ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ - ตอนที่ 56 ชมหิมะร่ายบทกวี (3)
หลี่จื้อยิ้มพราย “ร่ำสุราขับกวีดังนักกวีผู้เลื่องชื่อลือนามจะเรียกว่าเสียกริยาได้อย่างไร ทว่าบ่าวของท่านกล่าวได้ถูกต้อง สุขภาพท่านเพิ่งดีขึ้นมาบ้าง มิควรต้องลมเย็นอีก เช่นนั้นดื่มให้มากอีกหลายจอกเถิด”
ข้ากลับมานั่งยังตำแหน่งที่นั่งของตน รับสุราอุ่นมาจิบช้าๆ หางตาเห็นหลี่จื้อและคนอื่นๆ มองตาส่งสัญญาณแก่กันจึงอดหัวเราะในใจไม่ได้
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยผู้หนึ่งร้องเรียก “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ”
ข้าเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเด็กชายผู้หนึ่งกำลังโบกมือมาทางพวกเราด้วยท่าทีร่าเริง เด็กชายผู้นั้นอายุราวสี่ห้าขวบ ดวงหน้าหล่อเหลางดงาม สวมอาภรณ์สีเหลืองตามศักดิ์โอรสแห่งอ๋อง ด้านหลังมีแม่นมและหญิงรับใช้สองนางรวมถึงขันทีอีกสองคนเดินติดตามมาด้วย เด็กชายผู้นี้มีรอยหิมะอยู่บนร่างมากมาย เชื่อว่ามีเหตุมาจากการหกล้มหลายครั้งหลายครากระมัง
หลี่จื้อเห็นเด็กชายก็มีความยินดีเต็มหน้า “จวิ้นเอ๋อร์ เหตุใดตัวเจ้าจึงเต็มไปด้วยหิมะเช่นนี้เล่า มาให้พ่อดูหน่อย”
เด็กชายผู้นั้นเดินกระโดดโลดเต้นเข้ามาในศาลา ถลาเข้ามาซุกตัวอยู่ใต้เข่าของหลี่จื้อ ดวงตาที่สีดำและสีขาวแยกกันชัดเจนกลอกไปมามองสำรวจข้าไปทั่วร่าง ข้าจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย “กระหม่อมถวายพระพรซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”
เด็กชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ ดึงชายเสื้อข้าพลางกล่าวถาม “ท่านคือผู้ใด จวิ้นเอ๋อร์ไม่เคยพบท่านกระมัง”
ข้ากล่าวอย่างเรียบเฉย “กระหม่อมเจียงเจ๋อ นามรองสุยอวิ๋น เป็นบัณฑิตจากหนานฉู่ ซื่อจื่อย่อมไม่เคยพบกระหม่อมแน่นอน”
หลี่จวิ้นได้ยินชื่อข้าก็ครุ่นคิดไปพักใหญ่ก่อนจะบอกว่า “ข้าจำได้แล้ว กลอนของท่านเขียนได้ดียิ่ง” จากนั้นจึงมองไปยังหิมะโปรยปรายด้านนอก เอื้อนเอ่ยบทกวีว่า “ ‘หมื่นคีรีไร้เงาสกุณา ถนนทอดสุดหล้าไร้มานพ นาวีแน่งน้อยกลางธาราที่บรรจบ แลพบเพียงเฒ่าตกปลาเดียวดาย’ กวีบท ‘หิมะธารา’ ของท่านยอดเยี่ยมจริงๆ เพียงแต่ฟังโดดเดี่ยวนัก แม่น้ำของหนานฉู่เดียวดายเช่นนี้จริงหรือ”
ข้าพูดยิ้มๆ “แม้หนานฉู่จะเป็นแหล่งกำเนิดของอัจฉริยะบุคคลมากมาย ทว่ายังมีอีกหลายแห่งที่ไร้บ้านเรือนไร้คนอยู่อาศัย ที่นั่นมีแม่น้ำลำธารมากมาย ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่จริงๆ หากทอดสายตามองไปจะพบเพียงสายน้ำธาราเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง เมื่อปีนั้นกระหม่อมติดตามท่านพ่อออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ยามนั้นเป็นช่วงเวลาสิ้นปี บนแม่น้ำลำธารจึงไม่มีเรือลำอื่นใด ทุกคนต่างไปรวมตัวกับครอบครัวในบ้านแล้ว ครานั้นท่านพ่อพายเรือพากระหม่อมไปตกปลากลางแม่น้ำด้วยตนเอง แม้แม่น้ำจะไม่เย็นจนเยือกแข็ง แต่ก็เห็นเพียงสีขาวโพลนปรากฏทั่วทุกที่”
