลี่อันระบายอย่างขุ่นเคือง “ตอนนี้หลี่จื้อเป็นจอมทัพเทียนเช่อแล้ว อีกไม่นานตาแก่นั่นคงยกตำแหน่งรัชทายาทของข้าให้มัน เจ้าว่าข้าจะไม่โกรธได้หรือ”
บัณฑิตผู้นั้นยิ้ม “องค์ชายคิดมากไปแล้ว ฝ่าบาททรงรักใคร่โปรดปรานพระองค์เป็นอย่างยิ่ง หากคิดแต่งตั้งยงอ๋องเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์คงทำไปนานแล้ว เหตุใดต้องรอถึงวันนี้ด้วย”
หลี่อันยังคงกล่าวต่อไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “เส้าฟู่คงไม่รู้ ตอนนั้นมารดาของเขาคือพระชายาคนแรกของเสด็จพ่อ แม้ข้าจะเป็นบุตรชายคนโต แต่ก็เกิดจากอนุภรรยา ภายหลังมารดาของเขาอายุสั้น กลับสู่สวรรค์ไปนานแล้ว เสด็จแม่ของข้าจึงได้ครองตำหนักหลังของเสด็จพ่อ ภายหลังเสด็จพ่อได้เป็นจักรพรรดิก็แต่งตั้งเสด็จแม่ของเขาเป็นเสี้ยวเสียนฮองเฮาย้อนหลัง ดังนั้นหากพูดถึงสถานะ ข้าย่อมสู้เขามิได้ เพียงแต่ด้วยฐานะบุตรชายคนโตและเสด็จแม่ก็เป็นฮองเฮาองค์ปัจจุบัน จึงทำให้ข้าได้ตำแหน่งรัชทายาทมา ทว่าตอนนี้…ตอนนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไร หากเสด็จพ่อเปลี่ยนพระทัย ข้าคงสิ้นไร้หนทางแล้ว”
บัณฑิตผู้นั้นดวงตาเปล่งประกาย กล่าวว่า “องค์ชายเป็นคนในย่อมมองเหตุการณ์โดยรวมไม่ออก แต่กระหม่อมกลับคิดว่า ตำแหน่งรัชทายาทนี้แม้มองภายนอกจะอันตรายแต่ความจริงกลับมั่นคงดั่งเขาไท่ซาน องค์ชายคิดว่าฝ่าบาททรงรักใคร่โปรดปรานยงอ๋อง แต่กระหม่อมกลับคิดว่าฝ่าบาทหวาดระแวงยงอ๋องเป็นอย่างยิ่ง ลองคิดดูเถิด หลายปีมานี้ยงอ๋องไปออกรบทำศึกทั้งเหนือใต้ แผ่นดินของต้ายงกว่าครึ่งเป็นเขาแย่งมา ฝ่าบาทย่อมรู้สึกติดหนี้บุญคุณเขาอย่างมิอาจเลี่ยง
ทว่าตอนนี้ยงอ๋องมีผลงานโดดเด่นสูงล้ำ หากฝ่าบาทจะแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาทย่อมราบรื่นไร้อุปสรรค แต่ฝ่าบาทกลับยอมพระราชทานรางวัลมากมาย ไม่ยอมมอบตำแหน่งรัชทายาทให้เขา เห็นได้ว่ามีใจลำเอียงให้พระองค์แล้ว
กระหม่อมคิดว่าแม้ฝ่าบาทจะมิได้รักใคร่องค์ชาย แต่หากองค์ชายอยู่ในตำแหน่งย่อมไม่กระทบถึงอำนาจบารมีของฝ่าบาท ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร ฝ่าบาทก็ไม่ยอมเปลี่ยนพระทัยเป็นแน่ ขอเพียงองค์ชายแสดงความกตัญญูต่อหน้าฝ่าบาทและฮองเฮาให้มาก เคารพพระสนมให้มาก เคารพยงอ๋องให้มาก แสดงความผูกพันฉันพี่น้องให้ดี เช่นนี้ฝ่าบาทต้องไม่เปลี่ยนตำแหน่งรัชทายาทแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ยังมีการสนับสนุนจากสำนักเฟิงอี้อยู่ด้วย องค์ชายคงไม่คิดว่าการทรยศของเหลียงหวั่นเป็นการตัดสินใจของนางเองหรอกกระมัง ระยะนี้ฝ่าบาทคงคิดได้ว่าจากนี้ไปอีกร้อยปี หากบารมีของรัชทายาทไม่อาจกดข่มยงอ๋องได้ เช่นนั้นจะทำอย่างไร ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธีกดข่มยงอ๋องเสียเอง ขอเพียงองค์ชายอยู่ในตำแหน่ง นอกมีฉีอ๋องช่วยเหลือ ในมีสำนักเฟิงอี้ค้ำจุน หากคิดเอาชีวิตยงอ๋องก็เป็นเรื่องง่ายดุจพลิกฝ่ามือ”
