ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 53 ควันหลงที่ยังมิจางหาย (2)
หลี่จื้อยิ้มเจื่อนๆ “เรื่องนี้ข้าเองก็กระจ่างแจ้งแก่ใจ หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าข้าคงอับจนหนทางแล้ว หากเขาร้องขอชีวิต คิดใช้ความสามารถเข้าแลก ข้าคงทำได้เพียงปฏิบัติต่อเขาให้ดี ดูแลอย่างระมัดระวัง จะอย่างไรก็ต้องมีสักวันที่เขาจะเปลี่ยนใจมารับใช้ข้า แต่เขากลับสงบนิ่งไหลลื่นปานนี้ หากข้ามอบตำแหน่งขุนนางให้เขา เกรงว่าเขาคงทำตัวตายซาก เอาแต่เขียนบทกวีทั้งวัน ไม่ก็อยู่กับพิณหมากอักษรภาพวาด ส่วนสิ่งที่ข้าต้องการจริงๆ เขากลับตระหนี่ถี่เหนียวยิ่ง ตอนนี้ข้าอยากกลายเป็นเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ยจริงๆ แม้จ้าวเจวี๋ยจะไร้วาสนา แต่ก็เคยได้รับความภักดีจากเขา เฮ้อ สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดก็คือฉีอ๋อง แม้ฉีอ๋องจะบุ่มบ่ามมุทะลุไปบ้างก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส เขาเคยบอกข้าว่าจะคารวะเจียงเจ๋อเป็นอาจารย์”
กวนซิวและคนอื่นมองหน้าสบตากันยิ้มๆ ล้วนกล่าวว่า “องค์ชายคิดมากเกินไปแล้ว หากคนผู้นี้ถูกฉีอ๋องทำให้หวั่นไหวง่ายดายขนาดนั้น พวกเราคงไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดเพียงนี้”
หลี่จื้อย้อนคิดอีกครั้ง รู้สึกว่าตนมิอาจไม่กังวล กำลังจะกล่าวถากถางไปสักหลายประโยค แต่กลับเห็นสืออวี้มีท่าทีคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง จึงถามอย่างกังวลว่า “จื่อโยว หรือเจ้าคิดว่าฉีอ๋องอาจชักชวนเจียงสุยอวิ๋นสำเร็จ”
สืออวี้ดึงสติกลับมาจากการเหม่อลอย ตอบไปว่า “องค์ชาย ความคิดของฉีอ๋องไม่เลวจริงๆ แต่กลับเป็นการยกยอเกินไป พวกเราเรียนรู้จากเขาได้ ซื่อจื่อของท่านเฉลียวฉลาดรู้จักพูด แม้เพิ่งอายุห้าชันษา แต่ก็รู้อักษรบ้างแล้ว หากให้ซื่อจื่อคารวะเขาเป็นอาจารย์ เช่นนั้นเขาจะมิกลายเป็นผู้ช่วยขององค์ชายได้หรือ ข้าคิดว่าหากเขาพบอัจฉริยะแล้วคงไม่ยอมปล่อยโอกาสให้พลาดไปเช่นนี้แน่”
หลี่จื้อกล่าวอย่างยินดียิ่ง “จื่อโยววางแผนได้ดีจริงๆ เอาละ พรุ่งนี้หลังจากหารือเสร็จสิ้นก็ให้ซื่อจื่อออกมาคารวะอาจารย์ ต้องกระทำการให้เร็วเสียหน่อย เพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่นข้าจึงกราบทูลเรื่องของเขาต่อเสด็จพ่อไปแล้ว เสด็จพ่อต้องการพบเขา รอให้เสด็จพ่อพบเขาก่อนพวกเราก็ไม่ต้องกักตัวเขาอีก”
แม้จะไม่บรรลุจุดประสงค์แต่ก็นับว่ามีวิธีแล้ว หลี่จื้อรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่าง พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ใช่แล้ว จื่อโยว เรื่องที่องค์หญิงฉางเล่อถูกลักพาตัว ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ทว่าเวลากระชั้นเกินไปจึงหาเบาะแสใดไม่พบ ข้าเคยส่งคนไปตรวจสอบสถานที่ที่พวกเขาถูกลอบโจมตีแล้ว ดูจากลักษณะคล้ายกองกำลังเล็กๆ แต่ตอนนั้นใครจะกล้าลักพาตัวองค์หญิงเล่า ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจก็คือเหตุใดสายลับที่พาองค์หญิงกลับมาจึงฆ่าตัวตายทั้งหมด องค์หญิงปลอดภัยไร้อันตราย ไม่ว่าจะอย่างไรก็นับว่ามีผลงาน ต่อให้หวาดกลัวความผิดก็ควรเล่าเรื่องราวให้ข้าฟังอย่างละเอียดก่อนไม่ใช่หรือ”