หลี่จวิ้นดวงตาเปล่งประกาย “บิดาของท่านดีจริงๆ ทุกครั้งที่ข้าอยากให้เสด็จพ่อพาออกไปเที่ยวเล่น เสด็จพ่อกลับไม่มีเวลา หากท่านมีเวลา เช่นนั้นพาจวิ้นเอ๋อร์ไปล่องเรือตกปลาได้หรือไม่”
ข้าตอบพร้อมรอยยิ้ม “พระวรกายของซื่อจื่อมีค่าดุจทองคำ จะเหมือนปุถุชนคนธรรมดาอย่างพวกเราได้อย่างไร หากซื่อจื่อโปรดการตกปลา มิสู้ตกในศาลาแห่งนี้เป็นอย่างไร กระหม่อมเห็นว่าในทะเลสาบมีปลาจิ่นหลินอยู่ไม่น้อย หากตกปลาที่นี่จะต้องน่าสนใจเป็นแน่”
หลี่จวิ้นกล่าวอย่างไม่ยอมคล้อยตาม “ตกปลาที่นี่จะมีความหมายอันใด หากตกไม่ได้บ่าวไพร่เหล่านั้นคงนำปลามาแขวนบนเบ็ดข้าเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเสด็จพ่อของข้าทำสงครามเข้าร่วมกองทัพมาตั้งแต่อายุสิบกว่าปี ข้าคิดจะเดินตามรอยเสด็จพ่อ แต่หากกระทั่งประตูใหญ่ยังเดินออกไปไม่ได้ อนาคตจะเข้าร่วมกองทัพไปเข่นฆ่าศัตรูได้อย่างไร”
บนใบหน้าของหลี่จื้ออัดแน่นไปด้วยความชื่นชม ทว่าปากกลับกล่าวว่า “จวิ้นเอ๋อร์อย่าได้กล่าวเหลวไหล อนาคตเจ้าต้องจัดการงานราชการให้ดี มิจำเป็นต้องเข้าร่วมสงครามเข่นฆ่าศัตรูเหมือนพ่อ เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น ต้ายงคงรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งแล้ว ยังจะมีศัตรูอันใดให้เจ้าสังหารอีก”
หลี่จวิ้นกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “เสด็จพ่อทรงตรัสมิถูกนัก ลูกได้ยินคนอื่นกล่าวกันว่าต้องเตรียมพร้อมรับมือกับภัยอันตรายให้ดี หากอนาคตมีศัตรูอีกแล้วลูกไร้ความสามารถจะเข้าร่วมสงครามและสังหารศัตรู เช่นนั้นจะทำให้ต้ายงยิ่งใหญ่ได้อย่างไร ดังนั้นงานราชการย่อมต้องเรียนรู้ การศึกการสังหารศัตรูก็ต้องเรียนรู้เช่นกัน”
กล่าวจบหลี่จวิ้นก็เผยสีหน้าเขินอายออกมา “ดังนั้นเสด็จพ่ออนุญาตให้ลูกออกไปดูหน่อยเถิด ลูกจะไม่สร้างปัญหาเป็นอันขาด”
หลี่จื้อหัวเราะ “เจ้าเด็กคนนี้นี่ คงอยากออกไปทำเรื่องไร้สาระกระมัง หากเจ้าอยากเข้าร่วมสงครามเพื่อเข่นฆ่าศัตรูจริงๆ ก็ต้องเรียนรู้ศัตรูให้มาก เริ่มด้วยการเรียนพงศาวดารให้เชี่ยวชาญเป็นอย่างไร ว่าแต่เหตุใดอาจารย์ที่พ่อเลือกให้เจ้าคราก่อนจึงถูกเจ้าไล่ไปอีกแล้วเล่า”
หลี่จวิ้นปลายตามองเสด็จพ่อของตน กล่าวไปว่า “อาจารย์ท่านนั้นไร้ความสามารถเกินไป ลูกถามเขาคำถามหนึ่งแต่เขากลับตอบไม่ได้”
ทุกคนเริ่มสนอกสนใจ หลี่จื้อจึงถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าถามคำถามอะไรจึงทำให้อาจารย์ตอบไม่ได้”
หลี่จวิ้นกล่าวอย่างลำพองใจ “วันนั้นข้าเห็นท่านลุงถกกับเสด็จพ่อเกี่ยวกับคดีหนึ่งของศาลต้าหลี่ ผู้ต้องหากล่าวว่าแม่เลี้ยงสังหารบิดาของเขา เขาจึงสังหารแม่เลี้ยง ผู้พิพากษาตัดสินเขาในข้อหาฆาตกรรมและอกตัญญู แต่เขาไม่พอใจในผลคดี ข้าถามท่านอาจารย์เรื่องนี้ ท่านอาจารย์กลับกล่าวเพียงว่าตัดสินได้ไม่เลวแล้ว เหตุผลนี้ข้าไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงไล่เขาไป”