หลี่อันได้ยินดังนั้นก็คิดเนิ่นนาน สุดท้ายจึงแย้มยิ้มออกมา “เส้าฟู่ ขอบใจที่เจ้าช่วยเปิดกว้างความคิดให้ข้า จากความเห็นของเจ้า ตอนนี้พวกเราควรทำเช่นไร”
บัณฑิตผู้นั้นหัวเราะ “ทำมากย่อมผิดพลาดมาก ทำน้อยย่อมผิดพลาดน้อย องค์ชายเพียงวางตัวสำรวมเป็นพอ กลับเป็นทางฉีอ๋องที่องค์ชายจะต้องหว่านล้อมให้มาก ก่อนหน้านี้ฉีอ๋องรบแพ้ องค์ชายกลับชักสีหน้าใส่ฉีอ๋องไม่น้อย เช่นนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง หากไม่มีการสนับสนุนจากฉีอ๋อง วันหน้าองค์ชายจะไม่มีแม่ทัพที่ใช้งานได้อีก”
หลี่อันลุกขึ้นยืนคารวะอย่างมากพิธี “ขอบคุณที่ชี้แนะ”
จากนั้นเขาจึงเผยสีหน้าอ่อนโยนออกมา “น้องหกชอบสาวงาม ข้าคัดเลือกสตรีรูปโฉมโดดเด่นเข้ามาใหม่สองคน เดิมทีคิดมอบให้เสด็จพ่อ เช่นนั้นก็เลือกคนหนึ่งให้เขาไปแล้วกัน”
บัณฑิตผู้นั้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาเช่นกัน ทว่าไม่ทันไรก็ชักสีหน้า หลี่อันเห็นดังนั้นจึงยิ้มพูดว่า “เส้าฟู่ อยู่ต่อหน้าข้ายังต้องทำเป็นเคร่งขรึมอันใดอีก สตรีสองนางนั่นมิอาจมอบให้ท่าน แต่ข้ายังมีสาวงามอีกหลายคน มอบให้ท่านสองคนเป็นอย่างไร”
ได้ยินดังนั้นบัณฑิตจึงก้มหน้าลง “เช่นนั้นขอบพระทัยที่องค์ชายประทานรางวัล”
หลี่อันหัวเราะ เสียงหัวเราะค่อยๆ ห่างจากห้องทรงอักษรออกไปทีละนิด
หลี่จื้อที่กลับจวนมาด้วยท่าทีเมามาย เขากินยาแก้เมาลงไป ใช้น้ำเย็นชำระร่างกายอย่างเร่งร้อน จากนั้นจึงเดินมายังโถงปรึกษาราชการด้วยสติแจ่มชัด
ในห้องโถงมีคนนั่งอยู่จำนวนหนึ่ง ได้แก่ สืออวี้สือจื่อโยว กวนซิว ต่งจื้อ โก่วเหลียน และเสนาธิการอีกหลายคน วันนี้เหล่าแม่ทัพเมากลับไปกันหมดแล้ว หลี่จื้อจึงไม่ได้ให้พวกเขามาด้วย
ยามนี้หลี่จื้อเห็นพวกเขากำลังพูดคุยกันเสียงเบา จึงกำชับให้ซือหม่าสยงไปเฝ้าอยู่ด้านนอก ส่วนตนเดินเข้ามา พูดยิ้มๆ ว่า “ข้ามาสาย ทำให้ทุกท่านรอนานแล้ว”
เสนาธิการทั้งหลายพากันลุกขึ้นคารวะ จากนั้นจึงเข้านั่งประจำที่ของตน หลี่จื้อมองไปที่สืออวี้ ถามว่า “เจ้าเคยพบเจียงเจ๋อแล้ว คิดเห็นอย่างไร”
สืออวี้ยิ้มเจื่อนๆ “เจียงเจ๋อมาถึงจวนอ๋องแล้วก็วางตัวสุขุมเยือกเย็นมาตลอด คล้ายกับเป็นบ้านตัวเองก็มิปาน กระหม่อมจัดแจงเรือนที่ดีที่สุดให้เขา เขาก็ทำเพียงยิ้มบางๆ เมื่อเข้าไปในเรือนก็มิได้ออกคำสั่งพิเศษใดๆ กับบ่าวหญิงชายที่องค์ชายจัดเตรียมไว้ให้ หากไม่รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อองค์ชายจนถึงที่สุด ข้าคงคิดว่าเขาซื่อสัตย์ภักดีต่อองค์ชายแล้ว กระหม่อมคิดว่าหากองค์ชายจัดแจงตำแหน่งขุนนางให้เขา เขาคงไม่ปฏิเสธ ดูแล้วเขาชอบชีวิตสุขสบาย หรืออย่างน้อยก็ไม่คิดต่อต้านจนตัวตาย”
[1] มุกประดับ เป็นสัญลักษณ์แสดงลำดับขั้นของอ๋อง ยิ่งมุกประดับมาก ตำแหน่งยิ่งสูง
[2] ต้าซือถู ตำแหน่งเทียบเท่าอัครมหาเสนาบดี
[3] ชุดกุ้นเหมี่ยน คือชุดประจำตำแหน่งที่ใช้ในพระราชพิธีต่างๆ
[4] เส้าฟู่ คือหนึ่งในสามมนตรีรอง เป็นขุนนางระดับหนึ่งชั้นโท มีหน้าที่ช่วยเหลือจักรพรรดิหรือเชื้อพระวงศ์ในเรื่องต่างๆ มิได้กุมอำนาจแท้จริง