เรื่องเหล่านี้กวนซิวและคนอื่นเคยหารือกันหลายครั้งแล้ว หลี่จื้อกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอยากได้ความเห็นจากสืออวี้เสียหน่อย สืออวี้จึงตอบว่า “กระหม่อมเคยคิดถึงปัญหานี้แล้ว ผลลัพธ์เพียงหนึ่งเดียวที่คิดออกก็คือ พวกเขาไม่ได้เพ่งเล็งองค์หญิง เป้าหมายของพวกเขาก็คือเหลียงหวั่น มิเช่นนั้นคงไม่ทำร้ายเหลียงหวั่นเพียงคนเดียว ส่วนเรื่องที่สายลับคนอื่นๆ ฆ่าตัวตาย กระหม่อมคิดว่ามิใช่เพราะกลัวความผิด แต่เกรงว่าจะเป็นสัญญาเสียมากกว่า พวกเขาเห็นคนร้ายลักพาตัวแล้ว และอาจรู้เรื่องราวมากเกินไป แต่พวกเขากลับพาองค์หญิงกลับมาได้อย่างปลอดภัย ในจุดนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้คิดร้ายต่อองค์หญิง และอีกฝ่ายเชื่อมั่นว่าสายลับจะไม่เปิดเผยเรื่องของตนแน่นอน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบองค์หญิงกลับไม่ทราบสิ่งใด เช่นนั้นสายลับเหล่านี้จะต้องคุยเงื่อนไขกันเป็นการส่วนตัวแน่”
หลี่จื้อกล่าวว่า “แม้จะเป็นเช่นนี้ หากพูดให้ฟังดูแย่เสียหน่อยก็คือ แม้สายลับเหล่านี้จะเป็นนักรบกล้าของต้ายง ควรภักดีและเชื่อถือได้ แต่พอกลับมาอยู่ข้างกายข้าแล้ว การบอกความจริงต่อข้าสมควรสำคัญกว่าการรักษาสัญญาไม่ใช่หรือ”
สืออวี้ทอดถอนใจ “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวที่สุด เกรงว่าพวกเขาคงรู้ดีว่าหากพวกตนตายไปจะมีประโยชน์ต่อองค์ชายยิ่งกว่าการบอกความจริง”
หลี่จื้อพลันสั่นสะท้าน “เจ้าจะบอกว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากพอที่จะเป็นอันตรายต่อข้าหรือ”
สืออวี้พยักหน้า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ จากที่หย่งเฉวียนกล่าว องค์ชายตรวจสอบศพของสายลับเหล่านั้นหลังเกิดเรื่องแล้ว แม้จะมีร่องรอยการถูกลงโทษอยู่บ้างแต่มิได้ร้ายแรง กล่าวได้ว่าอีกฝ่ายมิใช่คนที่ทรมานผู้อื่นตามแต่ใจ หากดูจากเหลียงหวั่น ความทรงจำของนางถูกทำลายทั้งหมด วิธีการเช่นนี้ลึกลับยิ่ง กล่าวได้ว่าวิธีการของอีกฝ่ายโหดเหี้ยมอำมหิตนัก กระหม่อมคิดว่าสายลับเหล่านี้คงมีความกดดันใหญ่หลวง สุดท้ายความกดดันมากเกินขอบเขตที่พวกเขาจะรับไหว จึงทำให้พวกเขาฆ่าตัวตายตามสัญญา”
หลี่จื้อกล่าวระบายความอัดอั้น “คิดไม่ถึงว่าในเงามืดจะมีคนเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่ จื่อโยว เจ้าว่าคนเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร”
สืออวี้ตอบไปว่า “กระหม่อมคิดว่าที่พอคาดเดาได้อย่างเดียวก็คือ คนเหล่านั้นไม่มีใจคิดเป็นศัตรูกับต้ายง มิเช่นนั้นองค์หญิงคงไม่กลับมาอย่างปลอดภัยเป็นแน่ แต่คนเหล่านั้นเพ่งเล็งเหลียงหวั่น กระหม่อมคิดว่าหากไม่เกี่ยวข้องกับสำนักเฟิงอี้ก็ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เหลียงหวั่นทำในหนานฉู่เป็นการส่วนตัว คงไม่ผิดไปจากสองข้อนี้”