หลี่จื้อคิดไปถึงคดีนั้นและคิดถึงคำพิพากษาที่ตนบอกต่อพี่เขย เรื่องนี้คนนอกไม่รู้ นับเป็นข้อสนทนาที่ดีจริงๆ เขามองไปยังเจียงเจ๋อ ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย “เจ้าถามผิดคนแล้ว นอกจากพ่อ ทุกคนที่นี่ล้วนตอบเจ้าได้ว่าควรจะตัดสินเช่นไร”
เป็นไปตามความเข้าใจที่หลี่จื้อมีต่อโอรสของตน สายตาของหลี่จวิ้นเลื่อนผ่านร่างแต่ละคน สุดท้ายจึงหยุดอยู่ที่เจียงเจ๋อ เรื่องคนอื่นเขาเชื่อว่าเสด็จพ่อกล่าวถูกต้องแล้ว ทว่าคนผู้นี้เล่า? เขาดึงชายเสื้อเจียงเจ๋อพลางกล่าวถาม “ท่านบอกจวิ้นเอ๋อร์ได้หรือไม่ว่าควรตัดสินเช่นไร”
ข้ายิ้มบาง “เรื่องราวเหล่านี้ย่อมมีกฎเกณฑ์ของมันอยู่ กระหม่อมเป็นเพียงสามัญชน จะมีคุณสมบัติไปวิพากษ์วิจารณ์ที่ไหนกัน”
หลี่จวิ้นกล่าวอย่างดื้อดึง “หากท่านตอบได้ จวิ้นเอ๋อร์จะคารวะท่านเป็นอาจารย์ หากท่านตอบไม่ได้ก็มาเป็นบ่าวรับใช้ให้จวิ้นเอ๋อร์เสีย”
ข้าปรายตามองไปยังหลี่จื้อ ทว่ากลับเห็นเขามีสีหน้ายินดีนัก ดูแล้วเขาคงแนะนำให้ซื่อจื่อกล่าวเช่นนี้กระมัง ข้าอดยิ้มออกมาไม่ได้ “กระหม่อมเป็นนักโทษจากหนานฉู่ จะเป็นอาจารย์ของซื่อจื่อได้อย่างไร แต่หากซื่อจื่อถามกระหม่อม กระหม่อมก็จะตอบพ่ะย่ะค่ะ แม้คนผู้นี้สังหารแม่เลี้ยง แต่ก็ทำไปเพื่อล้างแค้นให้บิดา แม่เลี้ยงสังหารบิดาของเขาย่อมมีความผิดฐานสังหารสามีตนเอง ทว่าคนผู้นั้นสังหารแม่เลี้ยงก็เป็นเพียงการสังหารคนนอก เอาผิดฐานฆาตกรรมได้ แต่มิอาจเอาผิดฐานอกตัญญู”
หลี่จวิ้นกล่าวอย่างเปรมปรีดิ์ “ท่านเป็นคนมีเหตุผลจริงๆ ข้าเคยถามผู้อื่นเรื่องนี้ แต่กลับไม่มีใครอธิบายได้อย่างกระจ่างแจ้งเช่นท่านมาก่อน” กล่าวจบหลี่จวิ้นก็คุกเข่าเบื้องหน้าข้า “แม้จวิ้นเอ๋อร์ยังเด็ก แต่ก็รู้ว่าสิ่งใดคือพูดแล้วไม่คืนคำ จวิ้นเอ๋อร์ยินดีคารวะท่านเป็นอาจารย์ เช่นนั้นท่านก็พาข้าออกไปล่องเรือตกปลาได้แล้ว”
ข้าหลุดหัวเราะออกมา เด็กคนนี้กล่าวอ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายคืออยากให้ข้าพาเขาออกไปเที่ยวเล่นเท่านั้น
ตอนนี้เองเ สียงของเสี่ยวซุ่นจื่อดังขึ้นข้างหูข้า “คุณชายจะรับปากไม่ได้นะขอรับ”
ข้าพลันรู้สึกหนาวเหน็บในใจ กล่าวตอบไปว่า “ซื่อจื่อทรงล้อเล่นแล้ว พระองค์มีฐานะสูงส่งยิ่ง กระหม่อมเป็นเพียงเชลยจากแคว้นล่มสลายเท่านั้น ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าผู้ใดล้วนเหมาะเป็นอาจารย์ให้ซื่อจื่อทั้งสิ้น ผู้แซ่เจียงไม่กล้ารับ” กล่าวจบข้าก็ยืดตัวขึ้น “สุยอวิ๋นเมามายแล้ว ขออำลาทุกท่านเพียงเท่านี้”
ขณะข้ากำลังจะหมุนตัวเดินจากไปก็ได้ยินเสียงผิดหวังของหลี่จื้อดังขึ้น “ท่านเจียง จำเป็นต้องโหดร้ายเพียงนี้เชียวหรือ?”
ร่างกายของข้าสะท้านเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มิได้ตอบคำใด