หลี่จื้อส่ายหน้า “จื่อโยวรู้ใจข้าจริงๆ หากไม่มีเจ้า ข้าจะมีแรงสู้ที่ไหนกัน”
สืออวี้ยิ้ม “เจียงเจ๋อคือปีกคู่ขององค์ชาย หากองค์ชายได้คนผู้นี้จึงจะนับว่าเป็นพยัคฆ์ติดปีกอย่างแท้จริง”
ทุกคนมองหน้ากันยิ้มๆ
ในค่ำคืนที่มิอาจข่มตา ข้ามิได้หลับใหล กลับยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองไปยังทิวทัศน์อันงดงามหลังหิมะโปรยในสวน เสี่ยวซุ่นจื่อเดินเข้ามา บ่นว่า “คุณชาย ร่างกายท่านเพิ่งหายดี กลับมายืนรับลมที่นี่อีกแล้ว ไม่รู้จักรักษาสุขภาพเสียบ้าง ที่นี่อากาศหนาว ข้าให้พวกเขาเตรียมเตาอุ่นมือไว้แล้ว”
กล่าวจบก็ยัดเตาอุ่นมือเข้ามาในอกข้าแล้วคลุมเสื้อตัวหนึ่งลงบนไหล่ข้า
ข้าแย้มยิ้มพราย “เจ้าวางใจเถิด สุขภาพของข้ามิได้อ่อนแอปานนั้น เป็นอย่างไร เจ้าไปดูองครักษ์ป้องกันจวนยงอ๋องมาแล้วหรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อยิ้มตอบ “พวกเขาจับตาดูอย่างแน่นหนา ข้าจึงดูเพียงคร่าวๆ หากข้าคนเดียวยังไม่เป็นไร แต่หากพาคุณชายไปด้วย เกรงว่าจะหนีออกไปไม่ได้”
ข้าโบกมือพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ข้าก็ไม่คิดให้เจ้าพาหนีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็เอาตัวรอดได้ เพียงไม่อยากขายชีวิตให้ผู้อื่นเท่านั้น คนพวกนั้นฆ่ากันไปฆ่ากันมา สุดท้ายก็มีคนรวมใต้หล้าได้อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้นจิตใจอยากเอาชนะของยงอ๋องสูงส่งเกินไป เสี่ยวซุ่นจื่อ ดูสิ หิมะตกอีกแล้ว”
เสี่ยวซุ่นจื่อมองไปนอกหน้าต่างตามสายตาของข้า ปุยหิมะพากันร่วงหล่นลงมาโดยไร้สัญญาณเตือน ลมหนาวยะเยือกถาโถมเข้าสู่ใบหน้า ทำให้เขาอดพูดไม่ได้ว่า “ที่หนานฉู่ไม่ค่อยมีหิมะตก หากคุณชายอยากชมหิมะก็ต้องดื่มสุราอุ่นเสียหน่อย ตอนนี้หิมะที่นี่งามนัก คุณชายมีอารมณ์สุนทรีย์แล้วกระมัง”
ข้าพยักหน้าพูด “ใช่แล้ว พรุ่งนี้เจ้าก็ไปขอถ่านและสุราดีๆ จากพวกเขาเสียหน่อย ข้าว่าพรุ่งนี้หิมะคงยังไม่หยุด ร่ำสุราร่ายบทกวีเสียหน่อยเป็นอย่างไร”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบ “ข้าทำได้เพียงช่วยคุณชายอุ่นสุราแล้ว บทกวีเหล่านั้นข้าไม่เข้าใจ”
ข้าถอนใจออกมา “ใช่แล้ว เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ข้าไม่พอใจก็คือเจ้ามิอาจเขียนกลอนร่ายบทกวีเป็นเพื่อนข้าได้ แต่หากไม่มีเจ้า จะร่ำสุราอย่างไรก็ไม่รู้รส สหายดี สุราเลิศรส หิมะโปรยปราย ล้วนเป็นสิ่งที่มิอาจขาด น่าเสียดาย หากเพียวเซียงอยู่ด้วยคงดี เฮ้อ”
เสี่ยวซุ่นจื่อกล่าวปลอบใจ “คุณชาย คนตายไปแล้ว ท่านอย่าได้โศกเศร้าไปเลย”
ข้ามองไปยังหิมะที่กำลังโปรยปรายนอกหน้าต่าง ไม่กล่าวสิ่งใดอีก
วันต่อมาหิมะยังคงตกต่อเนื่องดังคาด หลี่จื้อได้รับข่าวหนึ่ง ความว่าหลี่หยวนมีราชโองการลงมา เนื่องจากฉีอ๋องเข้าโจมตีหนานฉู่ถึงสองครั้งสองครา ทำศึกอย่างยากลำบากจึงนับว่ามีผลงาน และยังทำให้เต๋อชินอ๋องแห่งหนานฉู่ได้รับบาดเจ็บจนสิ้นชีพ ดังนั้นจึงแต่งตั้งให้เป็นต้าซือคง (สมุหพระอาลักษณ์) พระราชทานกุ้นเหมี่ยนหนึ่งชุด เกี้ยวทอง หยกคู่ ทองคำสองพันชั่ง วงดนตรีสองเครื่อง องครักษ์ถือกระบี่ประดับยี่สิบคน
เมื่อทราบข่าวนี้หลี่จื้อก็มิได้ขุ่นเคืองแต่กลับรู้สึกเย็นวาบในใจ ตนทำศึกสงครามจนได้ชัย แต่กลับถูกเสด็จพ่อหวาดระแวงจนต้องพระราชทานรางวัลให้ฉีอ๋องเพื่อคานอำนาจกับตน เขากล่าวกับสืออวี้อย่างไม่แยแสว่า “จื่อโยว เสด็จพ่อปฏิบัติต่อข้าอย่างเย็นชาเพียงนี้เชียว”
สืออวี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ กำลังจะกล่าวปลอบใจหลี่จื้อ ทว่าโก่วเหลียนกลับวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาก่อน กล่าวว่า “องค์ชาย องค์ชาย บ่าวรับใช้ของเจียงสุยอวิ๋นต้องการถ่านไม้กับสุราเลิศรส คิดจะชมหิมะ กระหม่อมให้คนพาเขาไปที่ศาลาหลินปัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่จื้อเปลี่ยนจากขุ่นใจกลายเป็นยินดีโดยพลัน “ดี เจ้าจัดการได้ดี ไป พวกเราไปร่วมความครึกครื้นเสียหน่อย จื่อโยว เจ้าจัดแจงให้ดี อีกครึ่งชั่วยามพาซื่อจื่อไปที่ศาลาหลินปัวด้วย”
ตอนนี้ข้านั่งอยู่ในศาลาหลินปัว สวนบุปผาหลังจวนยงอ๋องมีทะเลสาบเล็กๆ ขนาดราวสองหมู่อยู่แห่งหนึ่ง ว่ากันว่าเดิมทีในสวนมีตาน้ำอยู่แห่งหนึ่งทำให้มีปริมาณน้ำมากจึงขุดเป็นทะเลสาบเล็กๆ เสียเลย จากนั้นก็ปล่อยให้ไหลลงคลองหย่งอันด้วยระบบจัดการน้ำของนครฉางอัน คลองหย่งอันเชื่อมกับแม่น้ำเว่ยทางตอนเหนือของเมือง น้ำบริโภคกว่าครึ่งของนครฉางอันก็มาจากคลองนี้ ทั้งยังเป็นเส้นทางสัญจรทางน้ำที่สำคัญด้วย ดังนั้นแม้ทะเลสาบนี้จะอยู่ในเขตวังหลวง แต่ก็เป็นสายน้ำแห่งชีวิต
เสี่ยวซุ่นจื่ออุ่นสุราพลางกล่าวว่า “คุณชาย เหตุใดในศาลานี้จึงไม่หนาวเล่า”
ข้ายิ้มตอบ “ข้าเคยอ่านพบในตำรา เจ้าดูด้านบนของศาลา แม้จะเห็นเพียงหญ้าเสาหนาเป็นชั้นๆ แต่ความจริงใต้นั้นมีภูมิปัญญาอันล้ำเลิศอยู่ ใต้หญ้าพวกนี้เป็นเสื่อน้ำมันชั้นหนึ่ง จากนั้นก็ปูด้วยหญ้าเสาอีกชั้นหนึ่ง ตามด้วยเสื่อน้ำมันอีกชั้นหนึ่ง รวมทั้งสิ้นสามชั้น จากนั้นก็ปูกระเบื้องทับใต้เสื่อน้ำมันชั้นสุดท้าย กระเบื้องนี้สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ สร้างให้ด้านในกลวงจึงกักเก็บไอร้อนไว้เหนือศีรษะได้ นอกจากนี้พื้นและม้านั่งบริเวณศาลาล้วนทำมาจากหิน ทั้งยังมีเสาทองแดงอีกหลายต้น ความจริงใต้เสาและใต้ศาลาจุดไฟเอาไว้ ก็เหมือนกับเตาทำอาหารของชาวบ้านทั่วไป อีกอย่าง น้ำพวกนี้เป็นของที่อุ่นในหน้าหนาวเย็นในหน้าร้อน เมื่อน้ำไหลผ่านจะนำไอร้อนมาด้วย ยิ่งอยู่ใกล้น้ำก็ยิ่งอุ่น ดังนั้นในศาลาจะหนาวไปได้อย่างไร นี่คือศาลาที่คนร่ำรวยทางเหนือสร้างขึ้นเพื่อใช้ชมหิมะโดยเฉพาะ ขอเพียงสวมเสื้อขนสัตว์บางๆ และถือเตาอุ่นมือไว้ก็ไม่เย็นจนแข็งแล้ว เอาละ เจ้าดู ด้านนอกหิมะโปรยปรายดั่งม่านไหม ดุจดอกหลีร่ายรำ พลิ้วพรายไปทุกที่ เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ”